บทที่ 101 ระบายโทสะ
อะไรคือถ้าไม่มีการเปรียบเทียบก็จะไม่รู้สึกเ็ป?
ตอนนี้เป็อย่างนั้นจริงๆ
เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างก็รีบมาจากบ้านั้แ่เช้าตรู่ แต่สวี่จือจือยังรู้จักนำของบางอย่างมาด้วย ส่วนโจวเป่าเฉิงและอันฉินล่ะ?
เท่าที่เขารู้ เมื่อวานนี้ในงานเลี้ยงมีขนมหลายอย่างที่ถูกนำมาเสิร์ฟ ไม่สามารถนำมาที่โรงพยาบาลให้เหอเสวี่ยฉินได้ลิ้มลองบ้างเหรอ?
“คุณพ่อ” ลู่ซือหยวน ยิ้มแล้วพูดว่า “เธอเป็ยังไงบ้าง? อาการหนักไหมคะ?”
“ไม่เป็ไร เมื่อวานทำการผ่าตัดไปแล้ว แค่เคลื่อนไหวลำบากนิดหน่อย” ลู่ไหวเหรินพูด “พวกเธอมาถึงได้จังหวะพอดี ฉันต้องไปก่อนแล้วล่ะ เดี๋ยวจะไปทำงานสาย”
พูดจบเขาก็หยิบเงินออกจากกระเป๋าให้โจวเป่าเฉิง แล้วรีบหนีบกระเป๋าหนังสีดำเดินจากไปอย่างเร่งรีบ
ข้างๆ มีผู้หญิงวัยกลางคนที่แขนาเ็ยิ้มแล้วถามเหอเสวี่ยฉิน “สองคนที่หน้าประตูนั่นเป็ลูกสาวของเธอเหรอ? ไม่ใช่แค่หน้าตาดี แต่ยังกตัญญูด้วย”
ถุงตาข่ายนั้น มีของไม่น้อยเลย
มาถึงก็ถามอาการป่วย ถ้าไม่ใช่ลูกสาวจะมีความสัมพันธ์แบบนี้ได้ยังไง?
ไม่เหมือนสองคนนี้ มาด้วยมือเปล่าไม่พอ พูดออกมาก็ขอเงิน
เหอเสวี่ยฉิน “...”
เธอรู้สึกว่าเอวของเธอยิ่งปวดหนักขึ้นไปอีก
สวี่จือจือยิ้มแล้วเดินเข้าไป วางของไว้บนตู้ระหว่างเตียงสองเตียง ถามด้วยความห่วงใยว่า “น้าเหอ เอวของน้าเป็ยังไงบ้าง? ดีขึ้นบ้างไหมคะ?”
เหอเสวี่ยฉินแทบจะกัดฟันจนแตก รู้สึกว่าสวี่จือจือกำลังเสแสร้ง รอยยิ้มบนใบหน้าของอีกฝ่ายก็เหมือนกำลังเยาะเย้ยเธอ
“ไม่ถึงกับพิการหรอก” เธอยิ้มเยาะแล้วพูด
นี่เป็การประชดประชันเหรอ?
รอยยิ้มบนใบหน้าของสวี่จือจือยิ่งกว้างขึ้น ตบอกตัวเองแล้วพูดด้วยสีหน้าใว่า “งั้นก็ดีมากเลยค่ะ”
“ฉันกับพี่หยวนหยวนกังวลกันแทบแย่ตลอดทาง”
“ขอบคุณ์จริงๆ ที่ไม่เป็อะไร” สวี่จือจือพูดอย่างดีใจ “ของพวกนี้พวกเราเอามาฝาก น้าเหออย่ารังเกียจเลยนะคะ”
พูดจบเธอก็ผลักถุงตาข่ายไปข้างหน้าเล็กน้อย
เหอเสวี่ยฉินไม่ดูของพวกนั้นยังดี พอเห็นบิสกิตในถุงตาข่าย จะจำไม่ได้ได้ยังไง?
บิสกิตพวกนี้เป็ของขวัญที่ครูในโรงเรียนของเธอรวมเงินกันซื้อมาฝากเมื่อวาน เธอรับมาด้วยมือตัวเองแล้วเก็บไว้ในตู้ ยังสั่ง อันฉิน ไว้เป็พิเศษด้วย
ถึงจะไม่ใช่ของดีเลิศ แต่ก็ดีกว่าที่รับมาจากในหมู่บ้านมาก
ทำไมถึงไปอยู่ในมือของสวี่จือจือได้?
ใครจะรู้ว่าสวี่จือจือเหมือนจะอ่านใจได้ พูดต่อว่า “น้าเหอคงรู้สึกว่าขนมนี้ดูคุ้นตาใช่ไหมคะ?”
“อันนี้ยุวชนอันเอามาให้ั้แ่เช้าตรู่” สวี่จือจือพูด “บอกว่าจะไปกราบคุณย่า ั้แ่เช้าไม่ยอมเข้าไปในบ้าน คุกเข่าอยู่หน้าประตูบ้านกราบอย่างนั้น”
“กตัญญูจริงๆ ค่ะ” สวี่จือจือยิ้มแล้วพูด “ขนมนี้เป็ของที่เขาเอาไปกราบคุณย่า”
“แต่คุณย่ารู้สึกว่าน้าเหออยู่โรงพยาบาลอาจจะ้ามากกว่า เลยให้พวกเรานำมาให้” เธอยิ้มแล้วพูด “น้าเหออย่ารังเกียจเลยนะคะ”
รังเกียจอะไรกัน!
“เธอ...” เหอเสวี่ยฉินโกรธจนฟันสั่น อยากจะหยิบของมาปาใส่หน้าของสวี่จือจือ
“น้าเหอ เป็อะไรไปคะ?” สวี่จือจือพูดด้วยความแปลกใจ “เอวเริ่มปวดอีกแล้วเหรอ? หรืออยากเข้าห้องน้ำแล้ว?”
“นั่นใครน่ะ...” เธอชี้ไปที่อันฉินที่หน้าตาดูหดหู่แล้วพูด “โจวเป่าเฉิงรีบมากับเมียนายหน่อย แม่นายเพื่องานแต่งของพวกนายเมื่อวาน เหนื่อยจนเอวพัง แถมยังกลั้นฉี่กลั้นอึไม่อยู่ด้วย”
“รีบไปหาอ่างฉี่มาให้เธอหน่อยสิ”
“สวี่จือจือ” เหอเสวี่ยฉินทนไม่ไหวแล้ว ะโออกมาดังๆ
“น้าเหอ” สวี่จือจือใถอยหลังไปสองก้าวอย่างอ่อนแอแล้วพูด “น้าะโดังขนาดนี้ทำไมคะ? ที่นี่โรงพยาบาล ต้องรักษาความสงบด้วยนะ”
สงบอะไรกัน!
เหอเสวี่ยฉินรู้สึกว่าตัวเองจะบ้าแล้ว “ฉันจะบีบคอเธอให้ตาย”
เธอพูดไปพลางพยายามลุกขึ้นเพื่อพุ่งไปหาสวี่จือจือ“ไปตายซะ”
“โจวเป่าเฉิงยังไม่รีบมาประคองแม่นายอีก” สวี่จือจือรีบะโ “อารมณ์เสียขนาดนี้ได้ยังไง? เอวเป็แบบนี้แล้ว ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรนี่”
เหอเสวี่ยฉินโมโหจนหน้าแดงก่ำ ดวงตาจ้องเขม็งไปที่สวี่จือจือ
ท่าทางนั้นน่ากลัวเกินไปจริงๆ
สวี่จือจือกลัวจริงๆ รีบหลบไปไกลๆ
ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วจริงๆ เหรอ?
“เธอไม่ใช่ลูกสาวของหล่อนเหรอ?” ผู้หญิงวัยกลางคนเตียงข้างๆ ถาม
“ไม่ใช่ค่ะ คุณน้า” สวี่จือจือพูดอย่างว่านอนสอนง่าย “คนที่เพิ่งออกไปเมื่อกี้คือพ่อสามีของฉัน น้าเหอเป็ภรรยาใหม่ของพ่อสามีค่ะ”
“เธอคงเหนื่อยกับงานแต่งของลูกชายสามีเก่ามากไปเมื่อวาน แถมยังเจ็บเอวด้วย จิตใจคงไม่ค่อยดี” สวี่จือจือพูดอย่างเห็นอกเห็นใจ “คุณน้า รบกวนพวกคุณเสียแล้ว พวกคุณอย่าไปถือสาเธอนะคะ”
“ฉันขอโทษแทนด้วยค่ะ”
“เด็กสาวที่ดีขนาดนี้” ผู้หญิงวัยกลางคนพูดอย่างอิจฉา “น้องเหอ เธอนี่โชคดีจริงๆ” แล้วพูดกับเหอเสวี่ยฉิน “ถ้าฉันมีลูกสะใภ้ที่เข้าใจและรู้เื่แบบนี้ ไม่สิ มีครึ่งหนึ่งของลูกสะใภ้เธอ ฉันก็พอใจแล้ว”
เหอเสวี่ยฉิน “...”
โมโหจนแทบตายแล้ว
นางแพศยา!
“นั่นลูกสะใภ้ของเธอเหรอ?” ผู้หญิงวัยกลางคนเบ้ปาก “ดูไม่ได้เื่เท่าไหร่เลย แม่สามีปวดขนาดนี้ยังยืนนิ่งเหมือนเสาไม้ ไม่รู้จักไปช่วยหน่อยเหรอ?”
อันฉิน “...”
นี่มันอะไรกัน? มีสิทธิ์อะไรมาชี้นิ้วสั่งเธอที่นี่ด้วย?
“คุณเป็หัวหอมต้นไหน?” อันฉินกลอกตา “เื่ครอบครัวพวกเรา คุณต้องมายุ่งด้วยเหรอ?”
ผู้หญิงวัยกลางคนโมโหจนนิ่งอึ้ง แล้วยิ้มมองเหอเสวี่ยฉิน “ดี ดี ดี ฉันไม่พูดแล้ว ไม่พูดแล้ว”
“เธอหุบปากซะ” เหอเสวี่ยฉินหน้าดำคล้ำมองอันฉิน “ยังไม่รีบขอโทษน้าหวังของเธออีก”
ทำไมต้องขอโทษ? อันฉินไม่ยอม
แค่ผู้หญิงโง่ๆ คนหนึ่งเท่านั้น
“คนนี้คือภรรยาของผู้อำนวยการจ้าวแห่งกระทรวงศึกษาธิการของอำเภอเรา” เหอเสวี่ยฉิน กัดฟันพูด
กระทรวงศึกษาธิการ!
นั่นไม่ใช่หน่วยงานที่ดูแลโรงเรียนประถมของประชาคมเราเหรอ?
อันฉินโมโหขึ้นมา
คนสำคัญขนาดนี้ ทำไมเหอเสวี่ยฉินไม่บอกเธอั้แ่ตอนที่พวกเขามาถึง? อยากเห็นเธอเสียหน้าหรือยังไง?
“น้าหวัง...” อันฉินยิ้มบางๆ กล่าวขอโทษว่า “ขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้ว่าเป็คุณ เมื่อกี้...”
“ยังไง?” น้าหวังยิ้มเยาะ “ถ้าผู้ชายของฉันไม่ได้อยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ เธอก็จะด่าคนแบบนี้ได้ใช่ไหม?”
อันฉินสะอึก
สวี่จือจือหัวเราะ “น้าหวังอย่าโกรธนะคะ เธอเป็ยุวชนแดงจากเมืองหลวง มีวัฒนธรรม มีความรู้ สายตาย่อมสูงกว่าเด็กสาวบ้านนอกอย่างเรามาก”
ดังนั้นความหมายที่ซ่อนอยู่คือคนจากเมืองหลวงดูถูกคนบ้านนอกนั่นเอง
อันฉิน “...”
คำพูดของสวี่จือจือแม้จะฟังดูไม่มีอะไรผิด แต่ทำไมถึงรู้สึกไม่สบายใจขนาดนี้?
ยิ่งไปกว่านั้นสายตาของคนในห้องผู้ป่วยที่มองเธอก็เริ่มไม่ดีขึ้นมา
“สวี่จือจือ” เหอเสวี่ยฉินหน้าดำคล้ำ “ในเมื่อเธอกตัญญูขนาดนี้กฌไปหยิบอ่างฉี่มาให้ฉัน ฉันจะไปห้องน้ำ”
ตอนนี้ถึงไม่มีเธอก็จะเบ่งออกมาให้ได้
“น้าเหอ” สวี่จือจือพูดด้วยรอยยิ้ม “ถึงอันฉินจะเป็ยุวชนแดงจากเมืองหลวง แต่ตอนนี้แต่งงานกับโจวเป่าเฉิงแล้ว ก็กลายเป็ลูกสะใภ้ของน้า”
“แม่สามีาเ็นอนอยู่บนเตียง ไม่ว่าเธอจะสูงส่งแค่ไหน ก็ต้องดูแลแม่สามีของตัวเองไม่ใช่เหรอคะ?”
“น้าหวัง พวกคุณบอกหน่อยสิว่านี่คือเหตุผลที่ถูกต้องไหม?”
ลำเอียงชัดๆ มีลูกสะใภ้ของตัวเองแท้ๆ ยังจะมาบงการลูกสะใภ้ของลูกเลี้ยง
ยังไงก็ตามตอนนี้เธออารมณ์ไม่ดี มาเยี่ยมเหอเสวี่ยฉิน ครั้งนี้หนึ่งเพื่อสร้างชื่อเสียง สองเพื่อระบายโทสะ
ระบายยังไงน่ะเหรอ?
เห็นเหอเสวี่ยฉินโมโหแทบตายแบบนี้ ความไม่พอใจของเธอก็หายไปแล้ว
.............................