เขาเฝ้าหวังทุกคืนวันว่าสกุลอวี๋จะมีขุนนางใหญ่สักคนจะได้เชิดชูเกียรติให้บรรพบุรุษ ในบรรดาลูกหลานสกุลอวี๋มีเพียงอวี๋ฉี่เจ๋อที่มีคุณสมบัติและเคยได้ตำแหน่งจอหงวนสามสนามอย่างมีหน้ามีตาทำให้อวี๋หรูไห่ไม่อาจตัดใจอย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าอวี๋เจียวอยากรักษาร่างกายของอวี๋ฉี่เจ๋อเช่นกันถือเสียว่าเป็การตอบแทนพระคุณที่เขาเคยยื่นมือช่วยเหลือก่อนหน้านี้
“ต้องจับชีพจรถึงจะรู้เ้าค่ะ”
สิ้นคำกล่าวของอวี๋เจียวอวี๋หรูไห่พลันร้องะโไปข้างนอกอย่างเปี่ยมพลัง “เ้าห้า เ้าห้า!”
ถัดจากเสียงเรียกหลายครั้ง อวี๋ฉี่เจ๋อมาถึงห้องโถงอวี๋หรูไห่เอ่ยว่า “ให้แม่หนูเมิ่งจับชีพจรของเ้า”
แม่เฒ่าได้ยินเสียงภายในห้องจึงเดินออกมาจากห้องด้านใน
อวี๋ฉี่เจ๋อชำเลืองมองอวี๋เจียวครู่หนึ่งก่อนจะนั่งลงบนม้านั่งจากนั้นยื่นข้อมือขาวผ่องและซูบผอมออกมา
อวี๋เจียวแตะปลายนิ้วลงบนข้อมือของเขาผ่านไปเนิ่นนานยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว อวี๋หรูไห่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงเอ่ยถามเสียงเบาว่า “แม่หนูเมิ่ง เป็อย่างไรบ้าง? มีหนทางรักษาหรือไม่?”
สะใภ้สามแซ่จ้าวและสะใภ้ใหญ่แซ่จางเดินมายังห้องโถงเช่นกันเมื่อเห็นอวี๋เจียวกำลังจับชีพจรให้อวี๋ฉี่เจ๋อ สายตาล้วนจับจ้องไปบนร่างของนาง
อวี๋เจียวลอบขมวดคิ้วโดยไม่อาจสังเกตเห็น ชักมือกลับมาดวงตาสบกับแววตาใสของอวี๋ฉี่เจ๋อแล้วยกยิ้มบาง “ถึงแม้ชีพจรจะเหี่ยวเฉาแต่มิใช่ว่าจะไร้หนทางรักษา ให้ข้าคิดหาวิธีอีกสักวันสองวันเสียก่อนเถิดเ้าค่ะ”
อวี๋ฉี่เจ๋อได้ยินเช่นนั้นใบหน้าซีดเซียวไม่ปรากฏความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด เขาหยัดกายลุกขึ้นอำลาอวี๋หรูไห่ก่อนจะกลับไปอ่านตำราในห้อง
อวี๋หรูไห่ยากเก็บซ่อนความยินดี ถามซักไซ้อวี๋เจียวว่า“แม่หนูเมิ่ง เ้าจะต้องคิดหาหนทางให้ดี หาก้าสมุนไพรอะไรเ้าก็เอาไปจากห้องสมุนไพรได้เลย หากไม่มีพวกเราจะไปซื้อจากร้านยาในเมืองให้เอง”
หลังจากอวี๋ฉี่เจ๋อออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าของอวี๋เจียวเลือนหายไปดวงตาของนางหรี่มองพิจารณาทุกคนภายในห้อง เอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า“ร่างกายของพี่ห้ากลายเป็ตะเกียงหมดน้ำมันไปแล้วเ้าค่ะ ข้าไร้หนทางรักษา”
หลังจากอวี๋หรูไห่ได้ยินคำกล่าวนี้ไม่ต่างกับถูกโจมตีอย่างหนักใบหน้าที่เดิมทีเต็มไปด้วยริ้วรอย ซีดเซียวลงทันที เขาลูบเคราของตนอย่างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรริมฝีปากขยับเล็กน้อย แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไรออกไป
สตรีแซ่อวี๋โจวปิดเปลือกตาลง ดูไม่ออกว่ามีสีหน้ายินดีหรือเสียใจส่วนสะใภ้ใหญ่แซ่จางถอนหายใจออกมา หยัดกายลุกขึ้นออกไปสานกระบุงต่อ
สะใภ้สามแซ่จางทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก้มหน้าก้มตาเย็บพื้นรองเท้าต่อไป อวี๋เจียวเก็บสีหน้าท่าทีของทุกคนไว้ในสายตาดวงตาฉายแววไตร่ตรอง
ประตูจวนส่งเสียง “เอี๊ยดอ๊าด” สตรีแซ่ซ่งกลับมาจากซักเสื้อผ้าอวี๋เจียวจึงลุกขึ้นเล้วเดินออกไปข้างนอกห้องโถง
นางยื่นมือออกไปรับตะกร้าแบกบนหลังของสตรีแซ่ซ่งและช่วยนางตากเสื้อผ้า
สตรีแซ่ซ่งเห็นว่าในจวนไม่มีคนนอกจึงเอ่ยถามว่า“ผู้ที่มาหาหมอกลับไปแล้วหรือ?”
อวี๋เจียวพยักหน้า ไม่เอ่ยสิ่งใดมากความ ร่วมแรงร่วมใจกับสตรีแซ่ซ่งตากฟูกนอนที่ถูกเลาะออกมาไว้บนราวไม้ไผ่ในลานเรือน
นอกจวนมีเสียงพูดคุยดังใกล้เข้ามา ผ่านไปครู่หนึ่งบุตรชายคนโตของครอบครัวใหญ่นามอวี๋จือหางและภรรยาได้พากันอุ้มบุตรเข้ามาในเรือน
คนทั้งสองประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นอวี๋เจียวกำลังตากผ้าก่อนหน้านี้หลังจากอวี๋เจียวทำเื่น่าอับอายเช่นนั้นบรรดาผู้อ่อนาุโต่างถูกคนสกุลอวี๋โยกย้ายไปที่อื่นอวี๋ฝูหลิงถูกส่งกลับบ้านตายายส่วนอวี๋จือหางพาภรรยานามหวังเมิ่งเยียนกลับบ้านมารดา
อวี๋เฉียวซานที่กำลังทำงานไม้อยู่ภายในลานเรือนเงยหน้าขึ้นเอ่ย“กลับมาแล้วหรือ?”
หวังเมิ่งเยียนอุ้มบุตรมาตรงหน้าอวี๋เฉียวซานมองเตียงเล็กที่เริ่มเป็รูปเป็ร่างแล้วเอ่ยว่า“ฝีมือของท่านพ่อนับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ เ้าค่ะ เจี๋ยเกิ่งน้อยของพวกเราจะมีเตียงของตนเองแล้ว”
แม่หนูน้อยในอ้อมกอดของหวังเมิ่งเยียนร้องะโไปทางอวี๋เฉียวซานอย่างปากหวาน“ท่านปู่ อุ้มๆ”
อวี๋เฉียวซานรีบเช็ดมือแล้วรับแม่หนูน้อยมาไว้ในอ้อมกอดอวี๋จือหางถือห่อผ้าเดินกลับห้องของครอบครัวใหญ่ สตรีแซ่จางวางเส้นหวายในมือแล้วตามกลับเรือนฝั่งตะวันตกเช่นกัน
“ท่านแม่ยายเอาน้ำตาลทรายแดงและไข่เป็ดห้าสิบฟองไว้ให้เมิ่งเยียนกับลูกสาวบำรุงร่างกายขอรับ”อวี๋จือหางวางห่อผ้าลงบนพื้นอย่างเบามือ
สตรีแซ่จางเอาน้ำตาลทรายแดงและไข่เป็ดออกมาเอ่ยด้วยใบหน้าฉายแววยินดี “ครอบครัวภรรยาไม่เคยนึกเสียดายสิ่งของกับพวกเรามาแต่ไหนแต่ไรแต่เพราะไม่ได้แยกหม้อหุงต้ม คงไม่อาจซ่อนไข่เป็ดเหล่านี้เอาไว้มิเช่นนั้นถ้าท่านย่าของเ้ามาเห็นเข้าคงจะได้ขึ้นชื่อว่าอกตัญญู”
สตรีแซ่จางนับไข่เป็ดสิบห้าฟองเพื่อเตรียมเอาออกไปให้ส่วนรวมส่วนที่เหลือล้วนซ่อนเอาไว้
หวังเมิ่งเยียนอุ้มบุตรเข้ามาในห้อง เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า“ท่านแม่ เหตุใดเมิ่งอวี๋เจียวถึงยังอยู่ในจวนเ้าคะ?”
สตรีแซ่จางชำเลืองมองไปด้านนอก กดเสียงต่ำเอ่ยว่า“แม่หนูสกุลเมิ่งผู้นั้นเป็คนมีความสามารถ ท่านปู่ของเ้าถูกใจวิชาหมอของนางมีหรือจะหักใจไล่นางออกไป ต้องมีเื่วุ่นวายเป็แน่!”
หวังเมิ่งเยียนหยอกล้อบุตรในอ้อมกอดพลางเอ่ยด้วยความประหลาดใจ“เมิ่งอวี๋เจียวรู้วิชาหมอหรือเ้าคะ? นางอยู่ในจวนพวกเราต่อไป ท่านย่ากับน้าสะใภ้สามไม่โวยวายหรือเ้าคะ?”
สตรีแซ่จางหัวเราะเย้ยหยัน “จะไม่โวยวายได้อย่างไร? แต่ก็สู้วิชาหมอของแม่หนูผู้นั้นไม่ได้ตอนโจวไหวในหมู่บ้านของเราถูกหามเข้ามาได้ใกล้จะตายแล้ว แต่ก็ได้นางเป็คนช่วยจนรอดตาย!วันนี้ผู้ดูเเลจากหมู่บ้านสกุลจางพาบุตรชายที่เป็โรคลมชักมาหาหมอนางก็ยังเป็คนจัดเทียบยา หากถูกมองว่าเป็คนดีไปแล้วต่อให้เ้าสามกับท่านย่าของเ้ายังโวยวายต่อไปท่านปู่ของเ้าก็ไม่มีทางหักใจไล่คนออกไป!”
หวังเมิ่งเยียนกับอวี๋จือหางจิ๊ปากด้วยความประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ยังคงเอ่ยออกมาอย่างเหลือเชื่อ “วิชาแพทย์ของเมิ่งอวี๋เจียวเก่งกาจถึงเพียงนี้เชียว? เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน?”
“ผู้ใดจะไปรู้กัน! ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็อย่าเข้าไปเกี่ยวข้องเป็ดีที่สุด”สตรีแซ่จางเอ่ยกำชับ
สตรีแซ่จางเอาไข่เป็ดออกไปรายงานกับสตรีแซ่อวี๋โจวสิ่งของที่สามารถเอามาจากบ้านมารดา แน่นอนว่าสตรีแซ่อวี๋โจวย่อมต้องยินดียิ่งนักเอ่ยชื่นชมคนฝั่งบ้านมารดาของหวังเมิ่งเยียนไม่กี่ประโยค
อวี๋เจียวช่วยสตรีแซ่ซ่งตากเสื้อผ้าในลานเรือนเสร็จเรียบร้อยนางเดินมาใกล้อวี๋เฉียวซานยืนมองเขาขูดไม้เพื่อเก็บรายละเอียดเตียงเล็กอยู่ด้านข้างอย่างเงียบเชียบ
“ท่านลุง ท่านช่วยข้าทำของสิ่งหนึ่งได้หรือไม่เ้าคะ?” อวี๋เจียวเห็นว่าฝีมือของอวี๋เฉียวซานเข้าขั้นเชี่ยวชาญจึงเอ่ยถามออกไป
อวี๋เฉียวซานปรายตามองอวี๋เจียวแท้จริงแล้วเขาไม่รู้ว่าควรปฏิบัติต่ออวี๋เจียวเช่นไรนิ่งเงียบชั่วเสี้ยววินาทีก่อนจะเอ่ยถามว่า “เ้าจะให้ข้าทำอะไร?”
“ข้าจะวาดรูป ท่านจะได้ดูว่าท่านทำตามแบบได้หรือไม่เ้าค่ะ”อวี๋เจียวหยิบกิ่งไม้เล็กบนพื้นขึ้นมาใช้มีดของอวี๋เฉียวซานเหลาปลายจนแหลมแล้วกลับไปยังเรือนฝั่งตะวันออก
นางเคาะประตูห้องของอวี๋ฉี่เจ๋อ นิ่งรอครู่หนึ่งอวี๋ฉี่เจ๋อเปิดประตูออกมาจากข้างใน เมื่อพบว่าเป็อวี๋เจียวจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า“มีเื่อันใด?”
“ขอยืมกระดาษกับน้ำหมึกของท่านสักหน่อย” อวี๋เจียวเอ่ย
อวี๋ฉี่เจ๋อถอยหลังออกไป อวี๋เจียวเดินเข้ามาในห้องของอวี๋ฉี่เจ๋อภายในห้องตกแต่งอย่างเรียบง่ายเป็อย่างมาก ทว่าชั้นหนังสือเต็มไปด้วยตำราอีกทั้งบนโต๊ะยังคงถูกวางไว้ด้วยตำราจนเต็มไปหมดเช่นกัน
อวี๋เจียวชำเลืองมุมมองความคิดที่อวี๋ฉี่เจ๋อเขียนไว้บนตำราตัวอักษรงดงาม ถึงแม้อวี๋เจียวจะไม่เข้าใจความหมายแต่คิดว่าอวี๋ฉี่เจ๋อเป็ผู้มีพร์โดดเด่นด้านการประพันธ์ผู้หนึ่งอย่างแท้จริง
อวี๋เจียวหยิบกระดาษสีขาวหนึ่งแผ่นใช้ปลายกิ่งไม้ที่เหลาจนแหลมจุ่มน้ำหมึก จากนั้นลงมือวาดภาพลงบนกระดาษ
อวี๋ฉี่เจ๋อยืนเงียบอยู่ด้านข้างค่อนข้างประหลาดใจอยู่บ้างที่อวี๋เจียวใช้ปลายกิ่งไม้วาดภาพผ่านไปครู่หนึ่งภาพที่อวี๋เจียววาดเริ่มเป็รูปเป็ร่างสามารถดูออกว่าเป็รูปทรงขาข้างหนึ่ง
อวี๋ฉี่เจ๋อเงยหน้ามองใบหน้าด้านข้างของนาง เอ่ยถามว่า “นี่คืออะไร?”