หวนเอ๋อร์เดินเข้ามา ก่อนจะจ้องมองเ้านายทั้งสองไปทีหนึ่ง พูดด้วยท่าทีนอบน้อม “ท่านอ๋อง พระชายา เมื่อครู่นายท่านอวิ๋นให้คนนำความมาบอกว่า ั้แ่วันนี้ไปจะไม่กลับมาพักที่จวนอ๋องแล้ว ทั้งยังฝากมาบอกพระชายาว่า ในวันพรุ่งนี้ให้ท่านพาคุณชายน้อยทั้งสองและจวิ้นจู่น้อยไปร่วมมื้อกลางวันด้วยกันที่หอสุราเมาเมรัยเพคะ”
ทันทีที่อวิ๋นซีได้ยินประโยคที่ว่า ั้แ่วันนี้จะไม่กลับมาอยู่ที่จวนอ๋องแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไป “ท่านดูสิ ท่านดู เพราะมีคนนอกเข้ามาอยู่ ตอนนี้บิดาข้าก็ไม่ยินดีจะอยู่ที่นี่แล้ว”
จวินเหยียนกอดนางโอ๋เสียงเบา “เอาละ เป็ข้าที่ไม่ดีเอง ข้าควรจะปฏิเสธให้ชัดเจนแต่แรก แต่เ้าลองคิดดู ่นี้ที่เจิ้นหนานอ๋องเข้ามาพักอยู่ที่นี่ บิดามารดาของเ้าก็มักจะพักอยู่ด้านนอก ด้วยเื่นี้ แท้จริงแล้วก็มีข้อดีเหมือนกันนะ นั่นก็คือพวกเขาทั้งสองได้อยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้นอย่างไรล่ะ เมื่อก่อนตอนที่พวกเขาต้องอยู่ในจวนเรา วันๆ ก็ยุ่งวุ่นวายอยู่กับเด็กๆ ทั้งสามไม่น้อย เวลาที่จะได้อยู่กันสองคนย่อมมีไม่มาก ดังนั้น เราสามารถถือโอกาสในระหว่างนี้ให้พวกเขาได้บ่มเพาะความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันให้มากขึ้นเรื่อยๆ ได้”
ในใจอวิ๋นซีไม่ยินยอมเป็อย่างมาก แต่ก็รู้ดีว่า ตอนนี้ไม่ว่าจะพูดอะไรก็สายไปหมดแล้ว นางทำเพียงพยักหน้าตอบ “รู้แล้ว”
จวินเหยียนไม่ได้คิดง่ายดังเช่นอวิ๋นซี เขารู้สึกว่าทุกสิ่งดูประหลาดมาก เพราะั้แ่ที่เจิ้นหนานอ๋องเข้ามาพักในจวนอ๋อง ก็น้อยครั้งนักที่จะได้เห็นหน้าค่าตาของผู้าุโทั้งสอง หรือว่าแท้จริงแล้วคนที่อวิ๋นซานพยายามหลบเลี่ยงมาโดยตลอดจะเป็เจิ้นหนานอ๋อง
เมื่อนึกถึงเื่เ่าั้ที่เขาเคยสืบหามาได้ ในสมองก็มีความคาดเดาหนึ่งวาบผ่านไป “เอาละ ยิ้มหน่อยสิ วันนี้สามีจะเข้าครัวทำของอร่อยๆ ให้เ้ากินอีก”
อวิ๋นซีมองท่าทางหน้าไม่อายของบุรุษผู้นี้ นางได้แต่ยิ้มอย่างปลงๆ “ตอนนี้ข้าไม่ได้อยากจะกินอาหารฝีมือท่าน แต่กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรให้พวกเขาย้ายออกไปเองดี”
ที่บ้านมีคนนอกเข้ามาอยู่มากขนาดนี้ ทำให้แม้แต่ตัวนางก็ยังทำอะไรไม่สะดวกจริงๆ อีกทั้ง คนเ่าั้ยังมีตั้งหลายคนที่ตนไม่ชอบ แค่ได้เห็นก็ขัดหูขัดตาไปหมด ทว่า ในตอนที่ความคิดของนางกำลังล่องลอยอยู่นั้น จู่ๆ จวินเหยียนก็เขยิบเข้ามาใกล้หูนางแล้วพูดเสียงเบา “หากเ้าไม่อยากกินของที่ข้าเตรียม เช่นนั้นสามีก็จะพาเ้าไปชมละครสนุกๆ ”
อวิ๋นซีมองบุรุษของตนด้วยสายตาสงสัย “ละครสนุกอันใด? ”
“รู้เพียงว่าเป็ละครสนุกก็แล้วกัน แค่เ้าตามมาเป็พอ” จวินเหยียนพาอวิ๋นซีออกไปจากจวนอ๋องโดยไร้สุ้มเสียง เพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึงยังเรือนแห่งหนึ่งที่ส่งกลิ่นหอมลอยเอื่อยออกมา อวิ๋นซีเดาได้ในทันทีว่าที่นี่คือที่ใด
“เหตุใดถึงพาข้ามายังเรือนหลังของโรงเตี๊ยมนี้ หรือท่าน คิดจะมาขโมยของกิน? ” อวิ๋นซีมองไปรอบด้านด้วยสีหน้าชั่วร้าย พิจารณาจากกลิ่นหอมที่ได้ลอยโชย อาหารที่พ่อครัวของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ทำขึ้นย่อมต้องมีรสชาติที่ไม่เลวแน่ เพียงแต่พวกเขามาขโมยกินเช่นนี้จะดีจริงๆ หรือ?
จวินเหยียนเคาะกะโหลกนางไปทีหนึ่ง “สมองน้อยๆ ของเ้าเอาแต่คิดเื่อันใดอยู่นะ สามีบอกั้แ่เมื่อไรว่าจะมาขโมยกิน”
อวิ๋นซีพึมพำเสียงเบา “ถ้าไม่ได้มาขโมยกิน เช่นนั้นท่านพาข้ามาที่นี่ทำอันใดเล่า? ”
“ชมละครสนุก”
มาชมละครสนุกที่นี่?
อวิ๋นซีมึนงงไปหมดแล้ว ที่นี่ไม่ใช่โรงเตี๊ยมหรอกหรือ เหตุใดจึงมีละครสนุกๆ ให้ดูกัน? ไม่นานคนทั้งสองก็เห็นใครบางคนเดินเข้ามา จวินเหยียนรีบพาอวิ๋นซีเข้าไปหลบอยู่ในห้องห้องหนึ่ง
หลบได้ครู่หนึ่ง ประตูห้องข้างๆ ก็ถูกเปิดออก พวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้า ก่อนจะตามมาด้วยเสียงปิดประตู
เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น “ตกลงว่าเื่ของท่านเป็มาอย่างไรแน่ มิใช่ท่านบอกข้าว่า ยังไม่ได้แต่งงานหรอกหรือ เหตุใดจึงต้องหลอกข้าด้วย”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินมาถึงตรงนี้ก็ชะงักค้างไป นี่คือ...นี่คือเสียงของลู่หลิงฉิง เช่นนั้นคนที่อยู่ด้วยกันกับอีกฝ่ายในห้องนั้นก็ต้องเป็หลินหรงเว่ย? ก่อนหน้านี้อวิ๋นซีได้ยินสาวใช้ตนมาบอกว่า หลินหรงเว่ยพาผิงถิงจวิ้นจู่ออกไปจากจวนอ๋อง เพียงแต่พวกนางไม่รู้ว่าคนจะไปที่ใด
ไม่ใช่ว่าเขาควรจะอยู่กับภรรยาของเขาหรอกหรือ? นางมองไปยังชายที่กำลังกอดเอวตนอยู่ด้วยใจที่สงสัยใคร่รู้ ก่อนจะเอ่ยถามโดยไร้เสียงว่า นี่มันเื่อันใดกัน?
จวินเหยียนเพียงยิ้มน้อยๆ แน่นอนว่า เขาไม่มีทางบอกภรรยาเื่ที่หลินหรงเว่ยพาผิงถิงจวิ้นจู่ออกมาพักอยู่ด้านนอก และในยามที่คนเติมเต็มความปรารถนาของภรรยาเสร็จแล้วที่โรงเตี๊ยมนี้ก็ได้วางยาสลบใส่อีกฝ่าย ทำให้อย่างน้อยๆ ผิงถิงจวิ้นจู่ผู้นั้นเป็ต้องหลับใหลไปสักสองชั่วยาม
เื่สกปรกเช่นนี้ จวินเหยีนไม่มีทางให้ภรรยาตนมารับรู้ เพื่อจะได้ไม่ทำให้หูของภรรยาต้องสกปรกไปด้วย
อวิ๋นซีกะพริบตาขณะมองสามีตน และได้เห็นว่าเขาไม่คิดจะพูดอะไร นางทำเพียงหงุดหงิดอยู่ในใจ ก่อนจะสดับรับฟังเสียงสนทนาที่ลอดออกมาจากในห้องต่อ ตอนนี้นางไม่มีเวลามาสนใจบุรุษข้างกายแล้ว
“ข้าไม่ได้แต่งงาน เพียงแต่เป็เขยที่แต่งเข้าไป...เขย ที่แต่งเข้าไปในตระกูลผู้อื่น เ้าลองคิดดูเถิดว่า วันคืนของข้าจะผ่านไปอย่างดีหรือไม่? หลิงเอ๋อร์ ข้ารักเ้าจริงๆ ตอนนั้นถึงได้คิดจะพาเ้าจากไป หลายปีที่ผ่านมาข้าเก็บเงินไว้ไม่น้อย เดิมทีคิดจะพาเ้าหนี ไม่ว่าจะตะวันตกก็ดี ทางเหนือก็ช่าง ข้าไม่มีทางปล่อยให้เ้าต้องลำบาก แต่มาถึงตอนนี้ ข้าก็คิดไม่ถึงว่าสถานะที่แท้จริงของเ้าจะสูงส่งเพียงนี้ เ้าเป็ถึงชายารัชทายาท...”
เมื่อหลินหรงเว่ยพูดจบก็หัวเราะเยาะหยันตน “เ้าจะหัวเราะเยาะให้กับคนไม่รู้ความเยี่ยงข้าอยู่ในใจหรือไม่ ตัวข้า ช่างแสนโง่งม ถึงกับคิดจะพาชายารัชทายาทหนี เ้าอยู่ที่นี่มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ใช้ชีวิตหรูหรา จะมาเห็นคนเช่นข้าอยู่ในสายตาได้เยี่ยงไร”
ลู่หลิงฉิงเห็นท่าทีเช่นนี้ของหลินหรงเว่ย ในใจก็บอกไม่ถูกว่าแท้จริงแล้วรู้สึกอย่างไรอยู่ อย่างไรเสีย คนก็เคยพัวพันจะเป็จะตายอยู่กับนางมาหลายครั้งหลายครา หากจะบอกว่าในใจไม่มีความรู้สึกอันใดเลยแม้แต่น้อยก็คงเป็คำหลอกลวง
หลินหรงเว่ยยังคงพูดต่อ “ตอนนั้นข้าเพิ่งจะอายุสิบสามปี ที่บ้านยากจน ทำได้แค่อาศัยขึ้นเขาล่าสัตว์ประทังชีวิต ในปีนั้นข้าต้องเกือบตายหลายครั้ง ในที่สุดก็สามารถล่าหมูป่าตัวใหญ่ได้ถึงได้กลับเข้าเมืองไป ทว่าตอนจะกลับนั้น ผิงถิงจวิ้นจู่ที่เพิ่งออกไปท่องเที่ยวก็บังเอิญมาเห็นข้าเข้า ถึงแม้ตัวข้าในตอนนั้นจะอายุแค่สิบสาม แต่ก็ตัวสูง อีกทั้งเพราะติดตามบิดาไปล่าสัตว์ั้แ่เล็กจึงได้มีร่างกายที่บึกบึน ดูแล้วไม่ต่างจากคนหนุ่มในวัยสิบห้าสิบหกเท่าใดนัก นางจึงให้คนนำตัวข้า รวมถึงหมูป่าตัวนั้นกลับเข้าจวนอ๋องไป นางพูดออกมาตรงๆ ว่าชมชอบข้า อยากให้ข้าแต่งเข้าจวนอ๋อง ทว่า ที่บ้านของข้ามีข้าเป็ลูกชายเพียงคนเดียว แน่นอนว่าบิดามารดาย่อมไม่ยินยอม โชคไม่ดีที่นางกลับวางยาข้า รอจนข้ารู้ตัวอีกที...ข้าวสารก็ได้กลายเป็ข้าวสุกไปแล้ว”
นี่เป็ครั้งแรกที่ลู่หลิงฉิงได้ยินเื่อะไรเช่นนี้ ในใจนางก็อดไม่ได้ให้สงสารชายผู้นี้อยู่เล็กน้อย ทั้งๆ ที่เพิ่งจะอายุสิบสามปีเท่านั้น แต่กลับต้องมาอยู่กินกับหญิงที่แก่กว่าตนเกือบสิบปี
หลินหรงเว่ยมองลู่หลิงฉิง พูดอย่างปลงๆ “ตอนที่ได้พบเ้า ตอนนั้นข้าออกมาทำการค้า และถูกกลุ่มอริทำร้ายจนาเ็ แต่ครั้งแรกที่ข้าได้เห็นเ้า ข้าก็ชอบเ้าเข้าแล้วจริงๆ เพราะเ้าจิตใจดีเพียงนั้น ทำให้ข้าคิดเพียงว่า ไม่ว่าเ้าจะเป็ใคร ข้าจักต้องพาเ้าหนีไปให้ได้ ข้าต้องทำให้เ้าได้ใช้ชีวิตที่สุขสบายและมีความสุข”
เขาก้าวเข้ามาด้านหน้า กอดลู่หลิงฉิงไว้ในอ้อมแขนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน “หลิงเอ๋อร์ ข้ารักเ้ามากจริงๆ ”
รัก?
ในใจของลู่หลิงฉิงราวกับมีคลื่นน้ำที่สะท้อนเป็วงเล็กๆ สองปีมานี้ รัชทายาทพูดคำว่ารักกับนางน้อยครั้งมาก ต่อให้ตอนที่อยู่บนเตียงจะห้าวหาญเพียงใด แต่เมื่อลงจากเตียง เขาก็เป็แค่ชายเ็าผู้หนึ่ง ตอนนี้จู่ๆ ก็ถูกคนสารภาพรัก ในใจของนางก็ราวกับมีกวางน้อยวิ่งชนจนสับสน นางที่ยังไม่ทันได้ดึงสติกลับมาก็ถูกหลินหรงเว่ยจูบริมฝีปากตนอย่างหนักหน่วง
ถึงกระนั้นจูบของเขาก็ยังอ่อนโยนราวกับเป็การปกป้องฟูมฟักตนไว้ในฝ่ามือ การกระทำเช่นนี้ทำให้ลู่หลิงฉิงที่คิดจะผลักออกก็ยังอดหลงใหลไปกับมันไม่ได้ นางเอื้อมมือออกไปกอดเอวหลินหรงเว่ยไว้ และตอบกลับเขาอย่างไม่มีท่าทีจะหยุด
เพียงไม่นานภายในห้องนี้ก็มีเสียงเร่าร้อนของชายหนุ่มหญิงสาวลอดออกมา และตามมาด้วยเสียงร้องครั้งแล้วครั้งเล่าของลู่หลิงฉิง ท่านพี่หลิน เร็วหน่อย เร็วหน่อย...
ท้ายที่สุดจวินเหยียนก็อุ้มสตรีของตนไปจากที่นี่ ทว่ากว่าอวิ๋นซีจะดึงสติกลับมาได้ก็เป็ตอนที่พวกเขาทั้งสองกลับมาถึงจวนอ๋องแล้ว