คนที่คอยสังเกตสถานการณ์ของซูอินเหมือนกับอวี๋ฉิงนั้นมีอีกมากมาย
เมื่อรู้ว่าเธอฟื้นแล้ว ก็มีหลายคนพากันมาเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาล
สองสามีภรรยาตระกูลอวี๋ หลินเฉวียน หลิวชิ่งกั๋ว และอวี๋อ้ายหงที่ไม่ได้เจอกันนาน นอกจากคนเหล่านี้แล้วก็มีครูที่ปรึกษาอย่างหลินซิ่วและเพื่อนร่วมชั้นอีกจำนวนไม่น้อย ญาติพี่น้องของเธอหลายคนก็มาด้วย
คุณลุงที่เป็ญาติฝั่งแม่ และคุณลุงญาติฝั่งพ่อมาเยี่ยมถือเป็เื่ปกติ แต่สิ่งที่ทำให้ซูอินใคือญาติคนอื่นๆ
คนในหมู่บ้านตงผิงเกือบครึ่งที่ใช้แซ่ซู ถึงแม้ความสัมพันธ์จะมีทั้งสนิทและไม่สนิท แต่ก็ถือว่ามีความสัมพันธ์ทางสายเื ซูอินเพิ่งกลับไปอยู่บ้านไม่นาน อาจจะคุ้นหน้าคุ้นตาคนเหล่านี้อยู่บ้าง แต่ใครเป็ใครเธอเองก็ยังสับสน แต่คิดไม่ถึงว่า พวกเขาจะโดยสารรถของคุณอาซูลิ่วเข้าเมืองมาเพื่อเยี่ยมเธอ
ซูอินไม่รู้เลยว่า ไม่ว่าจะเป็มารยาทหรือท่าทีรวมถึงในภายหลังที่เธอสอบได้คะแนนสูงเป็อันดับหนึ่งของเมือง ล้วนแต่ทำให้ญาติพี่น้องในตระกูลซูได้หน้า นอกจากไม่กี่คนที่ทำตัวไม่น่าจดจำ ก็มีจำนวนไม่น้อยที่สร้างความประทับใจต่อซูอิน เมื่อรู้ว่าเกิดเื่ขึ้นกับเธอก็รีบแห่กันมาเยี่ยม
ห้องพักผู้ป่วยของทหารผ่านศึกที่มีห้องรับแขกเล็กๆ กลายเป็ห้องรับแขกชั่วคราวสำหรับผู้เดินทางมาเยี่ยมเธอทุกวันั้แ่เช้าจดค่ำ
ประเพณีของประเทศจีน การเยี่ยมคนป่วยจะมามือเปล่าไม่ได้ ถึงแม้ซูอินจะปฏิเสธหลายครั้ง แต่ในห้องรับแขกก็เต็มไปด้วยตะกร้าผลไม้และผลิตภัณฑ์บำรุงร่างกาย รวมถึงอั่งเปาที่ญาติพี่น้องจากในหมู่บ้านมอบให้เธอ ปริมาณไม่เยอะมากนัก แต่สิ่งสำคัญคือน้ำใจที่มอบให้
เมื่อชาติก่อนซูอินถูกเหล่าญาติพี่น้องรังเกียจ และไม่มีเพื่อนสนิทที่รู้ใจ กลับชาติมาเกิดใหม่ครั้งนี้ แม้ว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไป แต่เธอก็ยังคงขาดความมั่นใจในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้คน คิดไม่ถึงว่าป่วยครั้งนี้จะมีคนมากมายมาไถ่ถามทุกข์สุขของเธอ
ความรู้สึกนั้นทำให้เธอรับรู้ได้ถึงการเป็ที่รัก
ซูอินรู้สึกอบอุ่นในใจ ผลสืบเนื่องจากการพัฒนาของน้ำพุแห่งจิติญญายังคงอยู่ เธอรู้สึกได้ยินเสียง “หึ่ง” อยู่ในศีรษะ แต่ก็ยังพยายามเรียกสติลุกขึ้นมาทักทายแขกที่มาเยี่ยม
ไม่ว่าจะเป็ท่าทีและความสุภาพของเธอ ล้วนทำให้ผู้คนในหมู่บ้านตงผิงประทับใจ และไม่อยู่รบกวนเธอนาน
“เด็กคนนี้ ดูสิยังป่วยอยู่เลย ดูหน้าขาวๆ นี่สิ ไม่ต้องออกมาทักทายพวกเราหรอก ที่นายังมีงานต้องทำ พวกเรากลับก่อนนะ”
ซูอินลูบแก้มของตนเอง ผิวของเธอเหมือนกับผิวของเมิ่งเถียนเฟิน ขาวธรรมชาติ อีกทั้งเวลาตากแดดก็ไม่หมองคล้ำ
อย่างไรก็ตามเธอเข้าใจน้ำใจในส่วนนั้นของคนชนบท ถึงแม้ผู้คนเหล่านี้จะดูไม่มีความรู้ ไม่มีเงินทองมากมาย แต่นิสัยโดยพื้นฐานเป็คนซื่อ ถ้าคุณปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความจริงใจ พวกเขาก็จะปฏิบัติต่อคุณกลับด้วยความจริงใจเช่นกัน
หลังจากผู้คนมากมายที่มาเยี่ยมกลับไป ซูอินก็ได้ไอเดียสร้างความบันเทิงโดยสอนเ้าตัวน้อยนับเลข
หากจะพูดให้ถูก มันคือการนับซองอั่งเปามากกว่า
อั่งเปากองโตวางอยู่บนโต๊ะดื่มน้ำชา ซูอินค่อยๆ หยิบอั่งเปาขึ้นมา ทุกครั้งที่หยิบเธอจะนับ “หนึ่ง สอง สาม…”
เด็กชายตัวน้อยท่องตาม
มีซองอั่งเปาเป็สื่อกลางเชื่อมถึงกัน ทำให้สองพี่น้องมีเกมใหม่มาเล่นด้วยกันอย่างมีความสุข เมิ่งเถียนเฟินที่อยู่เฝ้าสองพี่น้องเห็นภาพนี้ ความรู้สึกตึงเครียดในใจหลายวันก็คลายลง แววตาของเธอกลับมามีความสุขอีกครั้ง
สองพี่น้องรักษาตัวอยู่ในห้องพักผู้ป่วยของทหารผ่านศึกที่หรูหราอย่างมีความสุข
ที่คฤหาสน์ตระกูลหลิงซึ่งไม่ไกลออกไปนัก แต่บรรยากาศกลับแตกต่างอย่างชัดเจน
ความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่หลิงจื้อเฉิงมีมาหลายปีไม่ใช่เื่ธรรมดา ทันทีที่หลิงเมิ่งถูกจับ อู๋อู๋ที่เพิ่งเลิกงานกลับมาถึงคฤหาสน์ก็ได้รับโทรศัพท์จากสถานีตำรวจ เธอพึ่งพาเพื่อนเพื่ออำนวยความสะดวก ทำให้ได้พบหลิงเมิ่งที่ถูกคุมขัง และได้ขอให้หลิงเมิ่งเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง
“พวกเขากล้าทำร้ายคุณแม่ หนูเป็ลูกสาวของคุณแม่ และคุณแม่ก็ดีกับหนู หนูจะทนมองคุณแม่ถูกรังแกได้ยังไงคะ”
หลิงเมิ่งที่ “ร่ำไห้ด้วยความทุกข์ใจ” ทำให้ความขุ่นเคืองที่อู๋อู๋รู้สึกอยู่เปลี่ยนแปลงความรักของผู้เป็มารดา เธอลางานที่โรงพยาบาล และทุ่มเทสุดหัวใจเพื่อวิ่งเต้นเื่นี้อย่างกระตือรือร้น
หลายวันหลังจากนั้น ไม่เพียงสิ่งๆ ต่างจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลง เื่ราวในครั้งนี้ก็กลายเป็เื่ใหญ่มาก
เมื่อครู่เธอก็เพิ่งพยายามเกลี้ยกล่อมบิดามารดาของต้าหู่ที่โทรศัพท์มาให้ยอมตกลงรับผิดชอบ พวกเขาบอกว่ามันกลายเป็เื่ใหญ่แล้ว บุตรชายของพวกเขาไม่มีปัญญารับผิดชอบ
อู๋อู๋วางสายไปทันที
หลิงจื้อเฉิงเพิ่งกลับจากการทำงานต่างเมือง เขาก้าวเข้ามาในคฤหาสน์ก็ได้เห็นภาพบรรยากาศนี้
เขาต้องได้คุณสมบัติโรงแรมห้าดาวให้ได้ ในเมื่อซูอินไม่ให้ความช่วยเหลือ หลิงจื้อเฉิงก็ไม่ยอมแขวนคอตายอยู่กับต้นไม้ของเธอเพียงต้นเดียว เขาจึงเดินทางไปทำงานในมณฑลราวๆ สิบวัน หลังจากที่จ่ายเงินไปมากมายเพื่อใช้วิธีต่างๆ ในที่สุดเขาก็ตามหาข้าราชการชั้นสูงแซ่เฉาท่านหนึ่งได้
นี่คือการฝ่าฟันอุปสรรค หลิงจื้อเฉิงใช้เวลาสองเดือนเพื่อกวาดล้างหมอกควันที่ปกคลุมอยู่ และกลับสู่การถือครองธุรกิจอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เรียกคืนความมั่นใจของนักธุรกิจวัยกลางคนอีกครั้ง
ท่าทีโมโหเล็กน้อยของอู๋อู๋นี้ เขาจึงไม่ใส่ใจนัก และถามกลับอย่างอารมณ์ดี
“นี่…ใครยั่วให้เธอโกรธอีกล่ะ”
สายตาของอู๋อู๋มองหลิงจื้อเฉิงด้วยความคาดหวัง ราวกับเห็นฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยเธอได้ “จื้อเฉิง ครั้งนี้คุณต้องช่วยเมิ่งเมิ่งนะ”
ในใจของหลิงจื้อเฉิงกระตุกวูบ
เกิดเื่ขนาดนี้ หากพยายามปิดบังต่อไปคงเป็เื่ใหญ่แน่ อู๋อู๋จึงเล่าเื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นั้แ่เื่ที่โรงเรียนมัธยมลำดับที่หนึ่ง
“ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำให้เื่ที่ออกสื่อเงียบลง แต่จู่ๆ ไม่รู้มีข่าวแพร่มาจากไหนว่าเมิ่งเมิ่งของเราเป็ทายาทมหาเศรษฐี ทำให้เื่นี้กระพือขึ้นมาอีกครั้ง และเพื่อนของคุณที่สถานีตำรวจก็ไม่กล้าเข้ามาแทรกแซง”
“เมิ่งเมิ่งทำไปก็เพราะฉัน จื้อเฉิง พวกเรามีลูกสาวคนเดียว คุณต้องช่วยเธอนะ”
เมื่อลางสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้นจริง หลิงจื้อเฉิงจึงไม่รู้ควรพูดอย่างไรดี
แน่นอนว่าเขามีวิธีช่วยหลิงเมิ่ง
เื่นี้ค่อนข้างใหญ่ เ้าหน้าที่ในเมืองจึงไม่กล้าเข้ามาก้าวก่าย แต่หากเป็คนในมณฑลสามารถทำได้ โชคดีที่เขาเพิ่งได้รู้จักกับข้าราชการแซ่เฉาที่อยู่ในมณฑลพอดี
ตระกูลเฉาไม่ใช่ตระกูลธรรมดา หากใช้คำพูดโบราณมาบรรยายก็คงเป็คนที่พระจักรพรรดิยังทรงรับฟัง ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาเพื่อให้ร่มเงาเช่นนี้ เื่เล็กน้อยแค่นี้ไม่จำเป็ต้องลงมือด้วยซ้ำ แค่ออกคำสั่งก็พอ
แต่ตระกูลแบบนี้ ถือเป็ความลำบากนับร้อยนับพันมากหาก้าจะให้พวกเขาเอ่ยปากช่วย
ไม่ง่ายเลยที่หลิงจื้อเฉิงจะได้รับโอกาสเช่นนี้ เขากำลังหาโอกาสทำให้งานก้าวหน้าไปอีกขั้น วันนี้โอกาสมาถึงแล้ว แต่หลิงเมิ่งกลับก่อปัญหาวุ่นวาย
จะเลือกธุรกิจหรือเืเนื้อเชื้อไข
สำหรับชายที่มีใจรักมั่นในธุรกิจอย่างเขา รู้สึกตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หลิงจื้อเฉิงครุ่นคิดอย่างคล่องแคล่ว เขาทิ้งตัวเลือกทั้งสองอย่างก่อนหน้านี้ และคิดหาทางแก้ไขวิธีที่สาม
“ที่ผมฟังคุณพูดเมื่อกี้ ั้แ่ที่เกิดเื่ คุณยังไม่ได้ไปเยี่ยมอินอินที่โรงพยาบาลเลยใช่ไหม”
อู๋อู๋ชะงัก แต่เธอก็มีปฏิกิริยาตอบรับอย่างรวดเร็ว
“ไปเยี่ยมหรือคะ เื่ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเด็กคนนั้น หากไม่ใช่เพราะเธอ เมิ่งเมิ่งก็คงได้เข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมลำดับที่หนึ่งอย่างราบรื่น และคงไม่เกิดเื่วุ่นวายตามมาภายหลังแบบนี้”
หลิงจื้อเฉิง : …
“ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมคุณต้องทำแบบนี้กับอินอิน เอาละ ผมจะยังไม่พูดถึงเื่นี้ อย่างไรเมิ่งเมิ่งก็พาคนไปทำร้ายอินอิน เื่นี้เกี่ยวข้องกับอินอิน หากอินอินเต็มใจให้อภัยเมิ่งเมิ่ง จากเื่ใหญ่อาจกลายเป็เื่เล็ก ผมจะขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า คุณก็เตรียมตัว พวกเราจะไปเยี่ยมอินอินที่โรงพยาบาล”
เอ่ยจบเขาขึ้นไปชั้นบน มองอู๋อู๋ที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เขาได้แต่ลอบถอนหายใจและกำชับป้าสวี่ที่อยู่ในห้องครัว “เตรียมอาหารบำรุงร่างกายสำหรับคนป่วยให้ที จริงสิ ท้ายรถของผมมีรังนกที่นำมาจากในเมือง หยิบออกมาหนึ่งชิ้น จะได้เอาไปที่โรงพยาบาลด้วย”
ป้าสวี่รับคำอย่างกระตือรือร้น
บนโซฟา อู๋อู๋ได้แต่กระทืบเท้าด้วยความหงุดหงิด