ค่ำคืนเทศกาลโคมไฟดวงจันทร์สุกสกาวอยู่บนท้องฟ้า แสงไฟระยิบระยับวาววับ แม้อากาศจะหนาวเย็น แต่ก็ไม่ทำให้ความกระตือรือร้นของชาวบ้านที่มาชมโคมไฟอย่างครึกครื้น ในคืนวันที่สิบห้าของเดือนหนึ่งให้มอดได้เลย
กระแสมวลมนุษย์ที่มากมายจนน่าหวาดกลัว โคมไฟประดับหลากสีสันสดใสเสริมให้สองข้างทางโดดเด่นขึ้น คนเดินถนนบ้างก็เงยหน้าชมพระจันทร์บ้างก็สัญจรไปมาอย่างรีบร้อน
“ท่านพี่ ท่านดู โคมไฟประดับทางนั้นสวยมากเลย!” เสียงสดใสของเด็กชายมีความตื่นเต้นดีใจอยู่
“ผิงอัน อย่าวิ่งไปทั่ว คนเยอะ หากอีกเดี๋ยวพลัดหลงเ้าอย่ามาร้องไห้ขี้มูกโป่งเล่า” เด็กสาวด้านข้างจูงเด็กชายแล้วตักเตือนออกมาแบบไม่ประดิษฐ์ถ้อยคำ
เด็กสาวสวมเสื้อบุนวมสีแดงอ่อนและกระโปรงสีแสงจันทร์ รูปร่างเล็กบอบบางใบหน้างดงาม เห็นเพียงดวงหน้าที่ยิ้มอย่างนุ่มนวล ลักษณะท่าทางสุขุมสงบนิ่ง ดวงตาหลุบลงครึ่งหนึ่งวาดเป็เส้นโค้งสวยงาม... นี่เป็หูเจินจูที่ออกมาชมโคมไฟประดับในค่ำคืนนี้
“ข้าไม่มีทางร้องไห้ขี้มูกโป่งหรอก…” ผิงอันย่นจมูกแล้วมุ่ยปากอย่างไม่สบอารมณ์
“ฮ่าๆ ผิงอันของพวกเราโตแล้ว ไม่ร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้ว” ชุ่ยจูลูบใบหน้าเล็กสีแดงรูปไข่ของผิงอัน
เด็กคนนี้นับั้แ่รู้ว่าสามารถออกมาชมโคมไฟประดับได้ก็ตื่นเต้นดีใจราวกับได้ฉีดเืไก่
เจินจูจับมือเล็กของเขาให้กระชับขึ้น กลัวว่าเขาจะตื่นเต้นเกินไปจนตนเองวิ่งไปไหนแล้วไม่มีใครรู้
ถนนวัดฝั่งตะวันตกของเมืองคึกคักอย่างมาก พ่อค้าเร่แผงลอยแต่ละร้านะโเรียกลูกค้าไม่ขาดสาย หน้าซุ้มขายของส่วนใหญ่ล้วนล้อมรอบเต็มไปด้วยผู้ใหญ่และเด็กเล็ก
ขายอาหารการกินบ้าง ขายโคมไฟบ้าง ขายชาดกับแป้งน้ำบ้าง เขียนจดหมายแทนบ้าง ทำนายดวงชะตาบ้าง แล้วยังมีการแสดงกายกรรมบ้าง… สองข้างทางถนนเต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่ไปมาอย่างคับคั่ง
ตลอดทางผิงอันและผิงซุ่นสองตามองไปอย่างเป็ประกาย พอเห็นการแสดงกายกรรมเข้าต่างก็พากันไม่ขยับก้าวฝีเท้า สองคนยืนดูกายกรรมอย่างไม่ขยับเคลื่อนไหว มีทั้งพลิกตัวกลิ้งไปมาตามพื้นและจบด้วยการโค้งคำนับ สนุกสนานกันจนตบมือแดงไปหมด
ทันทีที่ลิงถือชามและฆ้องเดินวนสนามหนึ่งรอบ ผู้มีเงินก็ตบรางวัลให้เป็ค่าตอบแทนสองสามเหวิน ผู้ที่ไม่มีเงินหรือไม่ประสงค์จะให้ก็ก้าวถอยหลังจากไป พอเดินครบหนึ่งรอบในชามของการแสดงกายกรรมก็มีเงินอยู่หลายสิบเหวิน
หูฉางกุ้ยพาเด็กชายสองคนดูอยู่นานมาก เมื่อเห็นว่าลิงเดินเข้ามาก็คลำเงินสองเหวินออกมาอย่างนึกขึ้นได้ และให้พวกเด็กๆ ใส่ไปคนละเหวิน
เจินจูไม่ได้มีความสนใจต่อการแสดงกายกรรม จึงจูงชุ่ยจูไปดูเวทีทายปริศนาที่ติดบนโคมไฟด้านข้าง หูฉางหลินไม่วางใจให้เด็กสาวสองคนไปกันเอง จึงบอกกล่าวหูฉางกุ้ยแล้วตามไป
การเดาปริศนาที่ติดบนโคมไฟเป็ธรรมดาที่ต้องรู้ตัวอักษร จึงจะสามารถมองหัวข้อทายปริศนาได้ ดังนั้นละแวกเวทีนี้ล้วนเป็ปัญญาชนที่ศีรษะสวมหมวกบัณฑิตท่าทางสุภาพเรียบร้อยและมีมารยาทกันทั้งนั้น และยังมีหญิงสาววัยแรกแย้มหลายคนที่ข้างกายมีสาวใช้และหญิงชราติดตามมาด้วย บนศีรษะสวมหมวกม่านหรือไม่ก็มีผ้าคลุมหน้าปิดไว้
แน่นอนว่าชาวบ้านที่แต่งตัวเรียบง่ายเสื้อผ้าธรรมดาเหมือนกับพวกนางก็มีไม่น้อยเช่นกัน ล้วนล้อมรอบโคมไฟประดับเป็สามกลุ่มห้ากลุ่มลองทายปริศนาที่ติดบนโคม
ความสามารถในการมองเห็นของเจินจูตอนนี้ดีมาก แม้ว่านางจะอยู่ไกลจากโคมหลากสีเ่าั้ แต่พอมองไปยังปริศนาเล็กๆ ที่ติดบนโคมไฟอย่างประณีตเรียบร้อยกลับมองเห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ทว่าน่าเสียดายแม้เรียนรู้คำศัพท์กับยู่เซิงมาไม่น้อย แต่ต้องเดาตัวอักษร อธิบายไขปริศนาขึ้นมาอีก นางยังด้อยไปหน่อย
ส่วนชุ่ยจูกลับดีใจมาก แม้นางรู้จักตัวอักษรบนโคมไฟไม่ทั้งหมด แต่สำหรับนางที่เพิ่งเรียนได้ระยะเวลาสั้นนี้กลับสามารถรู้ได้ส่วนหนึ่ง นางก็ดีใจจนหน้าตามีรอยยิ้มประดับอยู่
สองคนไม่ได้ไปทายปริศนา เพียงล้อมอยู่รอบเวทีเดินวนหนึ่งรอบ ดูปริศนาที่อยู่บนโคมไฟต่างๆ ก็สนุกมากเช่นกัน
โคมไฟวิจิตรตระการตาในท้องฟ้ายามราตรี สีสันแวววาวสว่างไสวละลานตาไปหมด สองคนดูอยู่หลายรอบด้วยความตื่นตาตื่นใจแล้วจึงลาจากแท่นเสาที่ห้อยโคมไป
เจินจูพกกระเป๋าเล็กติดตัวมาด้วย ด้านในใส่เหรียญทองแดงไว้ไม่น้อย นางจูงชุ่ยจูมาหยุดพักอยู่ร้านแผงลอยข้างทางที่ขายชาดกับแป้งน้ำ
ประการแรกซื้อหวีไม้ต้นท้อสี่อัน ให้ชุ่ยจูหนึ่งอัน ให้ยู่เซิงหนึ่งอัน แล้วยังมีอีกสองอันเก็บไว้ให้ตนเองกับผิงอันใช้ หวีของที่บ้านตนเองเป็การใช้ร่วมกัน แต่เจินจูเคยชินกับการมีหวีใช้เป็ของตนเอง ตอนที่ฐานะยังไม่เอื้ออำนวยก็ทำได้เพียงใช้แก้ขัดไปก่อน ตอนนี้สามารถซื้อได้แล้ว แน่นอนว่าต้องทำตามใจตนเอง
ชุ่ยจูยิ้มแล้วรับไว้ นางมีหวีแต่เก่าจนหักไปหลายซี่แล้ว สามารถเปลี่ยนหวีใหม่ได้แน่นอนว่าดีใจอย่างมาก เจินจูสะสมเหรียญทองแดงส่วนตัวไว้ไม่น้อย ชุ่ยจูก็ไม่ได้เกรงใจนางอีก
บนแผงลอยมีดอกไม้ผ้าไหมประดิษฐ์สีสันหลากหลายประณีตมาก ชุ่ยจูหยิบดอกไม้ผ้าไหมประดิษฐ์สีเหลืองอ่อนขึ้นหนึ่งดอก หันไปเทียบกับมวยผมของเจินจู สีเหลืองอ่อนขับให้ผิวขาวนวลสว่างสดใสมากขึ้น ชุ่ยจูพยักหน้าออกมาตามตรงด้วยความพึงพอใจ
เจินจูไม่ได้สนใจดอกไม้ผ้านั้น นางไม่อยากโอ้อวดไปตามถนนเพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้คนด้วยดอกไม้ประดิษฐ์หนึ่งดอกใหญ่ แม้เห็นผู้อื่นสวมอยู่บนศีรษะแล้วยังมีความชื่นชมว่าสวยอยู่มาก แต่ให้สวมไว้เองจริงๆ ยังไม่ค่อยสบอารมณ์นัก คิดๆ ไปแล้วนางยัง้าเวลาอีกสักหน่อย จึงจะสามารถหลอมรวมเข้ากับสังคมนี้ได้อย่างถึงที่สุด
แม้นางจะไม่ชอบแต่ก็ยังซื้อดอกไม้นั้นมา ชุ่ยจูอายุสิบสามปีแล้ว กำลังเป็วัยหนุ่มสาวที่รักสวยรักงาม แม่นางน้อยชอบมากเช่นนี้ย่อมต้องซื้อมาสองดอก สองสาวพี่น้องยังเลือกเชือกผูกผมสีเรียบแต่ดูงามมาสองสามเส้นให้ตนเอง เมื่อจ่ายเงินแล้วจึงหมุนกายออกมา
สำหรับชาดกับแป้งน้ำที่หลากหลายบนแผงขาย เจินจูชำเลืองมองหนึ่งทีแล้วก็ไม่ได้สนใจ นางใช้เครื่องประทินผิวของยุคปัจจุบันต่างๆ จนชินแล้ว เครื่องประทินผิวระดับพื้นฐานของยุคโบราณนี้นางยังรับไม่ได้จริงๆ อีกประการหนึ่ง นางมีน้ำแร่จิติญญาช่วยให้ความชุ่มชื้นอยู่แล้ว ผิวของแม่นางน้อยทั้งสองอย่างพวกนางล้วนขาวนวลและชุ่มชื้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่มีปัญญาใช้ของเหล่านี้อยู่แล้ว
หลังดูโคมไฟประดับเสร็จ คนสองกลุ่มก็มารวมตัวกัน เดินเล่นั้แ่หัวถนนมาจนถึงจุดสิ้นสุดถนน ในมือของผิงอันกับผิงซุ่นมีอาหารจุกจิกเพิ่มขึ้น ...น้ำตาลปั้น ขนมปังผิง แป้งทอดเกลียว เมล็ดทานตะวัน เกาลัดคั่ว… สองคนมีความสุขจนหุบปากไม่ลง
ทุกอย่างล้วนซื้อเล็กน้อย ถือโอกาสเอากลับไปนิดหน่อย ในมือชุ่ยจูกับเจินจูล้วนซ่อนเอาไว้ในเสื้อสองสามอย่าง ส่วนใหญ่ต่างเป็หูฉางหลินซื้อให้ ตามที่เขาเอ่ยคือเมื่อก่อนไม่สามารถทานได้ ตอนนี้ล้วนชดเชยให้ครบถ้วนสักครั้ง
แสงสีในยามราตรีค่อยๆ มืดลง ความเหน็บหนาวเย็นขึ้น กลุ่มหูเจินจูหนึ่งขบวนเดินกลับมาพร้อมฝูงชน
จวนจะถึงเวลาที่นัดหมายกับพ่อลูกจ้าวต้าซานแล้ว คนครอบครัวสกุลหูจึงเร่งจังหวะการก้าวให้เร็วขึ้น
วันนี้ผิงอันอารมณ์ดีทั้งวัน ดื่มด่ำกับโคมไฟประดับหลากสี ชมการแสดงกายกรรม แล้วยังซื้อของอร่อยมากมาย ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าในใจเขาดีใจมากเท่าไร แต่คืนนี้เริ่มดึกแล้ว ความรู้สึกจึงค่อยๆ เซื่องซึมลง เพราะคนตัวเล็กเริ่มง่วงเหงาหาวนอน
“หาว” เห็นเพียงเขาหาวหนึ่งเสียงหนังตาแทบจะลืมไม่ขึ้นเล็กน้อย
หูฉางกุ้ยที่มองอยู่ขบขันนิดหน่อย หยุดกายลงและเตรียมแบกเขากลับไป
“โครม” ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากหัวมุม ชนเข้ากับร่างของผิงอัน
ผิงอันโซเซเกือบล้มลงไปที่พื้น ส่วนร่างที่มาปะทะกลับล้มกลิ้งลงไป
เื่ราวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนยังไม่ทันได้มีการตอบสนองออกมา คนก็ลงไปนอนอยู่บนพื้นแล้ว
ทุกคนต่างตื่นใจนได้แต่มองกันไปมาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
“…นี่พบเข้ากับคนที่แกล้งโดนชนเพื่อเอาเงินแล้วหรือ?” เจินจูจ้องมองคนที่นอนกองอยู่บนพื้นไม่ขยับไหวติง ชนเบาๆ แค่นี้เอง ผิงอันที่ตัวเล็กผอมลีบยังไม่ล้มเลย เขาเป็ผู้ชายตัวใหญ่เช่นนั้นกลับล้มลงไปกองอยู่กับพื้นแล้ว
ก็ไม่แปลกใจที่เจินจูจะมีความคิดเช่นนี้ ผู้ชายที่อยู่บนพื้นมีผมเผ้ารุงรังหน้าตามอมแมม หนวดเคราไม่โกน แม้นอนหงายอยู่บนพื้นก็มองออกได้ว่าเป็ผู้ชายที่หยาบกร้านแข็งแกร่งร่างสูงใหญ่
“ผิงอัน เ้าไม่เป็อะไรใช่หรือไม่?” หูฉางกุ้ยดึงผิงอันมาแล้วถามด้วยความเป็ห่วง
“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้เป็อะไร แต่คนผู้นั้น…” ผิงอันดึงมือใหญ่ที่แห้งกร้านและอบอุ่นของบิดาตนเองไว้ ใจที่หวาดกลัวเล็กน้อยก็สงบลง
“ทำไมคนผู้นี้นอนอยู่บนพื้นไม่ขยับกัน? …หรือว่าเขา …ตายแล้ว?” ผิงซุ่นหลบอยู่ข้างหลังหูฉางหลิน ยื่นศีรษะออกมาถาม
“ผัวะ”
คำพูดเพิ่งจบลง ศีรษะของผิงซุ่นก็ถูกฝ่ามือตบเข้าให้หนึ่งที เห็นเพียงหูฉางหลินถลึงตาใส่เขาอย่างโมโหพร้อมกับตวาดเสียงต่ำ “เ้าเด็กเหม็นโฉ่ กล่าวเหลวไหลอะไรกัน”
ผิงซุ่นหดลำคอกลับไป ไม่กล้าส่งเสียงอีก
“ท่านพ่อ ท่านไปดูหน่อย เขาเป็ลมไปแล้วหรือไม่เ้าคะ?” แม้ผู้ชายบนพื้นจะหายใจอยู่น้อยๆ แต่การขยับขึ้นลง่ท้องยังนับว่าสม่ำเสมอมั่นคง
พอมองอีกครั้ง เขาสวมเสื้อนวมที่บุด้วยผ้าฝ้ายหยาบสีฟ้าอมเขียวเก่าและชำรุด ปลายแขนเสื้อกับชายผ้าเป็รูขาดยังมีใยฝ้ายสีเหลืองจางๆ ทะลุออกมาอีกด้วย ดูแล้วน่าจะเป็ชาวบ้านทั่วไปที่ลำบากยากจน แค่ไม่รู้ว่าเพราะป่วย? หรือเพราะหิวแล้วเป็ลม? หรือจะแกล้งทำเป็สลบไปและคิดจะขู่กรรโชกพวกเขากันแน่?
“…เ้าหนุ่ม? ตื่นหน่อย… เ้าหนุ่ม…” หูฉางกุ้ยประคองผู้ชายบนพื้นไว้แล้วเขย่าปลุกเบาๆ
“…เป็ลมไปแล้วจริงๆ นี่ต้องทำอย่างไรดี ต้องส่งโรงหมอหรือไม่?” หูฉางหลินกระสับกระส่ายอยู่หลายส่วน เริ่มดึกมากขึ้นแล้วหากไม่รีบกลับไปเร็วหน่อย ที่บ้านจะกังวลใจได้
เจินจูเลิกคิ้วขึ้น
เพราะมีคนเป็ลม คนที่ล้อมชมก็ค่อยๆ มากขึ้น
“อ้าว! นั่นมิใช่หลู่โหย่วมู่หรือ ทำไมมานอนอยู่บนพื้นกัน?” ฟู่เหรินวัยกลางคนสวมเสื้อหนาวบุนวมสีน้ำเงินเข้มกล่าวด้วยความประหลาดใจ ในมือจูงเด็กหญิงอายุเจ็ดแปดปีอยู่ด้วย
“ท่านอาสะใภ้ท่านนี้ รู้จักเขาหรือ?” ได้ยินว่ามีคนรู้จักชายผู้นี้ เจินจูจึงไปข้างหน้าแล้วถามทันที
“อื้ม” ฟู่เหรินวัยกลางคนถอนหายใจราวกับเห็นอกเห็นใจ “หลู่โหย่วมู่อยู่ในตรอกฝั่งตะวันออก ผู้ที่อยู่ละแวกนั้นล้วนรู้จักหมด เป็คนที่น่าสงสาร เดิมทีเป็ช่างไม้ที่สามารถหาเงินได้มากเลย บังเอิญจู่ๆ เกิดเื่ไม่ดีขึ้น ข้อศอกแขนขวานั่นหกล้มหัก ไม่ได้รักษาให้ดี ไม่ใช่แค่เหยียดไม่ตรงแต่ยังออกแรงไม่ได้ด้วย ไม่สามารถทำงานช่างไม้ต่อไปได้ แล้วยังติดหนี้เพราะรักษาอาการป่วยอีก ทั้งครอบครัวยังมีคนแก่ เด็กเล็ก คนป่วย และคนพิการล้วนอาศัยเขาเลี้ยงดู ตอนนี้ทำได้เพียงดื่มลมตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว [1]”
นางถอนหายใจอย่างไม่เดือดร้อนอีกครั้ง กลอกตาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าทุกคนที่ล้อมดูล้วนพุ่งความสนใจมาที่ตัวนาง จึงอดเลิกคิวขึ้นแล้วกล่าวซุบซิบต่อไม่ได้ “ภรรยาของเขาสิ้นไปนานแล้ว เหลือเพียงบุตรสาววัยสิบปีอยู่คนเดียว แล้วเขายังมีท่านแม่ที่พิการหนึ่งคน ล้วนต้องให้เขาหาเลี้ยง แต่แขนเขาพิการแล้วอะไรก็ทำไม่ได้ ตอนนี้ครอบครัวเขาเกรงว่าจะมาถึง ปลายสุดของูเาแม่น้ำ หนทางข้างหน้าไม่มีทางไปได้อีกแล้ว [2] ดูท่าว่าไม่ใช่อ่อนเพลียล้มพับไปก็เป็เพราะหิวจนเป็ลมไปกระมัง…”
“ท่านอาสะใภ้ท่านนี้ ท่านทราบหรือไม่ว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหน? นี่อากาศหนาวพื้นเย็นนักต้องส่งเขากลับบ้านถึงจะถูก ไม่เช่นนั้นจะทำให้คนแข็งตายเอาได้” เจินจูชิงกล่าวจนจบ ชายผู้นี้ไม่ว่าจะอ่อนเพลียสลบไปหรือหิวเป็ลมไป จะอย่างไรก็ต้องนำคนไปส่งบ้านก่อนจึงจะถูก
“อ่า… บ้านเขาหรือ ไม่ไกล อยู่ในตรอกหลังตลาดฝั่งตะวันออก บ้านแถวสุดท้าย เดินเข้าไปถามหน่อยก็รู้ได้” ฟู่เหรินวัยกลางคนชี้ทาง
เจินจูกล่าวขอบคุณ แล้วจึงปรึกษากับหูฉางหลินและหูฉางกุ้ยเื่พาคนกลับไปส่งบ้าน
ถึงอย่างไรก็ชนเข้ากับผิงอัน ไม่สามารถโยนคนทิ้งไว้บนพื้นได้
พวกเขาคนมากเกินไปหากตามไปด้วยกันไม่สะดวกนัก เวลานี้แสงสีในยามราตรีเริ่มมืดลง จึงให้หูฉางกุ้ยพาเด็กสามคนไปรอที่ฝากเกวียนวัวไว้ก่อน ส่วนหูฉางหลินกับเจินจูก็ไปส่งชายผู้นั้นกลับบ้าน
หูฉางกุ้ยลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อมองตาบุตรสาวที่สงบนิ่งฉลาดเฉียบแหลมจึงวางใจลงได้ ตนเองไม่มีความสามารถในการพูดจา ตามไปก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก จึงพาเด็กสามคนไปรวมตัวกับพ่อลูกจ้าวต้าซานก่อน
เชิงอรรถ
[1] ดื่มลมตะวันตกเฉียงเหนือ มีความหมายว่า ไม่มีอะไรจะทานจนจะอดตายอยู่แล้ว
[2] ปลายสุดของูเาแม่น้ำ หนทางข้างหน้าไม่มีทางไปได้อีกแล้ว อุปมาว่า เข้าตาจน อับจน จนมุม หรือจนตรอก