หลังจากกินข้าวเสร็จ ทั้งสองก็พักผ่อนต่ออีกครู่ ห้องนอนนั้นรั่วแทบทุกแห่ง เช่นเดียวกับห้องโถงกลางบ้าน สองสามีภรรยาจึงไม่มีที่อื่นไป ได้แต่นั่งผิงไฟเงียบๆ ในครัว
"เดี๋ยวข้าจะลองสานแผงหญ้าคาดู ถึงตอนนั้นจะได้ไม่ต้องรบกวนพ่อตากับแม่ยายมาช่วยซ่อมหลังคา" จางเจิ้นอันกล่าวพลางลุกขึ้นยืน
อันซิ่วเอ๋อร์รีบดึงเขาไว้ "ท่านสานแผงหญ้าคาไม่เป็นี่คะ รอพ่อพวกเขาก่อนค่อยว่ากันเถอะค่ะ ตอนบ่ายพวกเขาน่าจะมาถึงแล้ว"
จางเจิ้นอันมีสีหน้าลังเล เขาไม่อยากต้องพึ่งพาบ้านภรรยาแม้แต่เื่เล็กน้อยเช่นนี้ และที่สำคัญกว่านั้นคือ เขาไม่อยากให้พวกเขาเห็นสภาพบ้านที่ผุพังของตนเอง
เขาเกาศีรษะแล้วนั่งลง แต่ก็นั่งไม่ติด จึงเอ่ยปากปรึกษาอันซิ่วเอ๋อร์ "หรือข้าจะไปเชิญหลี่เถี่ยเกินมาดีกว่า เขาคงซ่อมหลังคาเป็ ข้ายอมเสียเงินจ้างเขาสักหน่อย พ่อท่านก็อายุมากแล้ว จะให้ท่านมาลำบากก็ดูไม่ดี"
"เชิญหลี่เถี่ยเกินมาก็ดีเหมือนกันค่ะ ขอแค่ท่านมีเงิน ในหมู่บ้านมีคนมากมายที่ยินดีมาช่วย แต่ปัญหาคือ... ท่านยังมีเงินเหลือหรือคะ?"
คำถามนั้นทำให้จางเจิ้นอันเงียบไปทันที เงินเก็บอันน้อยนิดหมดไปกับการซื้อปิ่นปักผมให้อันซิ่วเอ๋อร์ครั้งก่อน แม้หลายวันที่ผ่านมาจะหาปลาได้เงินมาบ้าง แต่หลังจากซื้อข้าวสารแป้งที่จำเป็แล้ว ที่เหลือเขาก็เอาไปแลกเหล้าดื่มจนหมด
พอถูกอันซิ่วเอ๋อร์ท้วงขึ้นมา เขาก็เถียงไม่ออก รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้าจนถึงใบหู โชคดีที่ผิวเขาคล้ำอยู่แล้ว อันซิ่วเอ๋อร์จึงมองไม่ชัดนัก เห็นเพียงใบหน้าเขายิ่งดูดำคล้ำขึ้นเท่านั้น
อันซิ่วเอ๋อร์กลัวเขาจะโกรธ จึงเลี่ยงที่จะพูดเื่นี้ต่อ แล้วเอ่ยปลอบด้วยเสียงนุ่มนวล "อย่างไรเสียพ่อข้าก็เหมือนพ่อท่าน เราเป็ครอบครัวเดียวกัน จะเกรงใจอะไรกันนักหนา ท่านอย่าคิดมากเลยนะคะ"
จางเจิ้นอันยังคงเม้มปากนิ่งเงียบ
อันซิ่วเอ๋อร์จึงพูดต่อ "อย่าโกรธเลยนะคะ อีกไม่กี่วันก็ต้องไปช่วยดำนา พอถึงฤดูร้อนก็ช่วยเกี่ยวข้าว ถือว่าทดแทนกันไป ตอนนี้ท่านไม่ให้พ่อพวกเขามาช่วย ถึงตอนนั้นพวกเขาก็ไม่กล้าเรียกท่านไปช่วยเหมือนกันนะคะ ท่านก็ถือว่าช่วยข้าสักเื่เถอะค่ะ"
จางเจิ้นอันรู้ว่านางกำลังหาทางลงให้เขา แต่ในใจก็รู้สึกดีขึ้นมาก เขาคิดเพียงว่าถึงตอนนั้นคงต้องช่วยงานบ้านสกุลอันให้เต็มที่ และต้องเริ่มเก็บเงินอย่างจริงจังเสียที มิฉะนั้นพอถึงคราวจำเป็เช่นนี้ ก็จนปัญญาจริงๆ
"ข้าไม่ได้โกรธ เพียงแต่เจ็บใจในความไม่เอาไหนของตัวเอง" จางเจิ้นอันพึมพำ อันซิ่วเอ๋อร์กำลังจะเอ่ยปากปลอบต่อ ก็พอดีมีเสียงดังมาจากหน้าประตู พอนางออกไปดูก็พบว่าเหลียงซื่อ พ่อเฒ่าอัน และคนอื่นๆ มายืนรออยู่ในห้องโถงกลางบ้านแล้ว
เหลียงซื่อมองสภาพห้องโถงที่หลังคารั่วจนพื้นเละไปด้วยโคลนน้ำฝน ก็ใระคนปวดใจ อดไม่ได้ที่จะทุบอกรำพัน "บ้านรั่วขนาดนี้แล้ว จะอยู่กันได้อย่างไร..."
อันซิ่วเอ๋อร์ออกมาทันได้ยินพอดี นางแสร้งทำเป็ไม่ได้ยิน เดินเข้าไปทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่รอง พี่สะใภ้รอง พวกท่านมากันหมดเลย ลำบากแย่เลยนะคะ"
"เ้าเด็กคนนี้ บ้านรั่วปานนี้ทำไมไม่เคยบอกกันเลย ถ้าซ่อมเสียแต่เนิ่นๆ ก็คงไม่เป็แบบนี้" เหลียงซื่อหันมาต่อว่าด้วยสีหน้าตำหนิ แต่แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย
"ก่อนหน้านี้พวกเราก็ไม่รู้นี่คะ" อันซิ่วเอ๋อร์เดินเข้าไปอิงข้างกายมารดา "ไม่กี่วันก่อน ท่านพี่ยังบอกอยู่เลยว่าจะซ่อมบ้าน ใครจะคิดว่าฝนจะตกหนักขนาดนี้"
"เฮ้อ ก็พวกเ้ายังไม่มีประสบการณ์" เหลียงซื่อถอนหายใจ มองลูกสาว "รั่วแค่ห้องโถงนี้หรือ?"
อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า "ในห้องนอนหนักกว่านี้อีกค่ะ"
"ถ้างั้นรีบพาพวกเราไปดูเร็วเข้า ซ่อมให้เสร็จเร็วๆ พ่อแม่จะได้สบายใจ นี่เป็บ้านดิน โดนน้ำฝนแช่นานๆ ไม่ดีแน่" เหลียงซื่อว่าพลางทำท่าจะเดินเข้าไป
อันซิ่วเอ๋อร์ก้มลงลูบหัวต้ายากับเอ้อร์ยาที่ตามมาด้วย ดูเหมือนทางบ้านเดิมจะให้ความสำคัญกับเื่ของนางมากจริงๆ ถึงขนาดยกกันมาทั้งครอบครัวเพื่อช่วยซ่อมบ้านให้นาง
"พี่รอง พี่สะใภ้รอง พวกท่านพาลูกๆ หาที่นั่งพักก่อนนะคะ เดี๋ยวข้าพาท่านพ่อท่านแม่ไปดูก่อน" อันซิ่วเอ๋อร์บอก แล้วให้จางเจิ้นอันอยู่ดูแลอันเถี่ยมู่และต่งซื่อ ส่วนตนเองก็พาพ่อเฒ่าอันและเหลียงซื่อไปยังห้องนอน
จางเจิ้นอันเชิญทั้งสองนั่งลง รินชาให้ แล้วพูดสั้นๆ เพียง “เชิญดื่มชาขอรับ” ก็กลับไปนั่งเงียบๆ ที่เดิม อันเถี่ยมู่กับต่งซื่อต่างไม่คุ้นเคยกับท่าทีแบบนี้ของเขา สองสามีภรรยาได้แต่มองหน้ากันอย่างทำตัวไม่ถูก
ส่วนต้ายากับเอ้อร์ยานั้นยิ่งทนท่าทีอึดอัดของอาเขยไม่ได้ บอกมารดาคำหนึ่งก็รีบวิ่งตามอันซิ่วเอ๋อร์ออกไปราวกับหนีอะไรมา
อันซิ่วเอ๋อร์พาพ่อเฒ่าอันและเหลียงซื่อมาถึงห้องนอน พอเปิดประตูเข้าไป ก็พบว่าพื้นห้องเจิ่งนองไปด้วยโคลนเลน แทบไม่ต่างอะไรกับก้นบ่อ สภาพย่ำแย่ยิ่งนัก พ่อเฒ่าอันเห็นเช่นนั้น ริ้วรอยบนใบหน้ายิ่งขมวดลึก ใบหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ
“เ้าเด็กโง่ วันธรรมดากลับบ้านทีไรก็เอาแต่บอกว่าสบายดีๆ แม่ไม่เคยรู้เลยว่าเ้าต้องลำบากอย่างนี้” เหลียงซื่อพอเห็นสภาพห้องก็ดึงอันซิ่วเอ๋อร์เข้ามากอด เรียก “แก้วตาดวงใจ” พลางร้องไห้ออกมา
“ท่านแม่ ลูกสบายดีจริงๆ เ้าค่ะ นี่เป็เพราะฝนตกหนักต่างหาก ถ้าฝนไม่ตก บ้านก็สะอาดดีออก” อันซิ่วเอ๋อร์ตบหลังปลอบมารดาเบาๆ “ครั้งก่อนท่านก็มาแล้วนี่เ้าคะ ตอนนั้นก็ไม่ใช่สภาพนี้นี่นา”
“เฮ้อ…” เหลียงซื่อรู้ดีว่าลูกสาวมักจะพูดแต่เื่ดีๆ ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนใจ “เ้าเด็กคนนี้ ทำให้เ้าลำบากแล้วจริงๆ”
พ่อเฒ่าอันก็ถอนหายใจออกมา รู้สึกผิดที่เป็ต้นเหตุให้ลูกสาวต้องมาตกระกำลำบากเช่นนี้
“ท่านพ่อ ท่านแม่ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิเ้าคะ ชีวิตตอนนี้ของลูก ลูกรู้ดีแก่ใจ ลูกมีความสุขดีจะตายไป” อันซิ่วเอ๋อร์พยายามส่งยิ้มสดใสให้บิดามารดา แต่ในสายตาของผู้ใหญ่ทั้งสอง กลับเห็นเพียงรอยยิ้มฝืนๆ ยิ่งทำให้พวกเขาสงสารนางมากขึ้น
โชคดีที่ตอนนั้นเอง ต้ายากับเอ้อร์ยาวิ่งเข้ามา พ่อเฒ่าอันกับเหลียงซื่อจึงรีบเก็บสีหน้าเศร้าสร้อยนั้น อันซิ่วเอ๋อร์รีบฉวยโอกาสพูดต่อทันที
“เอาล่ะ ท่านพ่อ ท่านแม่ พูดเื่เก่าไปก็ไม่มีประโยชน์ ชีวิตตอนนี้ถึงจะลำบากไปบ้าง แต่ท่านพี่เขาก็หาเงินได้ ตัวลูกเองก็พอมีฝีมือติดตัว วันข้างหน้าจะต้องดีขึ้นแน่ๆ ท่านรีบมาดูบ้านให้ลูกเถอะ จะได้ซ่อมเสียที”
“พูดก็ถูก” ความคิดเื่ “แต่งกับไก่ต้องตามไก่ แต่งกับหมาต้องตามหมา” ฝังรากลึกในใจชาวบ้านแถบนี้ เมื่อข้าวสารกลายเป็ข้าวสุก บุตรสาวออกเรือนไปแล้ว ครุ่นคิดไปก็ไร้ประโยชน์ สองผู้เฒ่าเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ดี หลังจากถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เหลียงซื่อก็พาเด็กๆ ออกไปรอข้างนอก ส่วนพ่อเฒ่าอันก็เริ่มสำรวจตัวบ้านอย่างตั้งอกตั้งใจ
ยิ่งดู สีหน้าเขาก็ยิ่งเคร่งเครียดขึ้น เมื่อสำรวจจนทั่วแล้ว เขาจึงหันมาบอกอันซิ่วเอ๋อร์ “ฟางที่มุงหลังคานี่เป็ของปีกลาย หลายส่วนผุจนใช้ไม่ได้แล้ว จริงๆ ควรจะเปลี่ยนั้แ่ต้นฤดูใบไม้ผลิ ไม่อย่างนั้น ถึงคราวนี้จะอุดรอยรั่วได้หมด พอฝนตกลงมาอีกก็รั่วอยู่ดี”
“แต่ว่า... ซ่อมทั้งหลังเลย จะไม่เสียเวลาแย่หรือเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์มองบิดา ลังเลใจ “อีกอย่าง บ้านเราก็ไม่มีฟางข้าวมากขนาดนั้น”
“เื่นั้นไม่เป็ไร บ้านพวกเ้าหลังไม่ใหญ่ ไม่เสียเวลาเท่าไหร่หรอก วันนี้สานแผงหญ้าคาให้เสร็จ พรุ่งนี้ค่อยมุงหลังคาก็เรียบร้อย ไม่มีฟางข้าว ที่บ้านเรามีเยอะแยะ เ้าไม่ต้องกังวล” พ่อเฒ่าอันว่าพลางเดินออกจากห้องไป
เขาเป็คนไม่พิรี้พิไร พออันซิ่วเอ๋อร์นำทาง ก็ตรงไปยังครัวหลังบ้าน เตรียมจะเริ่มสานแผงหญ้าคาทันที
“เถี่ยมู่เอ๊ย หลังคาบ้านซิ่วเอ๋อร์คงต้องซ่อมใหม่หมด เ้ากับสะใภ้รองกลับไปบ้านเลือกฟางข้าวดีๆ มาหน่อย” พ่อเฒ่าอันสั่งลูกชายเสร็จ ก็หันไปถามจางเจิ้นอัน “คุณเขย ที่บ้านท่านพอมีไม้ไผ่หรือไม่?”
“มีอยู่บ้างขอรับ” จางเจิ้นอันชี้ไปที่กองไม้ไผ่ในลาน “เท่านี้พอไหมขอรับ?”
“พอใช้ได้” พ่อเฒ่าอันพยักหน้า สวมหมวกงอบแล้วเดินฝ่าฝนออกไปลากไม้ไผ่มาท่อนหนึ่ง
ไม้ไผ่ท่อนนี้เป็ส่วนที่เหลือจากการทำรั้วครั้งก่อน ไม่อย่างนั้นที่บ้านคงไม่มีของแบบนี้เก็บไว้ จางเจิ้นอันเห็นพ่อตาดึงไม้ไผ่มาอย่างทุลักทุเล อยากจะเข้าไปช่วย แต่กลับถูกพ่อเฒ่าอันโบกมือไล่ “ไปยกเก้าอี้มาตัวหนึ่ง”
จางเจิ้นอันรีบก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปยกเก้าอี้ในห้องโถงออกมา เขามองพ่อเฒ่าอันวางท่อนไม้ไผ่ลงบนเก้าอี้ ใช้มีดสับสองสามครั้งแบ่งเป็ท่อนสั้นๆ แล้วใช้ไม้รองก่อนจะผ่าไม้ไผ่ออกเป็ซีกๆ
แม้จะอายุมากเรี่ยวแรงถดถอยไปบ้าง แต่ซีกไม้ไผ่ที่เขาผ่าออกมานั้นกลับสม่ำเสมอ สมกับเป็ผู้มีประสบการณ์
เสียงมีดดังแครกๆ ขณะขูดข้อปล้องด้านในออก แล้วเหลาให้บางลง พ่อเฒ่าอันสายตาฝ้าฟางอยู่บ้าง ทำให้กะจังหวะพลาดไปหลายครั้ง อันซิ่วเอ๋อร์และคนอื่นๆ ที่ยืนมองอยู่ข้างๆ อดเป็ห่วงไม่ได้
“พวกเ้ายืนทำอะไรกันอยู่ตรงนี้ ยังไม่รีบไปช่วยแม่เ้าสานเชือกฟางอีก?” การสับพลาดทำให้พ่อเฒ่าอันรู้สึกอับอายจนกลายเป็โมโห เขาโบกมือไล่คนที่ยืนเกะกะอยู่แถวนั้น ก่อนจะหันกลับมาจัดการกับซีกไม้ไผ่ต่อ
น่าแปลกที่พอไม่มีใครยืนกดดัน งานกลับราบรื่นขึ้น เขาผ่าซีกไม้ไผ่ออกได้ง่ายดาย
เขาเหลาเนื้อไม้ไผ่ด้านในออกจนเหลือแต่ผิวไม้ไผ่ชั้นนอกสุด แล้วจึงผ่าผิวไม้ไผ่นั้นให้เป็เส้นบางๆ เรียกว่า ‘ตอก’ ซึ่งมีความเหนียวและอ่อนตัว เหมาะสำหรับใช้ทำงานจักสาน
พอได้ตอกมาสองสามเส้น เขาก็หยุดพัก หาที่นั่งลง แล้วเริ่มลงมือสานแผงหญ้าคา โดยมีเหลียงซื่อคอยส่งฟางอยู่ข้างๆ
ฝีมือของเขาแม้อาจไม่รวดเร็วนัก แต่ก็ดูเป็ระเบียบแบบแผนมาก ผิดกับอันซิ่วเอ๋อร์และจางเจิ้นอันที่ทำไม่เป็เลย ได้แต่มองตาปริบๆ
รอจนพ่อเฒ่าอันสานแผงหญ้าคาแผ่นแรกเสร็จ พอเริ่มแผ่นที่สอง จางเจิ้นอันก็นั่งลงลองทำตามดูบ้าง เขาเป็คนเรียนรู้เร็ว เพียงแค่ดูครั้งเดียว พอได้ลงมือทำตาม ก็ดูเป็รูปเป็ร่างขึ้นมาไม่น้อย
