ณ ห้องนอนของผู้เฒ่าหลี่
“เ้ามีสิ่งใด้าเอ่ยหรือไม่”
ชายชราหันกลับไปถามภรรยาคู่ยากของตน สามสิบปีมานี้เขาไม่เคยเห็นนางแสดงท่าทางคับข้องใจออกมาเลยสักครั้ง ทว่าวันนี้ดูเหมือนนางกำลังอดกลั้นกับบางสิ่ง
“ท่านพี่...เด็กนั่นรู้เื่ของข้า ท่าน..เล่าให้นางฟังใช่หรือไม่”
ผู้เฒ่าหลี่เลิกคิ้วด้วยความฉงน เพราะชายชราไม่เข้าใจคำถามของภรรยา
“เ้าหมายความว่าอะไร”
“ก็เื่สัญญาทาสที่ยังอยู่ในมือของท่านเ้าเมือง ท่านได้เล่าให้หลี่อันหนิงฟังหรือไม่”
ผู้เฒ่าหลี่นั่งไตร่ตรองคำพูดของภรรยาเฒ่า ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ
“ข้าไม่เคยปริปากเอ่ยเื่นี้กับผู้ใด ตัวเ้าเองก็น่าจะรู้”
“แล้วเช่นนั้นหลี่อันหนิงรู้ได้อย่างไร”
แม่เฒ่าหม่าแสดงท่าทีร้อนรนออกมา แต่คนที่นั่งฟังกลับยังคงใจเย็น
“นางพูดอะไรกับเ้า”
“นางบอกว่าถ้าข้ายังใช้งานนางอยู่เช่นนี้ นางจะนำเื่ของข้าออกไปป่าวประกาศข้างนอกให้คนในตำบลหยางเฉิงรู้ นางจะทำให้เจียนเอ๋อไม่ได้แต่งงาน ท่านพี่...นาง”
ชายชรายกมือขึ้นห้าม
“เด็กนั่นเพียง้าข่มขู่เ้าเท่านั้น นางไม่มีวันทำเช่นนั้นจริงๆ หรอก จะอย่างไรเจียนเอ๋อก็เป็อาหญิงของนาง เ้าเองก็เถอะเลิกรังแกพวกนางพี่น้องได้แล้ว หลายปีมานี้ทำกับพวกนางแม่ลูกถึงเพียงนั้นยังไม่พอใจอีกหรือ เลิกผูกใจเจ็บพวกนางเสียถ้าเจ๋อเอ๋อรู้เื่ที่เ้าทำกับมารดาของเขา เ้าคิดว่าเด็กนั่นจะยังยอมทำตามคำสั่งของข้าอยู่อีกหรือไม่”
แม่เฒ่าหม่าที่ได้ยินสามีกล่าวเช่นนั้น นางก็รู้สึกไม่ยินยอม
“นั่น...เป็ความผิดของพานเยว่หลานมิใช่หรือ เหตุใดท่านถึงได้ตำหนิข้า ถ้ามิใช่เพราะสตรีผู้นั้นอาเจี๋ยของเราคงจะสอบได้ขุนนางไปแล้ว”
“พอเถอะน่า เื่ผ่านไปตั้งหลายปีแล้วยังจะขุดขึ้นมาพูดอีก”
ผู้เฒ่าหลี่รู้แก่ใจดีว่าต่อให้ไม่มีพานเยว่หลาน บุตรชายคนโตของตนก็ไม่มีวันสอบได้เป็ขุนนาง เขาที่เคี่ยวกรำเด็กคนนั้นเองกับมือมีหรือจะไม่รู้ว่าความสามารถเขามีเท่าใด
เพราะอย่างนั้นถึงได้เลิกเคี่ยวเข็ญให้เขาร่ำเรียนเขียนอ่าน บุตรชายคนโตและบุตรชายคนรองนั้นเขาเลิกหวังไปนานแล้ว จนกระทั่งค้นพบความสามารถของหลี่อี้เจ๋อโดยบังเอิญ
เด็กที่อายุเพียงสามขวบก็สามารถท่องคัมภีร์ตรีอักษรได้ขึ้นใจราวกับร่ำเรียนมาแล้วหลายปี ยิ่งอายุของเด็กคนนั้นเพิ่มขึ้นเขายิ่งฉายแววของอัจฉริยะออกมา ความสุขุมที่มิต้องเสแสร้ง ความเฉลียวฉลาดที่เป็ของจริง
เด็กคนนั้นแตกต่างจากสายเืตระกูลหลี่ของเขา
หลังเหตุการณ์วงแตกที่โต๊ะทานอาหาร คนตระกูลหลี่ต่างก็แยกย้ายกันไป หลี่อันหนิงและหลี่ซางเป่าสะพายตะกร้าขึ้นหลังตรงดิ่งไปยังูเาด้านหลังหมู่บ้านทันที
“พี่ใหญ่ หัวมันที่เราขุดเอาไว้ยังไม่พออีกหรือ”
หลี่อันหนิงหันกลับมายิ้มให้กับน้องสาว
“ไม่พอหรอก เราต้องเก็บให้ได้มากกว่านี้ เป่าเอ๋อฟังพี่นะ ภัยแล้งที่จะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งปีข้างหน้ามันยาวนานจนพี่ไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดอยู่ที่ใด”
เพราะจากความทรงจำของนาง แม้กระทั่งวันสุดท้ายที่สิ้นลมหายใจ สายฝนสักเม็ดก็ยังไม่ตกลงมา
“ได้ เช่นนั้นเราก็ขุดมันในูเาไปเก็บเอาไว้ทั้งหมดกันเถอะ”
ผ่านไปนานนับเดือน ชีวิตของหลี่อันหนิงและหลี่ซางเป่าเริ่มสงบสุข คนบ้านหลี่แม้จะเอ่ยเหน็บแนมพวกนางในบางครั้ง แต่ก็มิได้เข้ามากลั่นแกล้งรังแกดั่งเช่นอดีต
กระทั่งเหมันต์มาเยือน สองพี่น้องหยุดการกระทำของตน ตอนนี้พวกนางมีหัวมันกองเท่าูเาลูกย่อมอยู่ภายในถ้ำ หลี่อันหนิงใช้หญ้าคาแห้งที่ตากเอาไว้มาเป็ฐานรอง จึงไม่ต้องกังวลเื่ความชื้น
อีกอย่างนางได้เมล็ดผักหลายอย่างจากแม่เฒ่าจวงมาเมื่อสองเดือนก่อน ทำให้ภายในถ้ำราวกับมีสวนผักขนาดย่อมตั้งอยู่ ยิ่งมีบ่อน้ำพุร้อนเื่อากาศหนาวด้านนอกยิ่งไม่ต้องกังวล
เด็กน้อยทั้งสองเก็บสะสมเสบียงเอาไว้ภายในถ้ำมากมาย เนื้อกวางและหมูป่าที่ลูกเสือดำล่ามานางก็ทำตากแห้งรมควันเอาไว้ทั้งหมด หลังจากเกิดภัยแล้งขึ้น เสบียงอาหารคือสิ่งที่จำเป็อันดับหนึ่งที่ควรมี
หน้าเรือนตระกูลหลี่
“เจ๋อเอ๋อของเรากลับมาแล้ว”
รถม้าคันโตกำลังวิ่งขลุกขลักจากหน้าหมู่บ้านตรงมายังเรือนตระกูลหลี่ ผู้เฒ่าหลี่แสดงสีหน้าเปรมปรีดิ์เมื่อได้พบหน้าหลานชายอีกครั้งในรอบหลายเดือน
เด็กน้อยอายุเพียงหกเจ็ดขวบแต่กลับแสดงท่าทีสุขุมราวกับผู้ใหญ่ หลี่อี้เจ๋อก้าวลงมาจากรถม้าก่อนจะโค้งคำนับให้ชายชราที่สวมชุดคลุมของฤดูหนาว
“หลานคารวะท่านปู่ ท่านพ่อขอรับ”
“ดี ดี ดี กลับมาบ้านก็ดีแล้ว เข้าไปในเรือนเถอะข้างนอกอากาศหนาวนัก อาเจี๋ยรีบพาบุตรชายของเ้าเข้าไปข้างในเร็วเข้า”
ผู้เฒ่าหลี่เอ่ยออกมาเสียงดัง ราวกับกลัวว่าจะไม่มีผู้ใดได้ยินว่า หลานชายที่น่าภาคภูมิใจของตนกลับมาบ้าน
จางเหยาฮวาบิดปากอย่างหมั่นไส้ในท่าทางของผู้เฒ่าหลี่ นางเองก็มีลูกชายให้บ้านหลี่เหมือนกันเหตุใดถึงได้เอาอกเอาใจแค่หลี่อี้เจ๋อเพียงคนเดียว ก็แค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น เขาเป็บุตรชายของหลี่เจี๋ยมีหรือจะก้าวข้ามความสามารถของบิดาไปได้
“เป็อย่างไรหลานชาย ปู่ได้ยินจากอาจารย์ใหญ่ว่าเ้าเขียนบทความได้รางวัลที่หนึ่ง แม้แต่ผู้ใหญ่ยังไม่สามารถเอาชนะได้เก่งกาจสมเป็ลูกหลานตระกูลหลี่เสียจริง”
“เป็ท่านปู่ที่สอนหลานมาดี”
ผู้เฒ่าหลี่ที่ได้ยินหลานชายยกยอตนเองชายชราก็ยิ่งแสดงสีหน้าเปรมปรีดิ์ ราวกับว่าบทความที่หลี่อี้เจ๋อเขียนเป็ผลงานของตน
เด็กน้อยเห็นคนบ้านหลี่แสดงสีหน้าเบิกบานก็นึกดูแคลนในใจ ถ้าตระกูลหลี่มีความสามารถจริงเหตุใดพยายามสอบมาสองรุ่นแล้วถึงยังมิได้เป็ขุนนาง
“พี่ใหญ่และน้องสาวของข้า พวกนางอยู่ไหนขอรับ”
ั้แ่เข้ามาในเรือนเขายังไม่เห็นหน้าทั้งสองคนเลย ถึงแม้ที่ผ่านมาพวกนางจะเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่ที่มุมห้องตลอด แต่นั่นก็อยู่ในสายตาของตน แล้ววันนี้เหตุใดพวกนางสองคนถึงไม่อยู่ที่นี่
“นั่น...”
“ยังจะถามหาเด็กเนรคุณสองคนนั้นอยู่อีกหรือ ป่านนี้คงจะไปขอข้าวบ้านจวงกินอยู่กระมัง หลายเดือนมานี้ไม่ยอมทำงานในเรือน ไม่ทานอาหารของบ้านหลี่ คิดว่าตัวไร้ค่าอย่างพี่สาวของเ้าอยู่มาได้ยังไง”
แม่เฒ่าหม่าเอ่ยออกมาด้วยความคับข้องใจที่ตนไม่สามารถทำอะไรเด็กนั่นได้
หลี่อี้เจ๋อเมื่อได้ยินท่านย่าเอ่ยถึงพี่สาวเช่นนั้น เด็กน้อยก็ชักสีหน้าไม่พอใจ แม้จะยังเป็เด็ก ทว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมาไม่ต่างจากผู้ใหญ่เลยสักนิด ผู้เฒ่าหลี่ที่เป็คนกลางเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเอ่ยปรามภรรยาคู่ยากของตน
“พอได้แล้ว!! พูดอันใดนักหนา พวกนางไม่กลับมาเ้าเป็ย่าเหตุใดไม่ไปตาม ปล่อยให้ลูกหลานบ้านหลี่ไปทานอาหารที่เรือนผู้อื่น ยังคิดจะให้หน้าข้าอยู่หรือไม่”
แม่เฒ่าหม่าเมื่อถูกสามีตำหนินางก็ไม่มีอารมณ์ที่จะมาชื่นชมความสำเร็จของหลี่อี้เจ๋อแล้ว ถึงเด็กคนนี้จะมีพร์ อย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเด็กคนนี้คือลูกที่พานเยว่หลานคลอดออกมา
นางมิอาจทำใจไม่เกลียดชังได้
“ไม่เป็ไรขอรับท่านปู่ เดี๋ยวข้าไปตามพวกนางเอง”
“ไม่จำเป็ พวกเรากลับมาแล้ว”
หลี่อี้เจ๋อลุกจากเก้าอี้คิดจะออกจากเรือนไปตามหาสองพี่น้อง แต่เสียงที่ดังขึ้นหน้าประตูทำให้เขาหันกลับไปมองในทันที
เด็กสองคนที่แต่งกายด้วยชุดฤดูหนาวอย่างดี แม้เนื้อผ้ามิอาจเท่ากับตระกูลใหญ่แต่ก็ดีกว่าที่คนในหมู่บ้านใช้สวมใส่ คนบ้านหลี่ไม่ได้เห็นเด็กสองคนมานานแล้ว เพราะพวกเขาออกจากเรือนั้แ่ตะวันยังไม่ขึ้นเมื่อกลับมาทิวากรก็จากไป
“พวกเ้า...”
“มีอันใดให้แปลกใจหรือ หรือว่าผ่านไปหลายเดือนท่านปู่ถึงกับจดจำหลานสาวของตนมิได้”
หลี่อันหนิงและหลี่ซางเป่าบัดนี้มิใช่เด็กผอมแห้งร่างกายขาดสารอาหารอีกต่อไป เพราะหลังจากที่ทั้งสองเลิกยุ่งเกี่ยวกับตระกูลหลี่พวกนางก็ได้ทานอาหารอย่างอุดมสมบูรณ์ ร่างกายผิวพรรณต่างขาวผ่องอวบอิ่มราวกับเด็กที่เกิดในตระกูลขุนนาง เส้นผมที่เคยแห้งขาดบัดนี้กลับมานุ่มลื่นเงางาม เพราะได้รับการดูแลอย่างดี
โสมที่ทั้งสองขุดพบสามหัวแม่เฒ่าจวงเป็ผู้จัดการออกหน้าขายให้นาง ขายไปแล้วสองหัวนางเก็บหัวที่ใหญ่ที่สุดเอาไว้ เพราะมีลางสังหรณ์ว่าในอนาคตอาจต้องใช้มัน
เป็ครั้งแรกที่ได้เข้าไปเหยียบในอำเภอตงผิง หลี่อันหนิงก็จัดการซื้อชุดใหม่และเครื่องนอนอีกหลายชุดรวมถึงยาสมุนไพร
นางต้องเตรียมตัวเอาไว้สำหรับภัยแล้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า ยังมีข้าวขาว แป้งขาว เครื่องปรุง และอุปกรณ์ทำครัว ทุกอย่างผ่านแม่เฒ่าจวงทั้งหมด นางที่เป็ผู้าุโของหัวหน้าหมู่บ้านมีใครบ้างกล้าสงสัยในการกระทำของหญิงชรา
หลี่อันหนิงได้เปิดเผยเื่ถ้ำลับให้แม่เฒ่าจวงและจวงอี้ซิงรู้แล้วเมื่อไม่กี่เดือนก่อน
จากนั้นคนทั้งสองจึงทำการสนับสนุนเด็กสองคนอย่างไร้ข้อกังขา ทั้งยังเชื่อคำบอกเล่าของเด็กสาวเื่ภัยแล้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าด้วย
แม่เฒ่าจวงเองก็เริ่มกักตุนอาหารของตนทีละน้อยโดยการให้จวงอี้ซิงขุดหลุมทำห้องลับสำหรับกักเก็บอาหาร หลี่อันหนิงไม่เคยแคลงใจในความหวังดีของหญิงชราเลยสักนิด เพราะในชีวิตก่อนเป็นางที่เอาชีวิตเข้าแลก เพื่อให้ตนได้หนีรอดจากเงื้อมมือของเศษเดนมนุษย์เ่าั้