เวลาล่วงเลยจนถึง่บ่ายการพนันระหว่างข้ากับโอวเย่หยิงก็เพิ่มขึ้นเป็ 1:10ซึ่งแต่ละคนต่างก็พนันว่าผู้ชนะจะเป็โอวเย่หยิงและมีไม่กี่คนที่พนันว่าข้าจะสามารถเอาชนะเขาได้ขนาดว่าตระกูลใหญ่ของเมืองหลินเสี่ยเฉิงไม่ว่าจะเป็ตระกูลหวัง ตระกูลจ้าวและอีกหลายตระกูลก็พากันมาร่วมพนันครั้งนี้ด้วยและคาดว่าเมื่อถึงเย็นจำนวนการประมูลจะต้องเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน
“ข้าพนันว่าเสี่ยวเชวียนจะชนะหนึ่งแสนเหรียญ!”นางว่าแล้ววางเงินไว้บนโต๊ะในห้องทำงาน
สวี่ลู่รับเงินนั้นมาก่อนจะพูดขึ้น “ท่านรองเ้าสำนักท่านเคยบอกว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการพนันพวกนี้ไม่ใช่เหรอ?”
“นี่ไม่ใช่การพนันแต่เป็สิ่งที่บ่งบอกว่าข้าเชื่อมั่นในตัวของเสี่ยวเชวียนมากน้อยแค่ไหน”
นางว่าแล้วเอนตัวลงบนเก้าอี้และหันมามองข้าพร้อมกับถามขึ้น“ไหนลองบอกข้าหน่อยสิว่าเ้ามีจะโอกาสเอาชนะเขาได้มากน้อยแค่ไหน?”
“ตอนนี้คือสี่สิบเปอร์เซ็นต์”
ข้าบอกไปก่อนจะอธิบายต่อ“ถ้าข้าสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาาจนถึงระดับกลางของขั้นที่หกอย่างพลังสายฟ้าอรหันต์ได้ภายในสองวันที่เหลืออยู่โอกาสชนะก็จะเพิ่มขึ้นถึงประมาณเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์”
นางได้ยินแล้วก็ยิ้มขึ้นมา “หืม? นี่เ้าฝึกจนถึงขั้นที่หกแล้วเหรอ?”
“อืม!”
“ไม่เลวเหมือนกันนี่...”นางพูดขึ้นก่อนจะลูบปากสีแดงสดนั่นแล้วพูดต่อ“ถ้าเป็แบบนี้แสดงว่าใช้เวลาอีกไม่ถึงหนึ่งปี เ้าก็จะสามารถมีพลังที่สูงกว่าคนที่ได้รับฉายาว่าผู้เก่งกาจอันดับหนึ่งของสำนักหมื่นิญญานี่แล้วสินะ!”
“ใครเหรอ?” ข้าถามขึ้น
“ไม่ต้องถามหรอกน่า นี่ก็ถึงเวลาเรียนแล้ว เ้ารีบไปเถอะ”
“อืม ก็ได้...”
ข้าเดินออกจากห้องทำงานของรองเ้าสำนักอย่างมึนงงและพอเดินมาถึงสนามฝึกก็เจอเข้ากับซูเหยียนและตั้นไถเหยาที่เดินมาในชุดสบายๆแทนที่จะใส่ชุดของสำนัก และทั้งสองคนยังใส่ชุดเหมือนกันโดยเสื้อ้ามีสีน้ำเงินเข้มกับเสื้อคลุมสีกากีซึ่งทำให้ก้อนเนื้อนุ่มๆ ดันออกมาจนเห็นได้ชัด ผิวงามดุจนาง์เข้ากับใบหน้าอีกทั้งเส้นผมยังพลิ้วไสวดูเป็ธรรมชาติอีกต่างหาก
“พวกเ้าไม่เข้าเรียนเหรอ?” ข้าถามขึ้น
“อยู่ๆ ก็รู้สึกไม่อยากเรียนคาบบ่ายขึ้นมาน่ะ”นางซึ่งมีสายกระเป๋าสีขาวสะพายคล้องอยู่บนไหล่ตอบแล้วพูดต่อ“พอดีข้ากับอาเหยาว่าจะไปซื้อเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิที่ถนนปู้สิงสักหน่อยเ้าไปกับพวกข้าด้วยไหมล่ะ?”
ตั้นไถเหยาจึงพูดเสริมเช่นกัน “ใช่แล้วๆ ไปด้วยกันเถอะนะอาจารย์หลันเท้อเคยบอกว่าพวกเราห้าคนไม่จำเป็ต้องเข้าเรียนทุกคาบก็ได้เพราะการฝึกฝนสำคัญที่สุด”
“อย่างนั้นเหรอ?”
ข้าว่าแล้วหันไปถามหลันเท้อที่อยู่ไกลออกไป “อาจารย์หลันเท้อการฝึกซ้อมนอกสถานที่ในคาบบ่ายพวกข้าไม่เรียนก็ได้อย่างนั้นเหรอ?”
หลันเท้อไม่ได้พูดอะไรแต่กลับปัดไม่ปัดมือเหมือนอนุญาตให้พวกเราไปได้นี่สินะที่บอกว่าอาจารย์เป็อย่างไรลูกศิษย์ก็เป็แบบนั้น!
ข้าขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “ไม่ได้ ข้าจะเสียเวลาไม่ได้ เพราะจะต้องรีบกลับไปฝึกเคล็ดวิชาาเพื่อใช้ในการประลองกับโอวเย่หยิงที่จะเกิดขึ้นในอีกสองวันนี้”
“ปกติเ้าก็ฝึกเคล็ดวิชาา่เย็นอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?” ซูเหยียนกะพริบตาถี่แล้วพูดต่อ“อีกอย่างผู้ฝึกฝนิญญาอย่างพวกเราจะเร่งรีบไปก็ไม่เกิดผลดีอะไรขึ้นมาแต่การทำให้จิตใจได้ผ่อนคลายต่างหากถึงจะทำให้การฝึกฝนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”
“ข้าว่าพวกเ้าไปกันเถอะข้าขอฝึกเพลงกระบี่วายุสังหารอยู่ที่นี่ดีกว่า...”
“เฮ้อ...”
นางถอนหายใจออกมาก่อนจะทำท่าครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น “จริงๆข้าคิดไว้ว่าหลังจากที่เ้าไปซื้อเสื้อเป็เพื่อนแล้วข้ากะจะเลี้ยงข้าวเย็นที่ร้านจุ้ยเซียนเป็การตอบแทนสักหน่อย...”
“จริงเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเลย!”
นางทั้งสองคนต่างก็ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น...
…
แล้วพวกเราสามคนก็พากันเดินออกมาจากสำนัก
ความจริงก็เป็อย่างที่ซูเหยียนบอกว่าถ้าข้ารีบเร่งฝึกฝนจนเกินไปก็จะทำให้ฝึกได้ไม่ดีเท่าที่ควรซึ่งการฝึกฝนสองวันที่ผ่านมานี้ทำให้ร่างกายของข้ามีอาการาเ็ขึ้นมาจริงๆชนิดที่ว่ากินปลาหลีฮื้อหลงหลิงเข้าไปแล้วแต่ก็ไม่อาจทำให้าแสมานกันได้ทั้งหมด ฉะนั้นการพักผ่อนกว่าครึ่งวันของข้าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
ส่วนด้านหลังก็เป็ท่านลุงหลงที่คอยเดินตามอยู่ไกลๆเพราะไม่อยากเข้ามาใกล้แล้วทำให้ซูเหยียนไม่พอใจอีก
พอเห็นเช่นนั้นข้าก็รู้สึกเห็นใจนางที่ต้องถูกคนอื่นตามติดตัวเป็เงาอยู่ทั้งวันแบบนี้นางเองก็คงจะรู้สึกอึดอัดน่าดู นี่ถ้าข้าต้องโดนแบบนี้ละก็ คงจะโมโหไปนานแล้ว!
บนถนนปู้สิงในตอนบ่ายต่างก็มีผู้คนมาเดินเล่นและซื้อของกันมากมายชนิดที่ว่าเดินเบียดกันไปมาพอเงยหน้าขึ้นมองออกไปไกลๆ ก็เห็นแต่หัวคนเต็มไปหมดส่วนซูเหยียนและตั้นไถเหยาเหมือนกับแสงดาวในยามค่ำคืนที่ส่องสว่างทำให้กลุ่มของพวกเรากลายเป็จุดสนใจของหนุ่มสาวที่เดินสวนไปมา
“ร้านที่ชื่อว่าสวินจงเหมือนเพิ่งจะเปิดใหม่พวกเราเข้าไปดูกันเถอะ!” พอเห็นร้านแบบนี้นางสองคนก็ทำหน้าเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ
หลังจากเข้ามาในร้านพนักงานสาวสวยก็ออกมาต้อนรับและมองไปที่สาวงามทั้งสองก่อนจะมองมาที่ข้าเหมือนไม่ค่อยได้เห็นผู้ชายคนเดียวพาผู้หญิงสองคนมาเลือกซื้อเสื้อผ้าแบบนี้
หลังจากนั้นก็เป็เวลาของการรอคอย ซึ่งทั้งสองคนต่างไปๆ มาๆพร้อมกับถามข้าด้วยคำถามเดิมๆ
“ปู้อี้เชวียน ตัวนี้สวยหรือเปล่า?”
“อาจารย์ปู้ เ้าว่ากระโปรงตัวนี้เป็ไงบ้าง?...อืม ชายกระโปรงมันต่ำไปสินะนึกไม่ถึงว่าคนอย่างเ้าก็ดูเป็ ถ้าอย่างนั้นข้าไปเปลี่ยนตัวใหม่ละกัน”
“เ้าคนกินจุ เสื้อคลุมตัวนี้เข้ากับเสื้อเชิ้ตของข้าหรือเปล่า?”
...
เป็แบบนี้กระทั่งเวลาเดินมาถึงห้าโมงเย็นนางทั้งสองคนถือถุงเสื้อผ้าเต็มมือและทั้งตัวของข้ายังมีเสื้อผ้าห้อยอยู่เต็มไปหมดหลังจากที่เดินออกจากร้านก็เลือกเส้นทางที่จะผ่านร้านจุ้ยเซียนแต่พวกเราเดินออกมาได้ไม่ไกลก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “ดูนั่นๆดูเหมือนว่าจะเป็ศิษย์ของสำนักหมื่นิญญาใช่ไหม? น่าสนใจดีแฮะ นึกไม่ถึงว่าแค่ศิษย์จากห้าสำนักชั้นนอกจะมากับสาวงามทีเดียวสองคนแบบนี้เขารับไหวเหรอ?”
น้ำเสียงนั้นดังแบบมีเลศนัยจนข้าทั้งสามคนหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองก่อนจะเจอกับคนที่สวมชุดของสำนักวรยุทธ์ที่แตกต่างกันออกไปถึงสี่คนซึ่งแต่ละคนต่างก็มีสีหน้ายั่วยุ และตรงหน้าอกของพวกนั้นยังมีคำว่า ‘ยาตรา์’ติดอยู่
“คนของสำนักใหญ่ยาตรา์”
ตั้นไถเหยาอดไม่ได้ที่จะกระตุกยิ้มแล้วพูดขึ้น“ทำไมพวกศิษย์สำนักขั้นสองถึงได้ไร้มารยาทขนาดนี้นะ?”
ข้าได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วก่อนจะถามขึ้น “สำนักยาตรา์คืออะไร? ข้าไม่เห็นจะเคยได้ยิน”
“เ้าว่าอะไรนะ!?”ฝั่งตรงข้ามเริ่มเดือดดาลขึ้นมาทันที
“เ้าว่าอะไรนะ?”คนที่มีเส้นผมสีแดงคนหนึ่งถามอย่างไม่สบอารมณ์
“นี่ หลิวซาน อย่าพูดกับผู้หญิงแบบนั้นสิ มันไร้มารยาท”ชายอีกคนที่ไว้ผมยาวพูดขึ้นและหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วพูดต่อ“เ้าดูศิษย์ของสำนักหมื่นิญญาที่เป็ผู้ชายคนนั้นสินึกไม่ถึงว่าจะหลบอยู่ข้างหลังผู้หญิงโดยไม่กล้าพูดสักคำนี่มันทนเห็นผู้หญิงถูกด่าได้จริงๆ อย่างนั้นเหรอ? เหอะๆ!”
ซูเหยียนหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้น“เมืองหลินเสี่ยเฉิงเป็เมืองหลวงของเขตเหนือ จึงมีสำนักวรยุทธ์อยู่มากมายโดยมีทั้งหมดร้อยกว่าสำนักและสำนักของเราก็เป็สำนักที่แข็งแกร่งที่สุดจนได้ชื่อว่าเป็หนึ่งในสำนักใหญ่ของแผ่นดินใหญ่ลำดับรองลงมาก็จะเป็สำนักยาตรา์ สำนักจันทรา พรรคปีกโลกาและสำนักอื่นๆแต่ว่านะ...”
นางว่าแล้วปัดไม้ปัดมือก่อนจะว่าพลางหัวเราะขึ้น“นอกจากสำนักหมื่นิญญาแล้ว ที่เหลือก็คือพวกใช้ไม่ได้ทั้งนั้น!”
“เ้าว่าอะไรนะ!?”
ชายผมยาวคนนั้นพูดอย่างเดือดดาล“อย่าคิดว่าเ้าสวยแล้วจะมาพูดมั่วซั่วอะไรก็ได้เ้ากล้าบอกว่าสำนักเทียนสิของเราเป็สำนักขั้นสองอย่างนั้นเหรอ? อย่าลืมสิว่าการประลองยุทธ์เมื่อสามสิบปีก่อนสำนักของพวกข้าก็เอาชนะสำนักของพวกเ้ามาแล้ว!”
“เื่เมื่อสามสิบปีก่อนก็กล้าเอามาอวดอย่างนั้นเหรอ?”
มือข้างหนึ่งของซูเหยียนเท้าสะเอวส่วนอีกข้างก็วางถุงเสื้อผ้าลงแล้วกระดิกนิ้วเรียกคนตรงหน้า “มาๆๆไหนลองให้ศิษย์สำนักชั้นนอกอย่างข้าได้เห็นเป็คนขวัญตาหน่อยสิว่าศิษย์ของสำนักยาตรา์เก่งขนาดไหน!”
พอเผชิญหน้ากับคนที่การบำเพ็ญสูงสุดก็คงจะอยู่ในระดับสมบูรณ์ของขั้น์แบบนี้ซูเหยียนก็ต้องทำตัวอวดดีเป็ธรรมดา
ชายผมยาวดูเหมือนจะรู้ว่าซูเหยียนฝีมือไม่ธรรมดา เพราะถึงแม้นางไม่ได้แผ่พลังเมษาเพลิงัออกมาแต่ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่จนทำให้อีกคนหายใจไม่ทั่วท้องก็บ่งบอกทุกอย่างแล้ว
ชายผมยาวคนนั้นชี้มือมาทางข้า “พวกข้าไม่สู้กับเ้าหรอกนะแต่พวกข้าจะสั่งสอนผู้ชายที่อยู่ข้างหลังเ้าคนนั้นต่างหาก!”
“อย่างนั้นเหรอ?” ข้าวางถุงเสื้อผ้าในมือลงบนพื้นก่อนจะประกบมือเข้าด้วยกันแน่นจนเกิดเสียงกระดูกอ่อนลั่นออกมาเสียงดังแล้วก้าวขึ้นไปข้างหน้าซูเหยียนกับตั้นไถเหยา“เข้ามาสิข้าจะทำให้พวกเ้ารู้เองว่าข้าไม่มีทางหลบอยู่ข้างหลังผู้หญิงเด็ดขาด”
ตั้นไถเหยาที่ได้ยินจึงพูดขึ้นเสียงเบา“ถ้าอย่างนั้น...เ้าจะไม่มีทางรู้รสชาติความสุขของกระบวนท่าอย่างหนึ่ง”
ได้ยินนางพูดแบบนั้น ข้าก็เกือบจะกระอักเืออกมาเสียตรงนั้น...
ซูเหยียนนางมักจะมีอารมณ์ขันที่ทำให้ทั้งคนรักและเกลียดอยู่เสมอ เพราะแบบนี้ศิษย์ผู้ชายของสำนักจึงได้ตามจีบนางมากมายแต่ก็น่าเสียดายเพราะนางไม่เคยสนใจ แถมวันๆยังมัวแต่ขลุกอยู่กับข้าและซูเหยียนเท่านั้น
“แม**งเอ๊ย! ข้าเริ่มก่อนเอง!”
คนผมแดงที่เก็บอารมณ์ไม่อยู่เข้ามาแบบไม่ได้เรียกอาวุธิญญา แต่เป็หมัดที่พุ่งมายังหน้าอกของข้าเหมือนดาวตกอย่างรวดเร็วแทน
“อู้ฮูนี่คงจะเป็หมัดประจำสำนักของพวกนั้นอย่างหมัดยาตรา์ที่เป็วรยุทธ์ขั้นสองสินะมันก็ดูมีพลังอยู่เหมือนกันแฮะ” ซูเหยียนว่าพลางยิ้ม
ขณะเดียวกันข้าก็ซัดหมัดขวาเข้าไปปะทะเหมือนกัน
ปั้ง!
ภายใต้พลังของัพันศิลานี้ทำให้เท้าของข้าเหมือนกับูเาลูกใหญ่ที่ไม่มีทางจะสั่นคลอนเพราะมีพลังพุ่งขึ้นจากพื้นดินและทำให้ข้ากลายเป็ส่วนหนึ่งของมันไปแล้ว
ทว่าอีกฝั่งอย่างผู้ชายผมแดงคนนั้นกลับถูกพลังกระแทกเข้าใส่จนต้องถอยรุดไปหลายก้าวพร้อมกับใบหน้าที่ซีดเผือดส่วนคนที่เดินไปเดินมาต่างก็หยุดรอดูสถานการณ์อันหายาก ซึ่งนึกไม่ถึงว่าจะมีการประลองของศิษย์สองสำนักอย่างสำนักหมื่นิญญาและสำนักยาตรา์เกิดขึ้นบนถนนปู้สิงแห่งนี้ทำให้ผู้คนต่างพากันจับตามองเหมือนกลัวจะพลาดภาพเหตุการณ์สำคัญ
ข้าวาดเท้าออกกว้างแล้วตั้งท่าเพลงหมัดสายฟ้าพร้อมกับพลังสายฟ้าอรหันต์ที่แผ่ออกมาก่อนจะว่าพลางยิ้ม“ก็บอกแล้วไง พวกเ้าเข้ามาพร้อมกันทีเดียวเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสียเวลา”
“เ้าสารเลว!”
ศิษย์สามคนที่เหลือพุ่งเข้ามาพร้อมกันและยังใช้หมัดยาตรา์พุ่งพรวดเข้ามาดุจฝนดาวตกอีกต่างหาก
ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง!
หลังจากเสียงดังขึ้นซ้อนกันสามครั้งร่างของทั้งสามคนก็ล้มลงไปกองไม่เป็ท่า
หมัดยาตรา์ของพวกนั้นก็แค่ผิวเผินและไม่มีพลังที่แท้จริงของวรยุทธ์เลยด้วยซ้ำแม้ว่าเพลงหมัดของข้าจะเป็เพลงหมัดขั้นที่สามแต่เมื่อผ่านการฝึกฝนจากสนามประลองมามากมายจึงส่งผลให้ความร้ายกาจของมันมีมากกว่าวรยุทธ์ขั้นที่สองด้วยซ้ำ
ทั้งสี่คนหน้าตาเต็มไปด้วยฝุ่นจากถนน ก่อนที่ชายผมยาวจะพูดขึ้น“กลับ!”
ทั้งสี่วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วเพียงไม่นานก็หายเข้าไปในกลุ่มคน
“พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ” ข้าพูดขึ้น
สาวสวยทั้งสองคนที่ได้ยินต่างพยักหน้ารับ “อืม!”
...
ที่ร้านจุ้ยเซียน
“ทั้งสี่คนนั้นอยู่ในขั้น์เมื่อก่อนข้าก็เคยได้ยินมาบ้างว่าสี่คนนี้มีนิสัยพอๆกับพวกสามปราชญ์แห่งจวี๋ฉีนั่น ซึ่งคนจากสำนักของเราในลำดับท้ายๆต่างก็อยู่ในขั้นประกายจิตอะไรทำนองนี้ เวลาเจอกับคนนั้นจึงถูกรังแกจนเป็เื่ปกติ”
ตั้นไถเหยามองมาที่ข้าด้วยแววตาเป็ประกายก่อนจะว่าพลางยิ้ม “แต่น่าเสียดายที่วันนี้พวกมันดวงซวยเพราะกล้ามารังแกอาจารย์ปู้รนหาที่จริงๆ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้