แม่น้ำไหลผ่านเอื่อยๆ ดวงดาวประหนึ่งเพชรระยิบระยับบนผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด
สายลมเย็นอ่อนๆ ให้ความรู้สึกสดชื่น แสงจันทร์บางๆ สาดส่องไปทั่วท้องฟ้า
เห็นเขาเงยหน้ามองไปบนฟ้า มู่หรงฉือก็นอนลงตรงข้ามเขา ระหว่างพวกเขามีกองไฟกั้น ระยะห่างกันหนึ่งจั้ง
รอบด้านเงียบสนิท ดวงดาวระยิบระยับที่ส่องประกายอยู่บนฟ้า เหมือนกำลังเร่งให้นางนอนหลับไวขึ้น
ผ่านไปไม่นาน นางก็หลับไปเสียแล้ว
มู่หรงอวี้ลุกขึ้นถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกมาคลุมตัวนางแล้วมองนางเงียบๆ ขนตายาวกระพือเบาๆ
ใบหน้าขาวของนางนิ่งสงบดังบุปผาสีขาวพิสุทธิ์เบ่งบานอยู่ท่ามกลางความมืดอันกว้างขวางไร้ที่สิ้นสุด สง่างามวิจิตร ปล่อยกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่มีลักษณะเฉพาะน่าดึงดูด นางเอียงตัวเข้ามา งอตัวน้อยๆ ราวกับเด็กที่้าความปลอดภัย ร่างกายอบอุ่นนุ่มนวลนั้นเป็สิ่งที่ลึกลับที่สุดในโลก ยั่วยวนผู้คนมากที่สุด
ทว่า ตอนนี้เขากลับไม่มีความปรารถนาเลยสักนิด
เขาล้มตัวลงนอนข้างนาง จ้องมองนางอยู่นาน นิ้วเรียวยาวแตะลงที่หน้าผากขาวสะอาดของนางแล้วเลื่อนลงมาเบาๆ หยุดที่ขนตาของนาง
ขนตาของนางงดงามราวกับแสงดาวทอประกาย
มองตามแพขนตาของนาง นิ้วมือของเขาััหัวคิ้ว กลางคิ้วและปลายคิ้วอย่างแ่เบา ัันุ่มลื่นจนทำให้คนไม่อยากละมือ เหมือนกับเส้นทางทั้งชีวิตของตน เขาไม่ได้อยู่ร่วมกับนางเมื่อสิบแปดปีก่อน เช่นนั้นบั้นปลายชีวิตของนาง ่ชีวิตที่รุ่งโรจน์ของนางเล่า เขามีคุณสมบัติที่จะอยู่ร่วมด้วยหรือไม่?
มู่หรงฉือถูกเสียงนกปลุกให้ตื่นขึ้นมา ยังไม่ทันได้ลืมตาก็รู้สึกถึงแสงที่แยงตาเข้ามา
ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกถูกปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆที่สะท้อนสีแดงจากแสงตะวันในยามเช้า งดงามจนทำให้คนหลงใหล แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาทำให้ป่าด้านนอกเมืองที่ดูห่างไกลจากโลกภายนอกสว่างไสวขึ้น
นางมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง เหตุใดนางถึงมาอยู่ที่นี่?
ชะงักค้างไปก่อนจะคิดขึ้นมาได้ว่านางกับมู่หรงอวี้มานอนอยู่ในป่าคืนหนึ่ง
เสื้อคลุมสีดำบนตัวคงจะเป็เขาเอามาคลุมให้นาง
นางหรี่ตามองไป เห็นเขายืนอยู่ตรงหน้าลำธารสายเล็ก เรือนกายสูงใหญ่สวมเสื้อตัวกลางสีขาว มีภาพพื้นหลังเป็ต้นไม้ ใบไม้สีเขียว เพียงแค่เห็นแผ่นหลังก็รู้แล้วว่าเป็เรือนร่างอันยอดเยี่ยม
ตอนนี้ในใจของนางยังมีความใอยู่หลงเหลืออยู่ เมื่อคืนนางแค่นอนลงไปก็หลับไปเสียแล้ว การป้องกันเล่า? การระวังภัยเล่า? หากถูกเขาเฉือนสมองขึ้นมาก็คงยังไม่รู้ตัว
โชคดีที่เขาไม่ได้ทำอะไร นับว่าเป็คนที่มีความยุติธรรมอยู่บ้าง?
จากประสบการณ์ในอดีต นางไม่คิดว่าเขาจะเป็คนดี เขาเป็คนที่ชอบฉวยโอกาส เป็จิ้งจอกเฒ่าเ้าเล่ห์ผู้น่ารังเกียจ
มู่หรงฉือลุกขึ้น ถือเสื้อคลุมของเขาเดินไป “นี่ยามใดแล้ว?”
มู่หรงอวี้หันมา รับเสื้อคลุมจากมือของนาง “คงจะเป็ยามเฉิน[1]พอดี”
“กลับเข้าเมืองเถิด”
นางยังคิดไม่ตก เหตุใดเขาถึงจะต้องมานอนที่นี่? เมื่อคืนเขาเองก็ไม่ได้ทำอะไรนาง หรือนางจะนอนหลับลึกเกินไป?
นางถามออกไป “เมื่อคืนเปิ่นกงไม่ได้ละเมอพูดอะไรออกมาใช่หรือไม่?”
เขามองนางเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “เตี้ยนเซี่ยคงกังวลมากเกินไป พูดละเมอออกมาไม่น้อยเลย”
“หา? จริงหรือ?” นางใเล็กน้อย แอบคิดในใจว่าที่เขาพูดมานั้นเป็ความจริงหรือเท็จ “เปิ่นกงพูดอะไรออกไปบ้าง?”
“อยากรู้หรือ?” เขาชี้ไปที่ข้างแก้มของตัวเอง ดวงตาสีดำฉายแววร้ายกาจ “หอมหนึ่งที เปิ่นหวางจะบอกหนึ่งประโยค”
มู่หรงฉือเขินจัด โกรธจนหน้าแดง ถลึงตาใส่เขาก่อนจะสาวเท้าเดินออกไป
บุรุษคนนี้นับวันยิ่งจะมากเกินไปแล้ว นับวันยิ่งร้ายกาจ ทั้งเย้าแหย่ เอาเปรียบ บังคับจูบ ทำเสียหมดทุกอย่าง ทำราวกับว่านางเป็สตรีไปแล้วจริงๆ?
เช่นนั้น เขาก็มองออกแล้วว่านางเป็สตรีที่แต่งตัวเป็บุรุษ เพียงแค่ไม่ได้พูดออกมา?
ครั้นคิดได้เช่นนี้ นางก็เหงื่อแตกพลั่ก
เขาจะเปิดเผยความลับของนางใน่เวลาสำคัญสัก่หรือ?
นางไม่เข้าใจจริงๆ ทั้งยังเดาความคิดของเขาไม่ออก
มู่หรงอวี้รีบสาวเท้าเดินไปหลายก้าวก่อนจะเดินเคียงบ่ากับนาง แล้วพูดออกมาด้วยท่าทางสบายๆ “เตี้ยนเซี่ย หากไม่อยากให้คนอื่นรู้ในสิ่งที่ตัวเองทำ มีเพียงต้องไม่ลงมือทำ”
“หมายความว่าอย่างไร?” มู่หรงฉือใ คำพูดนี้แฝงความหมายอื่น
“เปิ่นหวางเตือนอีกสักคำ คนในโลกนี้หาได้โง่เขลา อย่าคิดว่าทุกคนล้วนเป็คนโง่” แสงแดดส่องผ่านช่องเล็กๆ ลงมากระทบบนใบหน้าหล่อเหลาที่บัดนี้มีรอยยิ้มเ็าชั่วร้าย
พูดจบเขาก็เดินนำขึ้นไปด้านหน้า
นางขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด ที่เขาพูดมาก็คือเื่ที่นางแต่งเป็บุรุษหลอกลวงราชสำนักและขุนนางหรือ?
เขามองออกแล้วจริงๆ ด้วย!
นางลอบกัดฟัน จะทำอย่างไรดี? ต่อไปเขาจะเอาเื่นี้มาข่มขู่นางให้ทำเื่ไม่ดีหรือไม่?
เสียงท้องร้องขึ้นมา นางมองไปรอบๆ เห็นต้นไม้ที่ออกผลเต็มต้นอยู่ไม่ไกล เพียงแต่ในเวลานี้ยังไม่ถึงเวลาเก็บเกี่ยว ผลไม้ป่าที่ไม่รู้ชื่อนั้นกลับมีผลสุกแล้ว แต่นางกลับไม่กล้าทาน
มู่หรงอวี้เดินไปยังต้นไม้ต้นนั้น แล้วะโขึ้นไปบนกิ่งไม้หนาๆ เด็ดผลไม้ลงมาหลายลูกก่อนจะะโลงมา
มู่หรงฉือรับผลไม้ป่าสีแดงเหมือนผลผิงกั่ว[2]มาสองลูก “นี่คือผลอะไรหรือ?”
“เปิ่นหวางเองก็ไม่รู้” เขากัดเข้าไปคำใหญ่เสียงดังกร๊อบ
“จะมีพิษหรือไม่?” นางมองผลไม้ป่าอย่างละเอียด ไม่กล้ากัดลงไป
“หากเปิ่นหวางตายเพราะพิษ ก็อย่าลืมเอาศพเปิ่นหวางกลับไปด้วย” เขานั่งลงบนก้อนหินหน้าเรียบ กัดลงไปไม่กี่คำก็หมดไปหนึ่งลูก
ครั้นเห็นเขาไม่เป็อะไร นางถึงได้กัดลงไปอย่างวางใจก่อนจะนั่งลงข้างเขา
เขากระเซ้า “เตี้ยนเซี่ย แม้แต่ผลไม้ป่าเ้ายังไม่กล้าทาน หากไปอยู่ในป่าสักหลายวัน เ้าจะไม่หิวตายหรือ?”
มู่หรงฉือตอบ “ยังมีของอย่างอื่นที่สามารถทานได้นี่ อย่างเช่นปลาในน้ำ เปิ่นกงยังสามารถจับสัตว์ป่ามาทานได้”
มู่หรงอวี้ยอมแพ้ “ระวังเอาไว้ก็ไม่ใช่เื่ไม่ดีอะไร”
หลังจากที่ทานผลไม้ป่าหมดไปสองลูกนางก็เรอออกมา ตอนที่กำลังคิดอะไรขึ้นมาได้ จู่ๆ ข้อเท้าของนางก็เจ็บแปลบ
นางร้องเสียงแหลม เห็นงูตัวหนึ่งเลื้อยไวๆ เข้าไปในพงหญ้า
เขารีบเข้ามาดูทันทีด้วยสีหน้าเป็กังวล “อาจจะเป็งูพิษ เตี้ยนเซี่ยอย่าขยับ”
พูดไปเขาก็เอาขาซ้ายของนางไปวางไว้บนหิน ก่อนจะถอดรองเท้าสีดำกับถุงเท้าสีขาวของนางออก ตรงข้อเท้าขาวผ่องมีรอยแผลถูกงูกัด
“มีพิษหรือไม่?”
มู่หรงฉือขมวดคิ้วไม่กล้าขยับตัว กังวลว่าพิษงูจะแพร่กระจายไปส่วนอื่น
มู่หรงอวี้ก้มหน้าลงทันทีแล้วดูดเข้าตรงแผลที่ถูกงูกัด ดูดพิษออกมาแล้วพ่นออก ทำอยู่สามครั้งถึงจะหยุด
นางมองเขาอย่างตกตะลึง เขาจะทำถึงเพียงนี้ไปเพื่ออะไร? เขาให้ความสำคัญกับความเป็ความตายของนางถึงเพียงนี้เชียวหรือ? นางตายไปแล้วก็เป็ไปดั่งใจเขาแล้วไม่ใช่หรือ?
จะคิดอย่างไรนางก็ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ท่านช่วยเปิ่นกงดูดพิษงูจะถูกพิษงูไปด้วยหรือไม่?”
“ไม่หรอก” เขาจ้องนางนิ่งด้วยดวงตาเป็ประกาย “หากถูกพิษงูเปิ่นหวางก็ยอม”
นางไม่รู้ว่าเป็เพราะแสงอาทิตย์ร้อนจัดจนทำให้เวียนหัว หรือเป็เพราะสายตาของเขาที่ทำให้นางรู้สึกร้อนรุ่ม แก้มแดง ใบหน้าขาวขึ้นสีก่ำจนเหมือนดอกกุหลาบ
เขาหมุนตัวไปแล้วย่อเขาลง “ขึ้นมา”
มู่หรงฉือตกตะลึง เขาจะแบกนางหรือ? ต้องทำถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ความจริงแล้วนางสามารถเดินด้วยตัวเองได้ เพียงแต่อาจจะช้าอยู่สักหน่อย
“หรือว่าเตี้ยนเซี่ยชอบให้เปิ่นหวางอุ้มกลับไป?”
มู่หรงอวี้หมุนตัวกลับมาแล้วแสดงท่าทางร้ายกาจเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มนั้น
นางถลึงตาใส่เขาอย่างทั้งเขินอายทั้งโกรธ สุดท้ายก็ปีนขึ้นหลังเขา
เขาเดินไปข้างหน้าทีละก้าว แต่ละก้าวมั่นคงหนักแน่น แบกนางเดินไปภายใต้แสงอาทิตย์อย่างอดทนโดยไม่รำคาญนางแม้แต่น้อย
นางพาดอยู่บนหลังของเขา รู้สึกว่าแผ่นหลังของเขาแข็งแรงดั่งูเา เกิดเป็ความคิดมากมายอยู่ในหัว
ก่อนหน้านี้ไม่นาน นางยังวางแผนตัดหัวเขาอยู่เลย วันทั้งวันนางเอาแต่คิดถึงความแค้นที่มีต่อเขา นางจดจำได้ตลอดเวลาว่าระหว่างเขากับนางเป็ได้แค่ศัตรู เป็คู่ปรับ ไม่เ้าตายก็ข้าม้วย ไม่ได้มีความคิดระหว่างชายหญิงเลย…แต่ตอนนี้ พวกเขากลับพึ่งพาซึ่งกันและกันในป่าที่ไร้ผู้คน
น่าขันใช่หรือไม่?
เหตุใดเขาถึงได้ดีกับนางถึงเพียงนี้?
ทันใดนั้นความกังวล ความเหนื่อยล้าอันเป็ความเหนื่อยล้าจากจิตใจและิญญาพลันพวยพุ่งขึ้น
ราวกับว่ามีบ่าที่หนาและแข็งแกร่งให้นางได้พึ่งพิงไปตลอดกาล ราวกับมีอ้อมกอดที่เงียบสงบและปลอดภัยให้นางได้ทิ้งตัวลงนอน ราวกับมีบุรุษผู้หนึ่งที่คอยปกป้องดูแลนาง เอาอกเอาใจนางอย่างไม่มีแผนการซ่อนเร้น นางจะยินดีที่จะจมลงไปในความรักนี้ กระทั่งยอมโยนทุกอย่างทิ้งแล้วติดตามเขาไปทุกที่
ทว่า ก็เป็เพียงแค่ความคิดเท่านั้น
ในเมื่อความลับของนางถูกเปิดเผยแล้ว นางก็คงจะถูกขังอยู่ในกรงทองอันวิจิตรหรูหรา กลายเป็นกในกรงทองที่ถูกคนเลี้ยงดู
มู่หรงฉือโยนความความคิดอันสวยงามฟุ้งซ่านเ่าั้ออกไป ริมฝีปากยกยิ้มขมขื่น
เพียงแต่ บุรุษที่แบกนางตรงหน้านี้ ความรับผิดชอบของเขา ความกล้าหาญของเขา บ่าของเขา กลับทำให้นางนางค่อยๆ…หลงใหลขึ้นทุกขณะ...
ไม่!
เป็เพียงแค่ความคิดชั่ววูบก็เท่านั้น!
นางไม่อาจให้บุรุษใดทำให้นางเกิดความรู้สึกหลงใหลอย่างชั่วแล่นได้เช่นนี้!
ยิ่งเป็มู่หรงอวี้ยิ่งไม่ได้!
ในเวลาชั่ววินาทีนั้น ดวงตาของนางก็สดใสขึ้น
“ท่านอ๋องเหนื่อยแล้วใช่หรือไม่ เปิ่นกงลงไปเดินเองดีกว่า”
“เตี้ยนเซี่ย หากเ้ายินดี เปิ่นหวางยินดีที่จะแบกเ้าฝ่าฟันไปด้วยกัน ไม่ทิ้งเ้าไปไหน” น้ำเสียงของมู่หรงอวี้หนักแน่น มุ่งมั่นอย่างน่าประหลาด “ไม่ว่าเ้าจะเป็ขอทานริมถนนหรือว่าเป็คนร่ำรวยในตำหนัก ไม่ว่าจะเป็คนที่มีโรคร้ายเนื้อตัวเต็มไปด้วยเื ไม่ว่าเ้ากับข้าจะหันดาบห้ำหั่นใส่กันหรือจะเกลียดชังกัน เปิ่นหวางก็ยินดีที่จะอยู่มองโลกที่แสนวุ่นวายและเต็มไปด้วยความแค้นนี้ไปกับเตี้ยนเซี่ย ในยามแก่ชราก็ยังสามารถกุมมือของเ้า กอดเ้า ฟังเสียงแม่น้ำ มองพระอาทิตย์ขึ้นและตก มองก้อนเมฆบนท้องฟ้าไปด้วยกัน”
คำพูดนี้แฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่ทำให้คนไม่เข้าใจ ใช่ เป็ความรู้สึกระหว่างบุรุษกับสตรี
มู่หรงฉือใจนร่างแข็งทื่อ หัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกมา
บุรุษคนนี้กำลังเปิดเผยความรู้สึกของตนกับสตรีที่พึงใจ
เขามองออกแล้วว่านางคือสตรี!
เขากำลัง…สารภาพรักกับนาง?
ไม่! ไม่มีทางเป็ไปได้!
อวี้หวางในรัชกาลนี้เป็คนเ็าดุร้าย เฉลียวฉลาดมากแผนการ ความทะเยอทะยานมากมาย จะมาพูดวาจาอ่อนโยนกับนางได้อย่างไร?
จะต้องเป็แผนของเขาแน่นอน!
คิดถึงตรงนี้ นางพลันสงบใจแต่กลับได้ยินเขาเรียกนางสองที
“อืม? ทำไมหรือ? เปิ่นกงเหมือนจะหลับไป” มู่หรงฉือพูดเสียงงัวเงีย ทำท่าทางเหมือนเพิ่งตื่น
“ไม่มีอะไร” มู่หรงอวี้ตอบเสียงเรียบแต่ยากจะปิดบังความเย้ยหยันที่มีต่อตนเอง
เดินไปได้หนึ่งลี้ ในที่สุดก็เจอกับคนของเขา
ฉินรั่วตามบุรุษชุดดำสองคนมาที่นี่ เห็นอวี้หวางแบกเตี้ยนเซี่ยก็ใเบิกตากว้าง นี่มันเื่บ้าบออะไรกัน?
มู่หรงอวี้วางมู่หรงฉือลง แล้วพูดข้างหูนางเสียงเบา “ความจริงแล้วงูที่กัดเ้าเมื่อครู่ไม่มีพิษ”
เชิงอรรถ
[1] ยามเฉินคือ่เวลา 7:00 น.-9:00 น.
[2] ผิงกั่วคือแอปเปิ้ล
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้