ที่แท้คนดีก็ไม่มาแต่คนมาดันไม่ดีซะอย่างนั้น แล้วเ้ากุ่ยกู่จือนั่นก็พุ่งมาที่ผม
ที่จริงก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องหลบหลีก ผมเดินเหยียบพุ่มไม้หนามออกมาจากป่าโดยมีเสียงดังสวบตามมาก่อนจะจ้องมองไปที่กุ่ยกู่จืออย่างเ็าพร้อมกับหัวเราะเหี้ยมเกรียมออกมา “นี่พี่ชาย มีอะไรเหรอ?”
“ถุย! ใครเป็พี่ชายแก?”
กุ่ยกู่จือมองผมด้วยสายตาที่หยิ่งผยองและพูดเสียงเย็นขึ้นมา “จุ๊ๆ แค่เลเวล 14 กล้าดียังไงมาเก็บเลเวลที่นี่ คิดว่าตัวเองเก่งนักงั้นเหรอ!”
ผมโบกมือน้อยๆ พร้อมยกยิ้มขึ้นมา “ธรรมดาน่าๆ”
“อันดับสามของเมืองฝูปิงเหรอ?” กุ่ยกู่จือยิ้มเยาะ
แล้วผมก็ถือโอกาสพูดขึ้นมาทันที “อย่างที่แกว่านั่นแหละ แต่ฉันไม่ได้พอใจอยู่แค่อันดับสามกระจอกๆ นี่หรอกนะ”
“อวดเก่งนักนะ!”
กุ่ยกู่จือยกหอกยาวขึ้นแล้วพูดกับผมอย่างโมโห “ป้อมศีตเหมันต์จะต้องมีผู้เล่นเผ่าิญญาเพียงคนเดียวเท่านั้น มาเถอะ พวกเรามาสู้กันให้รู้แพ้ชนะ คนที่แพ้ต้องออกจากป้อมศีตเหมันต์ไป”
ผมส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นมา “เวลามีค่า ฉันไม่อยากเสียเวลามา PK กับแกหรอก”
“แกว่าอะไรนะ?”
กุ่ยกู่จือโมโหถึงขีดสุดก่อนเขาจะพูดขึ้นมา “นี่คือท่าทางของคนที่แข็งแกร่งเหรอ? ดูเหมือนว่าแกจะเป็แค่พวกไก่อ่อนนี่หว่า แม้แต่ความกล้าจะต่อสู้ยังไม่มีเลย!”
คิ้วผมกระตุกขึ้นทันทีก่อนจะพูดออกไปอย่างเ็า “งั้นเหรอ? งั้นก็มาเลย เดี๋ยวฉันจะจัดการแกภายในหนึ่งนาทีให้ดู!”
“ฮ่าๆ โม้มากไม่ดี ล้มมาเดี๋ยวจะเสียใจทีหลังนะ”
กุ่ยกู่จือหัวเราะร่า เขายกหอกขึ้นแล้วพุ่งมาหาผมทันที บนปลายหอกมีแสงสีแดงเปล่งแสงออกมา มันคือทักษะขั้นต้นของนักรบเวท— หนามเพลิง
“ฟิ้วๆ...”
ใบหญ้าโปรยปลิว ทันใดนั้นผมก็หมุนสองเท้าของผมเป็วงกลมอย่างรวดเร็วจนทำให้หนามเพลิงของกุ่ยกู่จือในครั้งนี้ก็พลาดเป้าไป การพลาดเป้าอย่างสวยงามในครั้งนี้ทำให้เขาปากอ้าตาค้างไปเลยทีเดียว!
“บัดซบ...” กุ่ยกู่จือด่าขึ้น “ใช้วิธีหลบในชั่วพริบตา? นี่...นี่เป็ไปได้อย่างไร?”
ผมไม่ได้เอ่ยปากตอบอะไร แต่ดาบขจีไพรที่มาพร้อมแสงรัศมีอ่อนๆ กำลังพุ่งออกไปอย่างหนักหน่วงราวกับูเาไท่ซาน—
“ดาบสังหาร!”
เสียง “ปัง” ดังขึ้นมาแล้วกุ่ยกู่จือก็ถอยออกไปอย่างต่อเนื่องพร้อมกับเืที่ลดลงไปกองใหญ่
“184!”
ยังโชคดีที่เขามีอาชีพเป็นักรบซึ่งมีข้อได้เปรียบเื่ปริมาณเืไม่อย่างนั้นการโจมตีครั้งนี้คงเกือบเอาชีวิตเขาได้แล้ว
“ยังไงฉันก็ไม่เชื่อหรอก!”
กุ่ยกู่จือเป็คนหัวรั้นอย่างเห็นได้ชัด เขายกหอกขึ้นอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เขาใช้การโจมตีซึ่งหน้าโดยใช้หอกยาวพุ่งแหวกอากาศมาจนยากจะหลบหลีก!
ผมมีความล่าช้าในการเคลื่อนที่อยู่ 0.7 วินาที ส่วนทักษะต่อสู้พื้นฐานของฝ่ายตรงข้ามไม่จำเป็ต้องใช้เวลาในการเรียกใช้ทักษะดังนั้นผมจึงไม่มีทางหลบเลี่ยงได้และทำได้เพียงยืนรับการโจมตีครั้งนี้อย่างเดียว
แน่นอน ผมไม่ใช่คนที่โดนใครทำร้ายแล้วไม่รู้จักสวนกลับหรอกนะ ตอนที่ฝ่ายตรงข้ามออกอาวุธมาผมก็ทะยานตัวเข้าใส่ สู้ตาย!
“95!”
“179!”
เกิดการแลกอาวุธกันระหว่างสองฝ่าย กุ่ยกู่จือเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัดเพราะพลังการป้องกันของเขาเทียบกับของผมไม่ได้เลยสักนิด เกราะตัวนั้นเหมือนจะเป็อาวุธสีขาวที่ไม่มีคุณสมบัติใดๆ พลังการป้องกันอย่างมากก็ประมาณ 7 หน่วยเท่านั้น
“เฮือก...” กุ่ยกู่จือสูดลมเย็นเข้าออกไม่หยุดแล้วมองดูเืของตัวเองที่เหลือไม่ถึง 10 หน่วยก่อนจะมองมาที่ผมด้วยความไม่อยากจะเชื่อสายตา “นี่...นี่เป็ไปได้อย่างไร?”
ผมยิ้มเยือกเย็นแล้วปิดโอกาสเขาทันที
“แกสามารถอาศัยอยู่ในป้อมศีตเหมันต์ต่อไปได้ พื้นที่ที่นี่กว้างใหญ่มากพอให้ทั้งสองคนเก็บเลเวล แต่อย่าได้คิดมาระรานฉันอีก ไม่อย่างนั้นถ้าแกมาอีกฉันก็จะฆ่าอีก!”
ทันใดนั้นดาบขจีไพรก็ขยับวูบก่อนที่ดาบจะตรงดิ่งไปยังต้นคอของกุ่ยกู่จือ ั์ตาเขาเบิกกว้างขึ้นแล้วตัวค่อยๆ ล้มลง จากนั้นิญญาของเขาก็หลุดออกจากร่าง
ผมยื่นมือออกไปเก็บน้ำยา 2 ขวดที่ดรอปออกมาแล้วมองดูศพของกุ่ยกู่จือด้วยจิตใจที่สงบนิ่ง คนเรามักต้องชดใช้คำพูดและการกระทำที่ตนทำไว้ นี่คือบทเรียนที่กุ่ยกู่จือได้รับเพราะความโอหังและถือดีในอดีตของเขา
......
เก็บเลเวลต่อ แค่ฆ่าแล้วก็เก็บนิ้วมือชิ้นที่ 20 ของโครงกระดูกมาผมก็จะสามารถส่งมอบภารกิจได้แล้ว!
แต่ขณะกำลังจะเดินไปอย่างสบายใจ ศพของกุ่ยกู่จือก็ยืนขึ้นมาอีกครั้ง ิญญาของเขาฟื้นคืนชีพแล้ว แต่เขากลับตกลงไปที่เลเวล 17
กุ่ยกู่จือมองผมด้วยสายตาเ็าและสีหน้าที่ไม่ยอมแพ้ก่อนจะพูดขึ้น “ครั้งหน้าเถอะ ฉันจะชนะแกให้ได้!”
ผมพยักหน้าแล้วยิ้มตอบ “ยินดีรับคำท้า เออใช่ ที่จริงฉันพักอยู่ที่ B1 ในเขต 1 เยื้องไปทางซ้ายของสุสานนอกป้อมศีตเหมันต์ มีเวลาก็มาเยี่ยมได้นะ!”
กุ่ยกู่จือใ “ฉันอยู่ที่ B2…”
โอ๊ะ เพื่อนบ้านนี่นา
ผมอดยิ้มไม่ได้ “วันหลังมาประลองฝีมือกันได้!”
“อืม!”
กุ่ยกู่จือพยักหน้า แล้วผมก็มองออกว่าถึงนิสัยจะโอหังและอวดดีแต่ที่เขาเป็แบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีสาเหตุ ความจริงเขาเป็คนมีความสามารถเลยละ อย่างน้อยเขาก็สามารถเก็บเลเวลมาได้จนถึงขนาดนี้แล้ว ความอดทนและความกล้าหาญของเ้านี่ก็คู่ควรจะอยู่ใน 3 อันดับแรกของชาร์ตเมืองฝูปิงจริงๆ นั่นแหละ!
ความจริงในแต่ละเกมมักจะมีพวกเก็บเลเวลอย่างดุเดือดแบบนี้อยู่ ส่วนตัวผมที่แฝงตัวอยู่ในเกมมานานหลายปีก็เห็นจนเป็เื่ปกติแล้ว
ผมกลับสู่ป้อมศีตเหมันต์แล้วเข้าพบหัวหน้าทหารยามฝ่าเค่อเพื่อส่งมอบนิ้วมือของโครงกระดูกเขียวทั้งหมด 20 ชิ้น หมอนั่นรีบตบบ่าผมแล้วหัวเราะดังลั่น “ฮ่าๆๆ ช่างเป็ที่น่าชื่นใจจริงๆเ้าโครงกระดูกน้อย ความกล้าและศักยภาพของเ้าเป็ที่ประจักษ์อีกครั้งแล้ว มาเถิด นี่เป็รางวัลสำหรับเ้า!”
“ติ้ง~!”
ระบบแจ้งเตือน: ยินดีด้วย คุณทำภารกิจ [โครงกระดูกเขียว] สำเร็จแล้ว คุณได้รับค่าประสบการณ์ 2,200 หน่วย ได้รับค่าชื่อเสียง 21 หน่วย ได้รับรางวัลสำหรับภารกิจ : [พัดกระดูกเขียว]!
......
ผมั์ตาลุกวาวขึ้นมาทันที นี่ผมจะมีอาวุธแล้ว! ผมรีบเปิดกล่องออกดูก็พบพัดประกายแสงสีเขียวนอนอยู่ที่มุมกล่อง แล้วคุณสมบัติของพัดพุ่งขึ้นมาตรงหน้า—
[พัดกระดูกเขียว] (อาวุธหินดำ)
พลังโจมตี : 15-24
ความแข็งแกร่ง : +1
ค่ากลยุทธ์ : +1
เลเวลที่้า : 15
......
เมื่อถือพัดด้ามนี้เอาไว้มันก็ทำให้ผมรู้สึกพูดไม่ออกเลยทีเดียว อาวุธหมวดพัดเป็อาวุธาของนักกลยุทธ์ คาดไม่ถึงเลยว่าพลังการโจมตีของพัดด้ามนี้จะสูงขนาดนี้ สูงกว่าดาบขจีไพรของผมเสียอีก ช่างเป็อะไรที่สิ้นเปลืองจริงๆ
แต่ว่าเ้าพัดนี่นอกจากจะเพิ่มพละกำลังได้ 1 หน่วยแล้วยังเพิ่มค่ากลยุทธ์อีก 1 หน่วยด้วย แค่นี้ก็แข็งแกร่งแล้ว!
ก่อนหน้านี้ผมเคยเข้าไปดูข้อมูลในเว็บบอร์ดของเทียนจ้ง เมื่อผู้เล่นรวมกลุ่มกันเป็ทีม หัวหน้าทีมจะสามารถใช้ทักษะกลยุทธ์ได้ เช่นการปลุกเร้าจะเพิ่มพลังการโจมตีให้สมาชิกในทีมขึ้น 5% แต่หัวหน้าทีมจำเป็ต้องมีค่ากลยุทธ์มากกว่า 20 หน่วย ทักษะกลยุทธ์สามารถเรียกได้อีกชื่อว่าทักษะนายพล เมื่อเลเวลผู้เล่นสูงพอทักษะกลยุทธ์จะกลายเป็องค์ประกอบหลักในการต่อสู้ กองกำลังที่แข็งแกร่งจำเป็ต้องมีหัวหน้าทีมที่เข้มแข็งและมีทักษะนายพลอยู่ในนั้นด้วย
ส่วนอาชีพนักกลยุทธ์ในเทียนจ้งนั้นจะเป็ทักษะกลยุทธ์ติดตัว เพราะทุกครั้งที่นักกลยุทธ์เลื่อนขั้นค่ากลยุทธ์ก็จะเพิ่มขึ้นเองโดยธรรมชาติ นี่เป็สิ่งที่อาชีพอื่นไม่สามารถเทียบเคียงได้ นักกลยุทธ์เลเวล 20 ก็จะมีค่ากลยุทธ์ 20 หน่วย ถึงแม้จะไม่พกไอเทมใดๆ ก็ยังสามารถใช้ทักษะกลยุทธ์อย่างการปลุกเร้าหรือสร้างกำแพงเหล็ก (เพิ่มพลังป้องกันให้ทีม5%) ได้
ดูเหมือนว่าพัดกระดูกเขียวด้ามนี้ต้องอยู่ในมือของนักกลยุทธ์เท่านั้นถึงจะแสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้!
ผมโยนพัดกระดูกเขียวเข้ากล่องเหมือนเดิม ถ้ากลับไปแล้วมีเวลาผมจะแวะไปเมืองฝูปิงเอาพัดด้ามนี้ขายออกเปลี่ยนเป็เงินซื้อน้ำยาแทน
......
หลังจากนั้นผมก็เงยหน้าขึ้นมองหัวหน้าทหารยามฝ่าเค่อ หมอนี่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว สีหน้าของเขาเริ่มเคร่งขรึมขึ้นจากนั้นเขาก็ตบบ่าของผมแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “โครงกระดูกน้อย ข้ามีข่าวร้ายที่ต้องบอกเ้า เมื่อครึ่งวันก่อนมีทหารลาดตระเวนซาเค่อซึ่งเป็มือดีของป้อมศีตเหมันต์ตายบนถนนเหมันต์ ข้าไม่พบศพของเขา แต่ได้รับข่าวจากแดนไกลมาว่าซาเค่อถูกหมีหลังเหล็กฆ่าตาย ข้าอยากให้เ้าไปที่ถนนเหมันต์จัดการกับเ้าหมีหลังเหล็กจอมวายร้ายนั่นแล้วนำเอาหัวของมันกลับมาให้ข้า”
“ติ้ง~!”
ระบบแจ้งเตือน: คุณได้รับภารกิจ [หมีหลังเหล็ก]! (ระดับภารกิจ : ระดับ F ขั้นสูง)
รายละเอียดภารกิจ : มุ่งไปยังถนนเหมันต์ฆ่าหมีหลังเหล็กและนำเอาหัวของมันกลับมาให้หัวหน้าทหารยามฝ่าเค่อ
......
ภารกิจสังหารอีกแล้วและผมยินดีรับมัน
เมื่อเปิดดูแผนที่แล้วค้นหาถนนเหมันต์ผมก็พบว่ามันบังเอิญเป็ทางผ่านระหว่างป้อมศีตเหมันต์ไปยังเมืองฝูปิงพอดี ภัยอันตรายในถนนสายนี้มีไม่น้อยเลย นี่เป็จุดที่ค่ายฝ่ายมืดกับค่ายฝ่ายสว่างแย่งชิงกันอยู่ ดูเหมือนว่าต่อไปคงต้องมีการสู้รบอีกมากแน่
ผมซ่อมไอเทมไปนิดหน่อยโดยใช้เหรียญไปทั้งหมด 1 เหรียญเงิน ค่าซ่อมอาวุธหินดำทั้งสามตัวพร้อมกันนี่สูงจริงๆ เลย!
จากนั้นผมก็ขายก้อนหินทั้งหมดแล้วจัดระเบียบกระเป๋าเก็บของให้เรียบร้อยก่อนจะเดินไปตามทางเพื่อออกจากป้อมศีตเหมันต์ เดินได้ประมาณ 10 นาทีผมก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าลอยเข้ามาแตะจมูก โอ้พระเ้า ไม่ไกลจากตรงหน้ามีซากโครงกระดูกไร้ศีรษะของทหารนอนนิ่งอยู่หนึ่งศพ
ผมก้าวเดินต่อไปแล้วพบว่านี่เป็ซากทหาริญญาครึ่งซีกที่กำลังเน่าเปื่อยและมันคือซากของทหารสอดแนมซาเค่อนั่นเอง ที่แท้ก็เป็ผีผู้โชคร้ายตัวนั้นในภารกิจนี้จริงๆ ด้วย กระดูกส่วนอกแตกหัก ศีรษะถูกกัดจนเละและส่งกลิ่นเหม็นเน่าฟุ้งกระจายไปทั่ว นึกไม่ถึงเลยว่าไอ้หมีนั่นจะกินอะไรแบบนี้ ถ้าไม่ใช่พวกที่หิวโซก็ต้องเป็พวกที่ชอบกินรสจัดแน่
ผมลุกขึ้นมองกวาดโดยรอบ ก่อนจะยื่นมือออกไปดูดเปลวไฟิญญาของทหารสอดแนมซาเค่อ เปลวไฟที่อ่อนแรงแบบนี้อย่างน้อยก็ยังสามารถเติมเพลิงิญญาให้ผมได้อย่างมหาศาลอยู่
“อยู่นั่นไง!”
ั์ตาผมเบิกกว้างขึ้นและชักดาบพุ่งไปยังป่าทึบข้างทาง ที่แท้เ้าหมีดำตัวโตก็อยู่ใต้ต้นไม้ข้างหน้านี่เอง ถึงแม้จะไม่ใช่บอสแต่เลเวลของมันก็สูงมาก—หมีหลังเหล็ก LV-20!
ในใจผมสะดุ้งขึ้นและด่าทอหัวหน้าทหารยามป้อมศีตเหมันต์ขึ้นมาทันที “ฝ่าเค่อ!”
ผมมองดูเลเวลตัวเอง ตอนนี้ผมยังอยู่แค่เลเวล 15 อยู่เลย ถ้าจะให้ไปท้าสู้กับมอนสเตอร์เลเวล 20 แบบนี้ผมก็ไม่ค่อยอยากทำสักเท่าไร อีกทั้งอาวุธผมก็ยังไม่ถึงเลเวล 10 ด้วยซ้ำ ถ้าจะอาศัยความได้เปรียบใน่แรกนั้นคงเป็ไปไม่ได้แล้ว
ผมทำได้แค่ฝืนตัวลุยเข้าไปเท่านั้น ขอให้พระเ้าคุ้มครองเมตตาให้เ้าหมีตัวนี้ตายทีเถอะ!
“เหอะ!”
ผมฉวยโอกาสมาถึงข้างหลังของหมีหลังเหล็กแล้วแทงเข้าไปอย่างแรงหนึ่งครั้ง!
“ซวบ!”
แปลกจัง ดาบขจีไพรเกิดประกายไฟขึ้นมา ที่แท้ผมแทงไม่เข้าเนื้อของหมีหลังเหล็กนั่นเอง
“21!”
ตัวเลขอันน้อยนิดที่โผล่ขึ้นมาประหนึ่งกำลังเยาะเย้ยผมอยู่ ส่วนเ้าหมีหลังเหล็กนั่นก็รีบหันกลับมาพร้อมอ้าปากร้องคำรามแสดงถึงความดุร้ายเกรี้ยวกราดของมันแล้วกระโจนหาผมทันที
ผมพลาดที่ทำแบบนั้น โง่จริงเลย เกราะหลังของหมีหลังเหล็กก็ต้องเป็แผ่นเหล็กอยู่แล้วสิ แต่ผมก็ยังทึ่มไปแทงข้างหลังตามความเคยชินอยู่อีก โง่จริงๆ เลย!
ผมรีบถอยหลังออกแต่โชคร้ายที่ยังคงโดนอุ้มมือหมีตะปบไปหนึ่งทีจนเสียเืไปถึง 107 หน่วย
แล้วตอนนั้นผมก็มองเห็นโอกาสจึงใช้ดาบขจีไพรโจมตีไปที่ดวงตาของหมีหลังเหล็กประหนึ่งงูพิษฉกเข้าไปที่เป้าหมาย!
“ซวบ ชิ้ง!”
เืพุ่งกระเซ็นออกมาและมันก็ทะลุพลังป้องกันของเ้าหมีนั่นได้อย่างมหาศาล!
“189!”
จุ๊ๆ โจมตีตรงจุดอ่อนนี่มันให้ความรู้สึกดีจริงๆ
สไลด์เท้าลงเล็กน้อยแล้วเคลื่อนมายังฝั่งขวาอย่างช่ำชอง จากนั้นดาบแหลมก็แทงเข้าไปอีกครั้ง คราวนี้มันแทงเข้าไปที่มุมปากของหมีหลังเหล็กอย่างรุนแรงจนเืพุ่งกระจายขึ้นมาอีกครั้ง 157!
เืทั้งหมดของหมีหลังเหล็กเหลืออยู่ประมาณพันกว่า สถานการณ์ตอนนี้ถือว่าดีเยี่ยมเลยล่ะ!
ผมกินน้ำยาเพิ่มปริมาณเืแล้วเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้การโจมตีของหมีหลังเหล็กตัวนี้จะสูง แต่การเคลื่อนไหวของมันไม่นับว่าเร็วมาก โดยรวมแล้วผมสามารถอาศัยศักยภาพของตัวเองจัดการกับมันได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้