อาจารย์เป่าลูกศิษย์ของผู้อำนวยการเว่ยอายุประมาณสามสิบปี เขากลายเป็บัณฑิตจิ้นสื้อในปีที่ยี่สิบสองรัชสมัยหงอู่ เมื่อเขายังหนุ่มเขาได้รับตำแหน่งขุนนางชั้นผู้น้อย แต่เพราะล่วงเกินผู้บังคับบัญชา เขาจึงรู้ว่าเขาไม่เหมาะกับตำแหน่งขุนนาง ดังนั้นเขาถึงได้มาเป็อาจารย์สอนในสำนักศึกษาเฉิงซวี่
เมื่อเทียบกับการเป็ขุนนางแล้ว อากาศของสำนักศึกษานั้นสดชื่นและเป็เหมือน์จริงๆ แม้ว่าจะมีการเลือกที่รักมักที่ชังแต่ล้วนเกี่ยวกับการดูแลบุตรของพวกเขาให้ดี ตัวอย่างเช่นผู้อำนวยการเว่ยขอให้เขาดูแลหลัวป๋ายเฉียนให้ดีเมื่อหลายปีก่อน เพราะผู้าุโหลัวม่ายทงมีพระคุณต่อเขามาก ผู้มีพระคุณของอาจารย์ก็เปรียบเสมือนผู้มีพระคุณของตน ดังนั้นอาจารย์เป่าจึงดูแลหลัวไป๋เฉียนเป็อย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเรียนของเขา จากนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ดีขึ้นมาไม่น้อย
หลังจากประเด็นร้อนเื่ ‘เื่เสื่อมเสียเกียรติของชาติกำเนิดคุณหนูอันดับหนึ่ง’ เมื่อสองปีก่อน อาจารย์เป่ายังได้ยินว่าเหอตังกุยเป็คุณหนูในตระกูลหลัว ดังนั้นเขาจึงต้องยืนอยู่ข้างนาง และถ้านางทำให้ทางการไม่พอใจ ไม่ว่านางจะหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาหรือไม่ ชื่อเสียงของนางก็จะเสื่อมเสีย
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้อาจารย์เป่าจึงกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ทุกคนไม่ต้องเดากันสุ่มสี่สุ่มห้า เฉียนมู่ตันตกลงไปในน้ำด้วยตัวเอง เื่นี้ไม่จำเป็ต้องสงสัย ไม่ว่านางจะห้ามเลี่ยวชิงเอ๋อร์ไม่ให้ลงน้ำไปช่วยคนหรือไม่ ข้าก็เชื่อว่านางเป็คนจิตใจดีในข้อนี้สามารถดูได้จากการที่นางะโลงน้ำไปช่วยคนโดยไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของตน ด้วยเหตุนี้ เหอตังกุยจึงเป็คุณหนูจิตใจดีและกระตือรือร้นอยากช่วยเหลือเพื่อนร่วมชั้น ไม่ใช่คนเืเย็นเห็นแก่ตัวอย่างที่ทุกคนกล่าวหานาง เื่การตายของเพื่อนร่วมชั้น พวกเราทุกคนต่างก็รู้สึกเสียใจ พวกเราอาจจะสับสนกันไปชั่วขณะ ถึงได้เข้าใจความหวังดีของคุณหนูเหอผิดไป ข้าพูดถูกหรือไม่?”
อาจารย์เป่าผู้มีประสบการณ์มากมาย ใช้น้ำเสียงข่มขู่เอ่ยถามอีกครั้ง "ใช่หรือไม่" มีคนสามารถตอบคำว่า “ไม่ใช่” ด้วยหรือ ดังนั้นบัณฑิตหญิงที่ต่อสู้กับความอยุติธรรมเพื่อเฉียนมู่ตันจึงเงียบทันที และกลุ่มบัณฑิตชายที่เดินมาบนสะพานไม้ท่อนเดียวส่งเสียงคล้อยตามอยู่หลายครั้ง ท้ายที่สุดแล้วคุณหนูเฉียนหญิงสาวที่มีเสน่ห์และน่ารักก็เสียชีวิตต่อหน้าพวกเขา ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าพวกเขาช่วยนางได้แต่พวกเขาทั้งหมดกลับเลือกที่จะเป็คนสังเกตการณ์ และในยามนี้พวกเขาก็รู้สึกผิดเป็อย่างมาก
เมื่ออาจารย์เป่าได้รับการตอบรับเช่นนี้ เขาจึงพยักหน้ากล่าวสรุปว่า “มันเป็แค่อุบัติเหตุ ไม่ว่าใครก็ไม่มีสติกันทั้งนั้น ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ข้าเชื่อว่าเฉียนมู่ตันจะไม่ตำหนิทุกคนในหลุมศพของนาง” ในเวลาเดียวกันเขาก็มองไปที่เฉียนสุ่ยเซียนด้วยสีหน้าโศกเศร้าที่สุดและเอ่ยเกลี้ยกล่อมนางว่า “บัณฑิตเฉียน ได้โปรดยับยั้งความเศร้าโศกของเ้า สำนักศึกษาต้องรับผิดชอบต่อการตายของพี่สาวของเ้า หากพ่อแม่ของเ้าได้ยินข่าวร้ายนี้ พวกเขาก็หวังว่าจะได้แสดงความเสียใจต่อศพของพี่สาวเ้า พวกเราจะขอให้เ้าหน้าที่นำศพของพี่เ้าไปก่อนได้อย่างไร? ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์การจมน้ำในครั้งนี้ นางตกน้ำเองและเสียชีวิตในที่สุด ข้าขอแนะนำให้เ้าอย่าได้ไปรบกวนทางการเลย จัดการเื่นี้อย่างเงียบๆ เ้าคิดว่าอย่างไร?”
จากนั้นเฉียนสุ่ยเซียนก็ก้มหัวลงและขบคิดข้อเสนอแนะของเขาด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น ขณะที่ฉีมู่เอ๋อร์ผู้อ่อนโยนและขี้อายเอ่ยออกมาอย่างไม่ยินยอม “อาจารย์เป่า ข้าได้ยินมาว่าท่านเป็คนยุติธรรมเสมอและไม่เคยช่วยเหลือญาติมิตรของใครเพราะความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ด้วยเหตุนี้ข้าจึงอยากอธิบายว่าเหตุใดเหอตังกุยถึงได้ะโลงไปในน้ำ อาจารย์เป่าจะอนุญาตหรือไม่เ้าคะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างก็ประหลาดใจ ปกติแล้วฉีมู่เอ๋อร์ดูอ่อนแอมาก เมื่อสตรีคนใดหัวเราะเยาะนางในฐานะลูกสาวอนุหรือเอ่ยเป็นัยว่านางเป็คนอวดดี นางก็มักจะนิ่งเงียบและอดทนกับมัน นางไม่เคยแสดงด้านที่แข็งแกร่งออกมาให้คนอื่นได้เห็น แต่ตอนนี้นางกลับกล้าโต้แย้งอาจารย์เป่า... ทุกคนรู้ว่าหลัวป๋ายเฉียนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอาจารย์เป่าในสำนักศึกษาเฉิงซวี่ และมักจะเชิญเขาดื่มเหล้าพูดคุยอยู่บ่อยๆ ที่ฉีมู่เอ๋อร์พูดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่านางกำลังจะบอกว่าอาจารย์เป่าลำเอียงช่วยเหลือเหอตังกุย
สำนักศึกษาเฉิงซวี่ให้ความสำคัญกับการให้เกียรติอาจารย์และเคารพความจริง แม้แต่หานฟ่างและหานฉีฉีลูกๆ ของหานเฟยที่เป็ผู้ว่าการาุโในเมืองหยางโจวและขุนนางระดับสูงของชายแดน พวกเขาก็ยังไม่กล้าโต้แย้งกับอาจารย์อย่างเปิดเผย ฉีมู่เอ๋อร์ลูกสาวพ่อค้าเกลือจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร? นางไม่อยากเรียนที่สำนักศึกษาเฉิงซวี่อีกต่อไปแล้วหรือ ว่ากันว่านางพลาดแค่สองคะแนนในการสอบเข้า พ่อของนางจึงพยายามอย่างมากเช่น การเชิญไปเป็แขกและมอบของขวัญเพื่อให้นางได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาเฉิงซวี่ นางควรจะหวงแหนโอกาสที่หาได้ยากเช่นนี้ไม่ใช่หรือ หรือว่านางมีหลักฐานอะไร ถึงได้อยากให้ความยุติธรรมแก่คนตาย?
เหอตังกุยดูงุนงงอยู่ไม่ใช่น้อย นางไม่รู้ว่านางไปทำให้ฉีมู่เอ๋อร์ขุ่นเคืองั้แ่เมื่อไร เหตุใดฉีมู่เอ๋อร์จึงพุ่งเป้ามาที่นาง? ดูเหมือนว่านางยังไม่เคยทักทายฉีมู่เอ๋อร์ด้วยซ้ำ นางไม่เข้าใจจริงๆ
อาจารย์เป่าพยักหน้าช้าๆ และกล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง "ฉีมู่เอ๋อร์เ้าพูดมาเถอะ มีเหตุผลใดที่เหอตังกุยะโลงไปในน้ำอย่างกล้าหาญ?”
จากนั้นฉีมู่เอ๋อร์ก็พูดอย่างชัดเจนว่า "ก่อนชั้นเรียนกู่ฉินเมื่อวันก่อน ข้าเห็นเฉียนมู่ตันแอบเอาเชือกที่แหลมคมไปใส่ไว้ในกู่ฉินของเหอตังกุย ต่อมานิ้วของเหอตังกุยก็มีรอยบาดเืออก ขณะที่เฉียนมู่ตันกำลังหัวเราะเยาะนาง เหอตังกุยก็เหลือบมองไปที่เฉียนมู่ตัน ก่อนจะนำผ้ามาพันแผลของนาง ข้าเดาว่านางเริ่มเกลียดเฉียนมู่ตันั้แ่นั้นเป็ต้นมา ด้วยเหตุนี้นางจึงพยายามหยุดเลี่ยวชิงเอ๋อร์เพื่อไม่ให้ลงไปช่วยเฉียนมู่ตัน เมื่อข้าเห็นฉากนี้จู่ๆ นางก็หันกลับมามองข้า นางดูตื่นตระหนกราวกับกลัวว่าข้าจะเปิดเผยความจริงที่ว่านางตั้งใจจะแก้แค้นเฉียนมู่ตัน จากนั้นเพื่อปกปิดความจริงนางนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะะโลงไปในแม่น้ำเพื่อแกล้งทำเป็ช่วยเฉียนมู่ตัน คิดไม่ถึงว่าเฉียนมู่ตันจะพลาดโอกาสที่จะได้รับความช่วยเหลือจากเลี่ยวชิงเอ๋อร์ จนทำให้เกิดเป็โศกนาฏกรรมเช่นนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ทุกคนก็ขบคิดกันอย่างละเอียด พวกเขาคิดไม่ถึงว่าจะมีเหตุผลที่ซับซ้อนในเหตุการณ์นี้ ถ้าเป็เช่นนั้นจริงๆ มันก็เหมือนกับพายุในถ้วยน้ำชา แต่ก็ไม่มีใครสามารถตำหนินางสำหรับการตายของเฉียนมู่ตันเพราะเฉียนมู่ตันจมน้ำตายเอง
ฉีมู่เอ๋อร์มองไปที่ศพของเฉียนมู่ตันและกล่าวด้วยความเศร้าใจว่า "ข้าคุยกับพี่มู่ตันหลายครั้ง นางเป็คนดี ข้ายังแอบชื่นชมในความสง่างามของนาง ข้าก็ตั้งใจว่าจะให้นางเป็แบบอย่างของข้า ตอนนี้ข้าเห็นนางไร้ลมหายใจ จึงโกรธมากจนโทษคุณหนูเหอว่าเป็ฆาตกรสังหารพี่มู่ตัน ความจริงแล้วเื่นี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณหนูเหอเลย คุณหนูเหอ ข้าขอโทษด้วยเ้าค่ะ มู่เอ๋อร์ไม่ควรกล่าวหาว่าคุณหนูเป็ฆาตกร” ในเวลาเดียวกันฉีมู่เอ๋อร์ก็หันไปหาเหอตังกุยและขอโทษ ในขณะที่เหอตังกุยพยักหน้าและพูดว่า "ไม่เป็ไรและข้าให้อภัยเ้า ลุกขึ้นเถอะ"
ฉีมู่เอ๋อร์นิ่งไปอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็แสดงท่าทางยืนกรานในความอ่อนแอ ถอนหายใจและพูดว่า "คุณหนูเหอ ในเมื่อฉีมู่เอ๋อร์ผิดแล้วรู้แก้ไข เช่นนั้นคุณหนูเหอก็ควรมีน้ำใจ เข้าไปขอโทษศพของพี่มู่ตัน? หากไม่อยากให้พี่มู่ตายอย่างสงบ ก็ถือเสียว่าทำเพื่อมโนธรรมของเ้า
เฉียนสุ่ยเซียนยังกล่าวด้วยน้ำตาว่า "เ้าควรก้มหัวขอโทษพี่ข้า นางตายอย่างไม่ได้รับความเป็ธรรม ที่แท้ก็เพราะกู่ฉินอันเดียว เหอตังกุยเ้าทำเกินไปแล้ว”
เหอตังกุยเยาะเย้ยพวกนางอยู่ในใจ ปีใหม่ปีนี้ช่างน่าเบื่อจริงๆ พี่น้องตระกูลเฉียนคู่นั้นทำตัวแย่จริงๆ คิดไม่ถึงว่าคุณหนูฉีจะเข้ามาเป็ผู้หวังดีในเื่นี้อีก อย่างแรกฉีมู่เอ๋อร์มองว่านางเป็ฆาตกร จากนั้นก็ ‘แก้ไข’ ให้นางเป็ฆาตกรในทางอ้อม และนางก็ยังคิดจะทำให้ตนเสียชื่อเสียงต่อหน้าทุกคน… ฉีมู่เอ๋อร์ นางมาจากไหน?นางเคยมีความแค้นอันใดกับข้า?
เหอตังกุยนิ่งสงบท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมาที่ตน จากนั้นพวกเขาก็ทำการเดาไปต่างๆ นานา เหวินฮั่นเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ "น้องตังกุย คุณหนูฉีกล่าวมาคือความจริงหรือไม่? เ้า... เ้าเห็นคุณหนูเฉียนจะตายแต่ไม่เข้าไปช่วยจริงๆ หรือ?”
เห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยงั้นหรือ? ‘เห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย’ เป็สมญานามของโต้วไห่ฉินผู้เป็อาจารย์ของนางเมื่อตอนที่อยู่ในหมู่บ้านหนงจวงขณะที่นางยังเป็เด็ก หลายปีก่อนใต้หล้านี้เรียกเขาว่าหมอโต้ว ‘ผู้ช่วยชีวิต’ ต่อมาหมอโต้วถูกผู้ป่วยที่เขารักษาทรยศ ไม่มีใครพูดเพื่อเขา จนสุดท้ายเขาต้องถูกเนรเทศเป็ระยะทางสามพันลี้หลังจากได้รับ ‘การลงโทษห้าครั้ง’ หลังจากหนีออกมาได้ เขาก็ซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านหนงจวงเขียนหนังสือวิชาแพทย์ หลังจากถูกลงโทษเขาก็ไม่มีความสามารถในการทำงานหนัก ดังนั้นเขาจึงต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการเปิดโรงหมอ แม้ว่าทักษะทางการแพทย์ของเขาจะเก่งกาจจนทำให้ผู้คนประหลาดใจ แต่เขารักษาอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยเท่านั้นปฏิเสธผู้ที่ได้รับาเ็สาหัส ดังนั้นเขาจึงตั้งชื่อว่า ‘เห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย’ ให้กับตัวเอง
ในความคิดของนาง หมอโต้วอยากจะช่วยสัตว์ป่าเช่นแมวสุนัขหรือหมาป่ามากกว่าช่วยชีวิตผู้คน เห็นได้ชัดว่าใจเขาได้สลายไปแล้ว เป็ที่น่าเสียดายที่นางใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและร่ำรวยมาครึ่งปี าแที่หายแล้วผู้คนจะลืมว่าเราเคยเจ็บมาก่อน หากนางไม่เข้าไปหาปัญหา ปัญหาก็จะเข้ามาหานางเอง และนั่นก็คือความจริง เช่นนั้นก็มาเผชิญกับความเป็จริงกันเถอะ...
“คุณหนูฉีพูดถูก วันก่อนในห้องดีดฉิน ข้าบังเอิญถูกสายฉินบาดนิ้วมือ ตอนนั้นข้ายังแปลกใจว่าเหตุใดสายฉินถึงได้คมขนาดนี้” เหอตังกุยกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “หลังจากได้รับาเ็ที่นิ้ว เฉียนมู่ตันที่อยู่ข้างๆ ข้าก็ดูเหมือนจะหัวเราะเยาะข้า… หรือไม่ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ตอนนั้นคุณหนูฉีก็อยู่ในห้องดีดฉินด้วย และบังเอิญได้เห็นขั้นตอนที่มู่ตันเปลี่ยนสายกู่ฉิน ดังนั้นนางถึงได้พูดความจริงออกมาไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย”
อู่ยวี่อิ๋ง กวนจวนและคนอื่นๆ ต่างก็แอบดีใจ เหอตังกุยยอมรับผิดแล้ว ชื่อเสียงของนางกำลังจะพังพินาศ หากไร้การปกป้องของเหล่าคุณชายพวกนั้น ยังจะกล้าเพิกเฉยและหยิ่งยโสกับพวกนางอีกหรือไม่
เหอตังกุยเอ่ยยอมรับผิดต่อไปว่า “ส่วนเื่ที่คุณหนูฉีบอกว่าข้าห้ามชิงเอ๋อร์นั้นเป็ความจริง เพียงแต่ไม่เหมือนกับ ‘พยาน’ ที่กล่าวอ้างอย่างเกินจริงก่อนหน้านี้ ที่พวกนางบอกว่า ''เห็นขาของชิงเอ๋อร์ลงไปในน้ำแล้วกับตาตัวเอง แต่กลับถูกข้าลากกลับมา'' ถ้าไม่เชื่อพวกเ้าก็ลองมองดูที่ชายกระโปรงของชิงเอ๋อร์ดูสิมันแห้งเสียขนาดนั้น
ตอนนั้นทุกคนก็มองคนตกน้ำกันอย่างร้อนใจ คุณชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นก็ไม่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ ไม่ทราบว่าคุณหนูที่ยืนอยู่ฝั่งเดียวกันกับพวกข้าเห็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของพวกข้าได้อย่างไร ตอนนั้นชิงเอ๋อร์ตั้งใจจะช่วยคนจริงๆ แต่ข้าดึงนางเอาไว้เพื่อพูดคุยกับนางสองสามประโยค จนทำให้เสียเวลา ช่างสมควรตายยิ่งนัก
ั้แ่ตอนที่ข้าปรึกษากับชิงเอ๋อร์จนกระทั่งข้าลงไปในน้ำ ข้ายังไม่ได้ ‘สบตา’ กับคุณหนูฉีเลย อาจจะเป็ไปได้ว่านางกำลังมองข้าอยู่ แต่ข้าไม่ได้มองนางก็เท่านั้น”
ฉีมู่เอ๋อร์พูดอย่างเ็า “เ้าอย่าเถียงเลย ตอนนั้นเ้าเห็นข้าอย่างชัดเจน และแสดงสีหน้ารู้สึกผิดและข้าก็มองออก เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดเ้าแกล้งทำเป็ะโลงน้ำเพื่อช่วยนาง เหอตังกุยเ้าจงคุกเข่าลงเคารพศพของผู้ตาย เ้าจะกล้าโกหกต่อหน้าศพของมู่ตันงั้นหรือ?”
คำพูดเหล่านี้ยิ่งกล่าวก็ยิ่งเหมือนเื่จริง ทุกคนแทบสามารถวาดภาพของเหอตังกุยที่เป็สาวน้อยจอมวางแผนและรอบคอบขึ้นมาในหัวได้เลยทีเดียว
เหอตังกุยเอียงศีรษะและเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ก่อนที่ข้าจะลงไปในน้ำข้าได้มอบของสิ่งหนึ่งให้แก่นาง ของสิ่งนั้นคืออะไร?”
"หืม? ของอะไร?" ฉีมู่เอ๋อร์ตะลึงงันและพูดซ้ำอีกหนึ่งรอบ
"ใช่" เหอตังกุยพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้ามีของมีค่าอย่างหนึ่ง และข้าไม่สามารถเอามันลงไปในน้ำได้ ดังนั้นข้าจึงถอดมันและมอบให้ชิงเอ๋อร์ และตอนนี้มันก็อยู่ในถุงของนาง”
ในขณะที่นางเอ่ยนั้นนางก็สะกิดเอวของเลี่ยวชิงเอ๋อร์? เอ่ยถามว่า “คุณหนูฉีมิใช่บอกว่าเห็นข้าก่อนลงไปในน้ำไม่ใช่หรือ? ของที่ข้าถอดออกและส่งให้นางนั้นเป็การกระทำที่ชัดเจน เ้ามองไม่เห็นงั้นหรือ?”
ฉีมู่เอ๋อร์กัดริมฝีปากของนางก่อนจะแค่นเสียงเ็า “แน่นอนว่าข้าต้องเห็น จี้หยกใช่หรือไม่? ข้ามองจากระยะไกลจึงไม่เห็นว่ามันเป็รูปร่างอย่างไร?... เ้ายังจะเถียงข้าอีกหรือไม่?”
เหอตังกุยสะกิดเลี่ยวชิงเอ๋อร์ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “จี้หยก? รีบเอาออกมาให้คุณหนูฉีดูที”
เลี่ยวชิงเอ๋อร์ถอดถุงผ้าออกมาช้าๆ นางหยิบเงินสองตำลึงออกมาก่อน และวางเอาไว้บนมือของเหอตังกุย จากนั้นนางก็หยิบรูปปั้นคนออกมายัดใส่แขนเสื้อของเหอตังกุย จากนั้นก็หยิบจี้หยกรูปหัวปลากลมๆ ออกมาพร้อมกับอธิบายกับฉีมู่เอ๋อร์ที่กำลังยิ้มว่า “นี่เป็ของข้า ้านี้มีชื่อของข้าสลักอยู่ นี่ ดูสิ”
จากนั้นนางก็หันไปยื่นให้เมิ่งเซวียนที่ยืนอยู่ทางซ้ายของนาง นางชี้ไปที่แหวนวงกลางด้วยนิ้วอวบอ้วนของนางแล้วพูดว่า “ข้าจ่ายไปสิบห้าอีแปะเพื่อให้ช่างสลักมันออกมา มันเป็ตัวอักษรแบบโบราณ”
เมิ่งเซวียนมองไปที่มันแล้วอ่านออกมา “ชิงผู้ไร้พ่าย? อืม มีคำว่า "ชิง" จี้หยกนี้เป็ของคุณหนูเลี่ยวจริงๆ”
เลี่ยวชิงเอ๋อร์สอดมือเข้าไปในถุงอีกครั้ง จากนั้นนางก็พบกล่องสีทองครึ่งวงกลมและหัวเราะ “ ฮ่าๆ นี่สิถึงจะเป็สิ่งที่เสี่ยวอี้มอบให้ข้า จี้ทองคำที่แสดงถึงความมั่งคั่งและอายุยืนยาว เป็สิ่งที่เด็กทารกชอบมากที่สุด ฉีมู่เอ๋อร์เ้าบอกว่าเ้าเห็นทุกอย่างก่อนที่เสี่ยวอี้จะลงไปในน้ำ แต่เหตุใดเ้าไม่สามารถบอกได้ว่านางให้อะไรข้าก่อนที่นางจะลงไปในน้ำ? ข้าคิดว่าเ้าสร้างเื่ขึ้นมา เ้าเพียงแค่เหลือบเห็นว่าข้าเข้าใกล้ริมลำธารเท่านั้น แต่กลับโยงเื่ได้เสียใหญ่โต บอกข้ามา เ้ากำลังคิดอะไร? เหตุใดถึงใส่ร้ายน้องของข้า นางไปล่วงเกินเ้าเมื่อใดกัน?”
ฉีมู่เอ๋อร์ร้องไห้และเอ่ยด้วยเสียงสะอื้น “ทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับที่เ้าพูด ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าของที่เ้าให้นั้นเป็จี้ทอง แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจี้หยกนั้นไม่ใช่ของที่ระลึกที่เ้าสลักชื่อแล้วมอบให้เหอตังกุย? หลัวป๋ายฉยงและหลัวป๋ายเส่าก็ไม่ได้มา ใครจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าจี้ทองนั้นเป็ของเหอตังกุย? จี้ทองนั้นสลักชื่อของเหอตังกุยหรือไม่? นางสามารถเปิดจี้ทองนั้นได้หรือไม่?”
จี้ทองของเหอตังกุยนั้นไม่ได้สลักชื่อแต่อย่างใด และในจี้ทองนั้นก็ไม่ได้ใส่อะไรเข้าไปมากมาย แต่นางแค่ไม่อยากเปิดให้ใครดู ดังนั้นนางจึงคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “จี้ทองนี้คือกล่องเครื่องหอมของข้า ด้านในนี้เป็กลิ่นหอมไร้กังวลที่ข้าทำขึ้นมาเอง หากอยากจะพิสูจน์ว่าข้าหรือชิงเอ๋อร์ที่เป็เ้าของของมันนั้นไม่ใช่เื่ยาก ปกติแล้วข้าจะห้อยมันเอาไว้ด้านในคอเสื้อ ข้าขอรบกวนสักหนึ่งคนมาดมดูกลิ่นหอมของจี้สักครู่ แล้วค่อยมาดมคอเสื้อของข้ากับชิงเอ๋อร์ ความจริงก็จะกระจ่างเอง”
อาจารย์เจิ้งคิดว่านี่สมเหตุสมผล จึงสะกิดกวนจันว่า “เ้าลองไปดมดูพวกนางสิ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้การแสดงออกของเลี่ยวชิงเอ๋อร์และกวนจันต่างก็รู้สึกรังเกียจอย่างยิ่ง แม้ว่าเลี่ยวชิงเอ๋อร์อยู่ในตระกูลกวน แต่นางก็ไม่เคยสนใจกวนจันเลยสักนิด นางมักเรียกกวนจันว่า ‘ลูกสาวอนุเ้าเล่ห์’ ทำเอากวนจันเดือดดาลมิใช่น้อย
และเมื่อครู่นี้กวนจันก็เพิ่งจะเปิดโปงคำโกหกของเลี่ยวชิงเอ๋อร์ที่พูดปกป้องเหอตังกุย ที่เลี่ยวชิงเอ๋อร์บอกว่านางว่ายน้ำไม่เป็และจะไม่สบายเมื่อถูกลมหนาว ดังนั้นเลี่ยวชิงเอ๋อร์จึงเชื่อว่ากวนจันเป็คนเลว เมื่อได้ยินว่านางจะเข้ามาดมตน ใบหน้ากลมเหมือนซาลาเปาของนางก็แสดงความไม่พอใจออกมาทันที
หลังจากกวนจันได้เห็นดังนั้น นางจึงเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “อาจารย์ ข้าคัดจมูก ไม่ได้กลิ่นอะไร”
อาจารย์เจิ้งขมวดคิ้ว ในขณะที่นางกำลังจะสั่งให้นักเรียนหญิงอีกคนไปดมกลิ่นหอมนั้น จู่ๆ เมิ่งเซวียนที่ยืนอยู่ข้างๆ เลี่ยวชิงเอ๋อร์ก็เอ่ยอาสาว่า “จมูกข้าดี ให้ข้าทำเถอะ" ในตอนนี้เขาก็คว้าจี้ทองในมือของเลี่ยวชิงเอ๋อร์และดมมันครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ดึงผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมที่ห้อยอยู่บนกระดุมด้านหน้าของเลี่ยวชิงเอ๋อร์ออกมาแล้วดมดู แล้วเขาก็เดินไปตรงหน้าเหอตังกุย ท่ามสายตาของผู้คนที่จับจ้อง เขาก้มศีรษะลงแล้วยื่นจมูกไปดมที่คอเสื้อของเหอตังกุย ดมอยู่นานเขาก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมา
ผู้ทดสอบกลิ่นผู้นั้นคล้ายจะเสพติดกลิ่นของมัน ขณะที่เขาดม ‘กลิ่นเยือกเย็นของหญิงงาม’ เขายืนนิ่งไม่ไหวติง มีคุณชายไม่น้อยที่เริ่มไม่พอใจกับเื่นี้ หญิงงามผู้นั้นคือสมบัติของสำนักศึกษา พวกเขายังเอาชนะนางไม่ได้ ไหนเลยจะยอมให้คนนอกมีสิทธิ์?
หานฟ่างเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “คุณชายเซวียน เ้าจะดมจนฟ้ามืดเลยหรือไร หากจมูกของเ้าไม่ดี ก็ให้ข้าไปทำแทนเถอะ” จากนั้นซ่งเฉียวและกวนโม่พร้อมกับคนอื่นๆ ต่างก็พากันแสดงตัวว่าจมูกของตนนั้นดีมาก
เมิ่งเซวียนเงยหน้าออกมาจากกลิ่นหอมเย็นๆ นั่น และเอ่ยอย่างจริงจังว่า “กลิ่นของนางถูกน้ำชะล้างจนกลิ่นอ่อน ทั้งยังมีกลิ่นน้ำกลิ่นหญ้าผสมปนเป ดังนั้นข้าจึงต้องดมให้ละเอียด เพื่อเป็การไม่ทำให้คุณหนูเหอหรือคุณหนูฉีไม่ได้รับความเป็ธรรม”
กวนโม่เอ่ยถามอย่างหงุดหงิด “ถ้าอย่างนั้นเ้าได้ผลว่าอย่างไรบ้าง? จี้ทองนั้นเป็ของน้องเหอหรือไม่?”
“น้องเหอ?” เมิ่งเซวียนเลิกคิ้ว
“ใช่ สรุปที่เ้าดมๆ ไปเมื่อครู่นี้ เ้าได้ความว่าอย่างไร? ถ้าเ้าดมแล้วไม่รู้ผลอะไรก็ ‘เชิญ’ หลีกไป” กวนโม่กัดฟันแน่นในขณะที่เอ่ยคำว่า ‘เชิญ’ ด้วยน้ำเสียงสูงเสียดฟ้า
“อ่อ ข้าได้กลิ่นชัดเจนแล้ว คงไม่ต้องดมอีก” เมื่อนึกถึงอดีตอันสดใส เมิ่งเซวียนจึงพยักหน้าและกล่าวว่า “จี้ทองนี้เป็ของคุณหนูเหอ ไม่ผิดแน่ ข้ารับประกันได้ เพราะร่างกายของนางอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของกล้วยไม้จางๆ” หานฟ่างและคนอื่นๆ อีกห้าคนที่ะโลงไปในน้ำไม่ได้ดอมดม ‘กลิ่นกล้วยไม้’ นั้น แต่มีเพียงเมิ่งเซวียนคนนอกที่ได้สูดดมจนอิ่มหนำ ในทันใดนั้นรูจมูกของคนทั้งห้าก็ขยายเข้าออก ใบหน้าแดงก่ำดั่งกระทิงเจอผ้าแดง
“ฉีมู่เอ๋อร์ เ้ามีสิ่งใดอยากจะพูดหรือไม่?” เลี่ยวชิงเอ๋อร์ก็เดือดดาลจนหน้าดำหน้าแดงเช่นกัน วันนี้นางจะสั่งสอนเ้ากระต่ายน้อยขาวตัวนี้ให้หลาบจำ
ทันใดนั้นฉีมู่เอ๋อร์ที่ดูก้าวร้าวบังคับคนเมื่อครู่นี้ก็เปลี่ยนเป็สาวน้อยผู้น่าสงสารทันที ส่วนเลี่ยวชิงเอ๋อร์ก็ดุราวกับรับบทเป็แม่เลี้ยง ดังนั้นอาจารย์เจิ้งที่รับบทเป็แม่ผู้ให้กำเนิดก็เอ่ยออกมาว่า “จะว่าไปเื่นี้ก็เป็การเข้าใจผิด สูญเสียเพื่อร่วมชั้นอย่างเฉียนตันมู่ พวกเราทุกคนต่างก็เสียใจกันมาก วันนี้ก็พอเท่านี้เถิด ทุกคนกลับบ้านกันได้ วันพรุ่งนี้ก็หยุดปีใหม่ยาวถึงหนึ่งเดือน พวกเ้าทุกคนหมั่นทบทวนตำราอยู่ที่บ้านเพื่อความก้าวหน้าในอนาคต”
"ไม่ได้" เมิ่งเซวียนและเหอตังกุยเอ่ยห้ามปราม “จะแยกย้ายกันไม่ได้”
"เพราะเหตุใดเล่า?" อาจารย์เจิ้งเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เมิ่งเซวียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เื่นี้ยังไม่จบ ข้าคิดว่าคุณหนูเฉียนผู้นั้นไม่เหมือนคนจมน้ำตาย สาเหตุการตายของนางยังมีจุดที่น่าสงสัย เื่นี้ข้าจะให้บ่าวรับใช้ไปแจ้งทางการมาตรวจสอบโดยเร็ว รบกวนทุกท่านอดทนรอสักครู่ อยู่ในฐานะพยาน”
อาจารย์เป่าลืมตาและมองไปยังศพที่นอนอยู่บนพื้น เขาเอ่ยถามด้วยความเหลือเชื่อ “ไม่ได้จมน้ำตายงั้นหรือ? แต่ พวกเราหลายร้อยตาที่อยู่ที่นี่ก็เห็นว่านางจมน้ำตายกันทั้งนั้น”
เมิ่งเซวียนไม่พูดอะไรอีก เขาหันกลับไปพร้อมกับประสานมือไว้ด้านหลัง ก่อนที่จะอุ้มเหอตังกุยเหาะเข้าไปในป่าไผ่ลึก
เขาอุ้มนางและยืนอยู่บนยอดไม้ไผ่เขียวขจีที่แข็งแกร่ง จากนั้นเขาก็กระซิบข้างๆ หูของนาง “ถ้ามดหนึ่งตัวตกลงไปในน้ำแล้วโยนใบไม้ลงไปก็สามารถช่วยมดตัวนั้นได้ หากเื่เป็เช่นนั้นข้าจะยอมทำ แต่ถ้าคนผู้หนึ่งตกลงไปในน้ำ จะต้องะโเข้าไปช่วยถึงจะสามารถช่วยเขาได้ เื่เช่นนี้เมื่อก่อนข้าก็เคยทำ แม้ว่าตอนนี้ข้าจะว่ายน้ำเก่งมาก แต่ข้าก็จะไตร่ตรองข้อดีและข้อเสียก่อนตัดสินใจว่าจะช่วยชีวิตเขาหรือไม่ หากความหวังดีของข้าเท่ากับใบไม้ใบหนึ่ง เ้าว่าการที่ข้าทำเช่นนี้นับว่าเป็คนดีหรือไม่ เสี่ยวอี้?”
เหอตังกุยเอียงศีรษะมองเขาด้วยความประหลาดใจพลางเอ่ยว่า “เ้ารู้งั้นหรือ? เ้ารู้ได้อย่างไร…" นางเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ จากนั้นนางก็ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก ราวกับว่าจู่ๆ ลมหายใจของนางก็หยุดลงไปชั่วขณะ เพราะลมหายใจของเขาหยุดนางเอาไว้อย่างกะทันหัน
แววตาสว่างไสวคู่นั้นที่ห่างเพียงคืบ เต็มไปด้วยน้ำตาประกายพร่างพราวอยู่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้