หอจันทรามีนางคณิกาผู้งดงามทั้งร่ายรำ ขับขานบทเพลง เล่นดนตรี แทบจะตลอดเวลา สามหนุ่มโดนเหล่าหญิงสาวคลอเคลียไปก็ถึงกับเขินอายไปเหมือนกัน พวกนางประกบแบบตัวต่อตัว คอยรินสุราคอยชักชวนคุยบรรยากาศเต็มไปด้วยความรื่นเริงชื่นใจ
จื่อต้าหลงเองถึงกับเขินหน้าแดงปกติแล้วเด็กหนุ่มไม่เคยใกล้ชิดหญิงสาวมากถึงขนาดนี้มาก่อน มันทำให้เขาเริ่มอ้ำๆอึ้งๆ
“นายน้อยเ้าคะ รับสุราเพิ่มหรือไม่?” หญิงสาวที่บริการจื่อต้าหลงถามขึ้นเมื่อเห็นว่าสุราใกล้จะหมดแล้ว
“นะ…แน่นอน เอาสุรามาเพิ่มอีก” จื่อต้าหลงเอ่ยเสียงสั่นๆเล็กน้อย เด็กหนุ่มพยายามทำตัวให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้
อีกสองหนุ่มก็คุยกับหญิงสาวของตัวเองไป พวกเขากำลังเพลิดเพลินกับประสบการณ์ใหม่นี่มาก ลวี่เหรินเองที่นั่งเงียบถึงกับพูดมากกว่าปกติยามหญิงสาวถามคำถามมากมายกับเขา
จื่อต้าหลงคิดในใจว่า ที่หอจันทรา ต่างกับโรงเตี๊ยมเมฆแดงมากมายเหลือเกิน ที่นี่บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นและสิ่งสวยงามมากมาย อิสตรีทุกนางก็หน้าตาสวยสดงดงาม ทำเอาเขาถึงกับเหล่มองจนหูตาลายไปหมด
“สุราหมดแล้ว… นายน้อย้าสั่งเพิ่มอีกหรือไม่เ้าคะ?” หญิงสาวที่ดูแลจื่อต้าหลงถามขึ้น
“หมดอีกแล้วหรือ? แน่นอนเอาสุรามาอีก วันนี้ไม่เมาไม่เลิก ฮ่าๆๆ” จื่อต้าหลงกล่าว ได้ยินดังนั้นหญิงสาวจึงสั่งสุราเพิ่มให้ พอสุรามาถึงพวกเขาก็ดื่มด้วยกัน
“เ้าเองก็ดื่มสุราเก่งเหมือนกันนะเนี่ย” จื่อต้าหลงถามหญิงคณิกาข้างกาย
“ข้าชินแล้วเ้าค่ะ” นางตอบยิ้มๆ
“ดี! เช่นนั้นจะได้ร่ำสุรากันทั้งคืนไปเลย ฮ่าๆๆๆ” จื่อต้าหลงตอบพร้อมกับหัวเราะ ดูเหมือนเ้าตัวจะเริ่มเมาแล้ว เด็กหนุ่มในวันนี้ มาในมาดหล่อเหลา อาภรณ์หรูหราสวมบนร่างกาย ใบหน้าคมคาย แววตาคมกล้า ทำเอาเหล่าหญิงคณิกาเหลือบมองกันทั้งหอจันทรา!
ด้านลวี่เหรินเองก็ใบหน้าสวยสด งดงามยิ่งกว่าเหล่าหญิงคณิกาเสียอีก ใบหน้าสวยๆของเขาทำเอาเหล่าหญิงสาวหลายคนยังต้องริษยา มาดบัณฑิตของเขาเองก็ทำให้ เหล่าหญิงสาวเหล่มามองบ่อยอยู่เช่นกัน
ส่วนเฉิงไฉเซียวก็ร่างกายสูงใหญ่ ใบหน้าคมคายสมกับเป็บุรุษผู้กล้าหาญ เขาดูราวกับแม่ทัพผู้ชาญศึก! นี่ทำให้โต๊ะของทั้งสามค่อนข้างเป็ที่น่าสนใจ ทำให้เหล่าหญิงสาวสนใจมากเป็พิเศษ
“พวกเ้าดูเหล่าคุณชายโต๊ะนั้นสิ ช่างดูดีกันเหลือเกิน ข้าเองก็อยากไปให้บริการบ้างจัง” หญิงคณิกานางนึงกล่าวขึ้น
“ใช่ๆ คนนึงก็หล่อเหลา คนนึงก็งดงาม ส่วนอีกคนก็เหมือนวีรบุรุษ ข้าเลือกไม่ถูกเลยจริงๆ” หญิงสาวอีกนางกล่าว
เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ จื่อต้าหลงเริ่มเมามาย เขาเริ่มโดนนางคณิกาคลอเคลียหนักขึ้น มือของจื่อต้าหลงโอบไปที่เอวคอดกิ่วของนาง โดยไร้ท่าทีเคอะเขิน ภายในใจเด็กหนุ่มพลางคิดว่า ‘นี่สินะ ความสุขของเหล่าบุรุษ หอคณิกามันดีอย่างนี้นี่เอง ฮ่าๆๆ มีความสุขจริงๆโว้ยยย’
“โฉมงามเอาสุรามาเพิ่มเถอะ…” จื่อต้าหลงเอ่ยสั่งสุราด้วยสุ้มเสียงที่คิดว่าหล่อเหลาที่สุด อีกสองหนุ่มก็ไม่ได้ขัดอะไรเพราะกำลังติดลมบนด้วยกันทั้งคู่
หอจันทรานับว่าครึกครื้นเป็อย่างมาก เพราะเป็หอนางโลมที่โด่งดังที่สุดในเมืองปลาทองแล้ว นับได้ว่าเป็อันดับหนึ่ง! อีกทั้งยังมีนางโลมหน้าตาสะสวยงดงามมากมายที่สุด ทำให้เหล่าคุณชายเสเพลที่กระเป๋าเงินหนามักนิยมมาเที่ยวกันอย่างคับคั่ง
หลังจากเสพสุขจนเสร็จสมอารมณ์หมาย จื่อต้าหลงกับสหายก็เริ่มเมามายจนเริ่มดื่มต่อไม่ไหวแล้ว จึงได้บอกกับเหล่าหญิงสาวว่า “วันนี้พอแค่นี้เถอะ ได้เวลาที่ต้องกลับแล้ว” จื่อต้าหลงกล่าวขึ้นมาในขณะที่มือยังโอบเอวบางของหญิงสาวอยู่ พอเมาเขาก็เริ่มใจกล้า มีพูดจาหยอกล้อเหล่านางโลมในโต๊ะอยู่เรื่อยๆ จนพวกนางเริ่มเคอะเขิน
เฉิงไฉเซียวเองเห็นว่าสหายเขาช่างไม่ธรรมดา ยามเมาฝีปากคมกล้าใช้ได้ คราแรกเขาคิดจะแกล้งจื่อต้าหลงเสียหน่อยคิดว่าเด็กนี่คงจะเขินอายทำตัวไม่ถูก ที่ไหนได้? ไอ้เด็กนี่มันชีกอแต่กำเนิดชัดๆ!
เมื่อเห็นว่าได้เวลาสมควรแล้วเฉิงไฉเซียวก็กล่าวขึ้นมาว่า “ฮ่าๆๆ ต้าหลง เ้ากับลวี่เหรินกลับไปก่อนเถอะคืนนี้ข้าจะนอนที่นี่” คำพูดของเด็กหนุ่มทำเอาหญิงคณิกาที่บริการเขาอยู่ถึงกับทำใบหน้าเขินอาย เฉิงไฉเซียวเห็นแล้วถูกใจเขายิ่งนัก
“เอางั้นหรือ? บ้านตัวเองมีก็ไม่นอน แล้วแต่ท่านก็แล้วกัน” จื่อต้าหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉื่อยช้า บัดนี้หนังตาเขาปิดมาครึ่งนึงแล้ว
“มาเถอะเ้าค่ะ เดี๋ยวข้าจะเดินไปส่งนะเ้าคะ” หญิงสาวที่ดูแลจื่อต้าหลงเอ่ยขึ้น
“เ้านี่ช่างน่ารักจริงๆเลยนะ ฮ่าๆๆ” จื่อต้าหลงเอ่ยปากชมเชย ทำเอาหญิงสาวถึงกับยิ้มไม่หุบ
“ไปกันเถอะลวี่เหริน หรือเ้าเองก็ยังอยากอยู่ต่อ?” จื่อต้าหลงหันไปถามสหาย
“ไม่ล่ะ ข้าเองก็เมามายแล้ว สมควรได้เวลากลับแล้วเช่นกัน” ลวี่เหรินกล่าวน้ำเสียงฟังดูเมาๆอยู่ไม่น้อย หลังจากนั้นทั้งสองออกมาจากหอนางโลมโดยมีนางคณิกาเดินมาส่งอย่างอบอุ่น
“เอาล่ะ… เ้าจะไปไหนต่อรึ?” จื่อต้าหลงถาม
“ข้าคงจะกลับตระกูลแล้วล่ะ ตอนนี้เองก็ดึกมากแล้ว” ลวี่เหรินตอบ
“เช่นนั้นไว้เจอกัน” จื่อต้าหลงกล่าวจบ เขาก็หิ้วน้ำเต้าสุราเดินชมเมืองยามค่ำคืนต่อ
เด็กหนุ่มเดินไปเดินมาเรื่อยเปื่อยรู้ตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่ที่ศาลาชมจันทร์เสียแล้ว….
“เฮ้อออ ป่านนี้จิ้งจอกน้อยจะเป็อย่างไรบ้างนะ…..?” เขารำพึง เด็กหนุ่มยืนเงยหน้าชมจันทร์ที่กำลังส่องแสงสว่างบนฟากฟ้ามีเมฆค่อยๆเคลื่อนคล้อยลอยไปมา
หลังจากยืนชมจันทร์อย่างเดียวดายอยู่พักใหญ่เขาจึงกลับตระกูล…. เขาใช้ท่าร่างัม่วงทะยานผ่านหมู่ตึกอาคารบ้านเรือนมากมาย ร่างกายปะทะสายลมหนาว รู้สึกอิสระเสรี ช่างสำราญใจยิ่ง! เมื่อมาถึงจวนของตัวเองเขาก็เข้าห้องนอนและฟุบตัวลงทันที….
เช้าวันถัดมา จื่อต้าหลงตื่นมาด้วยความงัวเงีย เด็กหนุ่มนึกคิดย้อนไปเมื่อคืนช่างสนุกสนานมีความสุขยิ่งนัก เขายิ้มบางๆให้กับตัวเองรอบหนึ่ง…. หลังจากแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จเรียบร้อย เด็กหนุ่มก็ไปที่ลานฝึกวิชาเพื่อทบทวนวิชายุทธทั้งหลายของเขาอยู่ครึ่งค่อนวัน
พอยามเที่ยงก็ไปกินอาหารกับท่านย่า พอยามบ่ายก็กลับไปฝึกวิชาต่อ พอตกดึกเขาก็ไปร่ำสุรากับสหายที่หอจันทรา เป็อย่างนี้อยู่นับอาทิตย์
ณ หอจันทรา
“ต้าหลงเ้าฝึกไปถึงไหนแล้วรึ?” เฉิงไฉเซียวถามขณะที่กำลังยกสุราขึ้นมาดื่ม
“ข้าน่ะหรือ? ปราณจิตขั้นสาม” จื่อต้าหลงตอบ
“ข้ากับลวี่เหรินฝึกมาถึงลมปราณจิตขั้นที่สี่กันแล้วนะ เ้าใยจึงช้านัก?” เฉิงไฉเซียวถาม
“ข้ามัวแต่เน้นฝึกวรยุทธขั้นสูงน่ะสิ ว่าจะกลับไปฝึกพื้นฐานพลังลมปราณอยู่เหมือนกัน” จื่อต้าหลงกล่าวพร้อมใช้มือซ้ายยกสุราขึ้นมาจิบ ส่วนอีกมือก็โอบเอวสาวงาม กลิ่นกายพวกนางช่างหอมหวนทำให้ สามหนุ่มติดใจหอจันทรามากขึ้นทุกที ตกเย็นเป็ต้องมาเกี้ยวเหล่าหญิงสาวในหอจันทราทุกวัน ทำตัวเสเพลเหมือนพวกนายน้อยชาติดีมีตระกูลทั้งหลายที่ชอบมากัน
“จริงสิ พวกท่านเองก็จบการศึกษาจากสำนักปลาทองใช่แล้วหรือไม่?” จื่อต้าหลงถาม
“ใช่แล้ว ข้ากับลวี่เหริน ได้ทำการจบการศึกษาออกมาเรียบร้อย จะว่าไปก็ใจหายเหมือนกันนะ” เฉิงไฉเซียวกล่าวอย่างอาลัยอาวรณ์
“นั่นสินะอยู่ที่นั่นตั้ง 3 ปี จะไม่ผูกพันเลยได้อย่างไร?” ลวี่เหรินกล่าว
“แล้วพวกเ้าจะเอาอย่างไร จะทำอะไรต่อรึ?” จื่อต้าหลงถาม
“ท่องเที่ยว ฮ่าๆๆๆ” เฉิงไฉเซียวกล่าวอย่างไม่คิดอะไรมาก
“แล้วเ้าล่ะ ต้าหลง?” ลวี่เหรินถามกลับ
“ข้าเองก็จะออกท่องยุทธภพเหมือนกัน ข้าอยากท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ” จื่อต้าหลงตอบจากนั้นเด็กหนุ่มก็เหมือนคิดอะไรออกพร้อมกับกล่าวขึ้นมาว่า “งั้นพวกเราไปหาที่เที่ยวกันมั้ย?” จื่อต้าหลงเสนอ
“ข้าไม่ติดนะ” เฉิงไฉเซียวกล่าว
“ข้าเองก็เหมือนกัน” ลวี่เหรินกล่าวสมทบ
“งั้นจะไปที่ไหนกันดีล่ะ?” จื่อต้าหลงกล่าว
“ข้าได้ยินมาว่ามีเมืองดอกไม้อยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองปลาทองอยู่นับว่าสวยมากนะเ้าคะ” หญิงคณิกาพูดขึ้นหลังจากที่ฟังทั้งสามคุยกันมาได้สักพัก
“เมืองดอกไม้งั้นหรือ? ชื่อเมืองช่างไพเราะยิ่งนัก!” เฉิงไฉเซียวกล่าว
“ที่เมืองนั่น ทั้งเมืองเต็มไปด้วยดอกไม้ต้นไม้นานาพรรณ ล้อมรอบบริเวณเมืองเต็มไปหมด… เลยได้ชื่อว่าเป็เมืองแห่งดอกไม้น่ะเ้าค่ะ” หญิงสาวกล่าวอธิบายให้ทั้งสามหนุ่มฟัง
