ปลาย่างโรยเกลือบางๆ เนื้อนุ่ม รสโอชา
แม้เซวียเสี่ยวหรั่นจะใจลอยอยู่บ้าง แต่ก็ยังกินข้าวต้มชามหนึ่งจนเกลี้ยงชาม
ล้างถ้วยชามเสร็จ ก็ต้มน้ำเตรียมไว้ ก่อนออกเดินทางอีกครั้ง
ม่านไม้ไผ่โปร่งเบามองเห็นเงาหลังผึ่งผายที่นั่งอยู่ด้านหน้า เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
นั่งขัดสมาธิอยู่ครู่หนึ่งก็เปลี่ยนไปนั่งคุกเข่า ไม่ช้าก็นั่งยืดขาทั้งสองออกไปข้างหน้า หลังจากนั้นก็นอนในรถม้าเสียเลย
"ถ้าเ้าเหนื่อยก็พักผ่อนครู่หนึ่งเถอะ" ท่าทางกระสับกระส่ายของนาง เหลียนเซวียนล้วนเห็นอยู่ในสายตา
"อื้อ รู้แล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นรับคำ
หลังจากนั้นก็นอนลืมตาคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
ถึงตอนนี้เซวียเสี่ยวหรั่นก็ยังคงไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดเขาถึงอยากให้เธอเป็ญาติผู้น้องของผูหยางชิงหลัน
คงใช้สถานะนี้เป็เครื่องมือช่วยปิดบังตัวตนที่แท้จริง เพื่อเอื้อประโยชน์ในภายภาคหน้า
เซวียเสี่ยวหรั่นทั้งหวานชื่นในใจ ทั้งวิตกกังวล
เขามีใจวางแผนเผื่ออนาคต แต่กลับไม่ปรึกษาเธอ
แต่ถึงเขาจะมาปรึกษากับเธอจริงๆ เธออาจสับสนยิ่งกว่าเดิมก็เป็ได้
ไอ้หยา... ยุ่งยากยิ่งนัก
แผนการเดิมของนางคือออกไปใช้ชีวิตอย่างมีอิสระโดยอาศัยสถานะของน้องชาย
เหตุใดถึงกลับกลายเป็แบบนี้ไปได้?
หรือเธอจะแกล้งทำเป็ไม่รู้ไม่เห็นการกระทำทุกอย่างของเขาดี
เซวียเสี่ยวหรั่นหันศีรษะไปด้านข้าง ลอบมองเงาหลังที่คุ้นเคยหลังม่านไม้ไผ่
จิ๊ เขาใช่คนหลอกง่ายปานนั้นเสียที่ไหนกัน
เฮ่อ... เซวียเสี่ยวหรั่นนอนเกลือกกลิ้ง ฝังหน้าลงอย่างกลัดกลุ้ม
เหลียนเซวียนไม่ต้องหันมาก็จินตนาการถึงท่ากลิ้งไปกลิ้งมาของนางได้
มุมปากของเขายกขึ้นน้อยๆ ตวัดแส้ม้าในมือเบาๆ สายตาล่องลอยไปยังดอกสู่ขุยสีแดงแสนเย้ายวนท่ามกลางกอหญ้ารกเรื้อ
เรารั้งสายบังเหียนอย่างเบามือ อาชาค่อยๆ หยุดเดิน
เซวียเสี่ยวหรั่นซึ่งนอนพลิกไปพลิกมาพลันชะงัก ลุกขึ้นมานั่ง
"มีอะไรหรือ"
นางเปิดม่านไม้ไผ่โผล่หน้าออกมา แต่กลับไม่เห็นเงาของเหลียนเซวียนตรงที่นั่งหน้ารถ
เซวียเสี่ยวหรั่นพลันตระหนก รีบยกม่าน แล้วออกมามองซ้ายมองขวา
กลับเห็นเหลียนเซวียนไปคลำหาบางอย่างในกอหญ้าข้างทาง
ทำอะไรของเขา? เซวียเสี่ยวหรั่นลงจากรถม้า คิดจะเดินไปหา
แต่เหลียนเซวียนลุกขึ้นแล้วหันกลับมา
มือเขาถือดอกไม้ที่มีก้านตั้งตรงเกสรสีสดใสค่อยๆ เดินกลับมา
ถึงกับแล่นเป็เก็บดอกไม้เลยหรือ เซวียเสี่ยวหรั่นหันข้างไปมองดอกไม้สีแดงเบ่งบานล้อลมอย่างทระนง เธอไม่รู้ว่ามันคือดอกอะไร แต่ไม่เป็อุปสรรคในการชื่นชมของสวยๆ งามๆ
ดอกไม้สีสันสดใสดอกใหญ่เบ่งบานงดงามท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจี
"งดงามเหลือเกิน นี่คือดอกอะไร" สายตาของเซวียเสี่ยวหรั่นกลับมาอยู่ที่ดอกไม้ในมือเขา
"สู่ขุยแดง" เหลียนเซวียนหัวเราะเบาๆ
"นามไพเราะยิ่ง ขนาดขึ้นตามมีตามเกิดยังงามได้ขนาดนี้ ดอกไม้อยู่ในป่าของมันดีๆ ท่านจะไปเด็ดมาทำไม" เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นพุ่มดอกไม้สีแดงกอใหญ่ หางตาก็ยกขึ้นน้อยๆ
"บุปผาเบ่งบาน ถึงกาลอันควรล้วนต้องตัด มาตรว่ารอมาลีโรยมิเร่งรัด จะหาตัดจากกิ่งใดล้วนไม่มี [1] " เหลียนเซวียนมองนางด้วยแววตาสื่อสารบางอย่าง
เซวียเสี่ยวหรั่นหันกลับมามองเขาด้วยสายตาชอบกล "ท่าน... อยากเป็ดอกไม้ที่ถูกเด็ดเช่นนั้นหรือ"
สมองของแม่นางผู้นี้มักมีแต่เื่ชวนให้ประหลาดใจเสมอ
มุมปากของเหลียนเซวียนโค้งขึ้น ก้าวเข้ามาใกล้ทีละน้อย "นั่นก็ต้องดูว่าเ้ายินดีเป็แม่นางผู้เด็ดบุปผาดอกนั้นหรือไม่"
สู่ขุยแดงดอกใหญ่สีสันสดใสชูช่อตระหง่านอยู่ระหว่างพวกเขาสองคน กลิ่นหอมอ่อนจางตลบอบอวลอยู่ในอากาศ เซวียเสี่ยวหรั่นเคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศอันน่าหลงใหล
เธออยากเป็แม่นางผู้เด็ดบุปผาดอกนั้นหรือเปล่าหนอ...
แต่ถ้าเด็ดแล้วถูกหนามตำมือเจ็บจะทำอย่างไร?
"อย่ากลัว เพียงเ้ายินดี บุปผาก็จะโน้มกิ่งตนลงมาส่งถึงมือเ้าเอง"
น้ำเสียงนุ่มลึกแฝงแววหยอกเย้าทำเอาเซวียเสี่ยวหรั่นตกตะลึงจนหน้าแดงซ่าน เธอแค่เอ่ยถามไปอย่างนั้นเอง
บุรุษผู้นี้ยังอุตส่าห์ตอบมาเสียเป็เื่เป็ราว
"แฮ่ม รีบไปกันเถอะ แดดเผาคนจะไหม้อยู่แล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นยกมือขึ้นป้องหัวคิ้ว แสร้งทำเหมือนว่าแก้มแดงเพราะถูกแดดเผา
เห็นนางเฉไฉเปลี่ยนเื่สนทนา ดวงตาสีนิลของเหลียนเซวียนก็หลุบลงน้อยๆ
เอาเถิด บางเื่มิอาจเร่งร้อนเกินไป
"อื้ม ควรเดินทางได้แล้ว" มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย
เซวียเสี่ยวหรั่นเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าขุ่นเคือง ค่อยยิ้มพลางยื่นมือมาจะรับดอกสู่ขุยแดงไปจากมือเขา
เหลียนเซวียนเบี่ยงตัวหลบน้อยๆ "ดอกไม้มีหนาม ข้าจะเอาไปวางในรถให้เอง"
เขายกม่านไม้ไผ่แล้ววางดอกสู่ขุยแดงไว้มุมหนึ่ง
"มีหนามท่านก็ยังอุตส่าห์เด็ด" เซวียเสี่ยวหรั่นเข้าไปดึงมือของเขามาพิจารณาอย่างละเอียด
มือใหญ่ของเขาเรียวยาวได้สัดส่วน เห็นข้อนิ้วชัดเจน ท้องนิ้วยังมีหนังกำพร้าด้านเป็ชั้นบางๆ ้าไม่มีาแถูกตำแม้แต่น้อย มีแต่รอยฟันเรียงเป็ระเบียบบนง่ามนิ้วโป้งกับนิ้วชี้
พอเห็นรอยฟัน เซวียเสี่ยวหรั่นพลันรู้สึกผิดขึ้นมา เธอกัดแรงขนาดนี้เลยหรือ?
เหลียนเซวียนหัวเราะเบาๆ "ข้าเป็คนฝึกยุทธ์ จะมาเทียบกับสตรีบอบบางเช่นเ้าได้อย่างไร"
เซวียเสี่ยวหรั่นจับมือเขาพลิกไปพลิกมาดูอีกรอบ ก่อนจะแค่นเสียงหึ "ข้าไม่ใช่สตรีบอบบางเสียหน่อย สตรีบอบบางที่ไหนจะเชือดไก่ทุบหัวปลา ข้ามเขาเยว่หลิงซานได้บ้าง"
"คงมีแต่เ้าที่สามารถ" เหลียนเซวียนหัวเราะพลางลูบศีรษะนาง
เซวียเสี่ยวหรั่นคว้ามือเ้าปัญหาของเขาไว้อย่างรวดเร็ว "ห้ามแตะผมของผู้อื่นส่งเดช ยามหวีมันลำบากนะ"
เหลียนเซวียนะเิเสียงหัวเราะออกมา หมุนข้อมือกลับไปกุมมือเล็กที่พยายามขัดขืน หลังจากนั้นก็ย่อตัวเล็กน้อยช้อนอุ้มนางขึ้นรถ
จู่ๆ ก็ถูกอุ้มในท่าเ้าหญิง เซวียเสี่ยวหรั่นพลันใจนพูดไม่ออก
เหลียนเซวียนไม่รอให้นางรั้งสติกลับมา รีบขึ้นรถม้ากระตุกสายบังเหียน อาชาร้องฮี้ก่อนจะออกเดินทาง
เซวียเสี่ยวหรั่นได้แต่ทำแก้มป่องมองค้อนตาเขียวปั้ด
แสงแดดหลังเที่ยงยังคงแรงกล้า คนเดินทาง่แดดจัดมีไม่มาก แต่ถึงจะน้อยอย่างไรก็ยังมีเงาคนให้เห็นอยู่
"เอ้า ลองบังคับรถตามที่ข้าสอนเมื่อเช้าดูว่าจำได้หรือไม่" เหลียนเซวียนยื่นแส้ม้าส่งให้
เซวียเสี่ยวหรั่นรับของมา คิดในใจว่าบุรุษผู้นี้แกล้งตีมึนให้เื่ผ่านไปอีกแล้ว
เธอยังโมโหอยู่ เอื้อมมือไปหยิกที่แขนของเขา แต่แขนล่ำสันแข็งแรงราวกับเหล็กเพียงนั้นเธอหยิกเข้าเสียที่ไหน
เซวียเสี่ยวหรั่นปล่อยเขาด้วยความโมโห และไม่สนใจอีกต่อไป
อยากทำอะไรก็เชิญ ใช่ว่าเขาจะกลืนเธอลงท้องเสียที่ไหน
เซวียเสี่ยวหรั่นตวัดแส้ม้าเบาๆ พลางกระตุกสายบังเหียน สนใจกับการบังคับรถอย่างจริงจัง
เหลียนเซวียนหัวเราะเสียงเบา เอนกายไปด้านหลังพิงด้านข้างของประตูรถ ขายาวๆ ทั้งสองข้างซ้อนกัน แลดูเอ้อระเหยอย่างชัดเจน
ทั้งสองมิได้สนทนากันมีเพียงเสียงเท้าอาชาที่วิ่งไปข้างหน้า
แสงแดดดั่งเปลวเพลิง เสียงจักจั่นร้องระงมไปทั่ว
รถม้าอาศัยวิ่งริมทาง ทว่าต้นไม้ข้างทางแทบจะไม่สามารถบดบังแสงตะวันที่สาดเฉียงลงมา แต่ก็ไม่ถึงกับส่องลงมาโดยตรง
เซวียเสี่ยวหรั่นบังคับรถไม่นาน พวงแก้มก็ถูกเผาจนแดงก่ำ
เหลียนเซวียนถอนใจก่อนย้ายมานั่งข้างกายนาง เอาตัวบังแดดให้
"ไหนบอกว่าหาใช่สตรีบอบบางอย่างไรเล่า ดูสิ ตากแดดเพียงครู่เดียว ใบหน้าก็ถูกเผาจนแดงอย่างกับอะไรดี"
...
[1] เป็ท่อนหนึ่งของบทกวีชื่อว่า เสื้อดิ้นทอง โดยตู้ชิวเหนียง กวีหญิงสมัยราชวงศ์ถัง
