ประตูห้องของคุณชายอวิ๋นจวาบุตรชายรองแห่งตระกูลอวิ๋นที่อยู่ทางเรือนฝั่งตะวันออก ถูกปิดสนิท สาวใช้ที่ถูกนางจางส่งให้มาตามคนที่อยู่ภายในห้องทำเพียงแค่เคาะประตูอยู่ด้านนอกสามครั้ง แต่ไม่ได้เอ่ยเรียกคนข้างในออกมา ไม่ว่าใครต่างก็รู้จักอุปนิสัยของคุณชายรองตระกูลอวิ๋นกันเป็อย่างดี ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งกับเขานัก
ในตอนที่สาวใช้กำลังลังเลว่าจะกลับไปบอกนางจางอย่างไรดีนั้น ประตูก็ถูกเปิดออกมาจากด้านใน โดยมีหญิงสวมหน้ากากคนหนึ่งก้าวออกมา และได้เอ่ยกับสาวใช้
“กลับไปบอกฟูเหรินของเ้า เมื่อวานนี้คุณชายรองเหนื่อยมาก หากตื่นแล้วจะให้เขาเข้าไปหานาง”
สาวใช้รู้สึกประหลาดใจ หญิงผู้นี้ช่างกล้าหาญยิ่งนัก นางกล้าปฏิเสธคำสั่งของฟูเหรินเช่นนี้เชียวหรือ ต่อให้นางจะเป็ที่โปรดปราณของคุณชายรองมากเพียงใด แต่ถึงอย่างไรนางจางก็เป็มารดาของคุณชายรอง
“แม่นางเอ่ยเช่นนี้ดูจะไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร คำพูดที่ฝากไปถึงฟูเหริน ให้คุณชายเอ่ยปากเองจะดีกว่า”
“ข้างนอกเสียงดังอะไรกันนักหนา ไสหัวไป!”
คำกร่นด่าด้วยความโกรธเกรี้ยวของอวิ๋นจวาดังมาจากห้อง ทำให้สาวใช้มีสีหน้าตื่นตระหนก
“ทำไม ยังไม่ยอมไปอีกหรือ” ลั่วจิ่วเอ๋อร์หันหลังกลับและกระแทกประตูปิดไปในทันที
สาวใช้กัดฟัน แต่นางก็ทำได้เพียงกลับไปรายงานนางจาง ในใจก็แอบกังวลว่าจะต้องถูกนางจางดุด่าไม่น้อยเป็แน่
ในห้องเต็มไปด้วยความมืดมิด อวิ๋นจวายืนก้มศีรษะนิ่งอยู่หน้าเตียงโดยไม่ขยับไปไหน ลั่วจิ่วเอ๋อร์เดินเข้ามาจากนอกประตู อีกฝ่ายก็ยังคงนิ่งเฉยราวกับประติมากรรมแกะสลัก
ลั่วจิ่วเอ๋อร์กลับไปนั่งบนเตียงก่อนจะดีดนิ้วหนึ่งที ซึ่งทำให้อวิ๋นจวาได้สติขึ้นมา จากนั้นจึงมองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทีตื่นตระหนก เมื่อหันมาเห็นลั่วจิ่วเอ๋อร์ที่อยู่บนเตียง เขาก็เข้าใจสถานการณ์ในทันที มือของเขารีบคลำลงไปที่เอวแต่กลับไม่พบดาบของตนเอง อวิ๋นจวารีบวิ่งออกไปที่ประตูด้วยความตระหนก แต่กลับได้ยินเสียงของลั่วจิ่วเอ๋อร์ดังมาจากข้างหลังของตน
“ข้าขอเตือนเ้า หากยังอยากมีชีวิตรอด อย่าออกไปจะดีกว่า”
ใน่สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความเป็ความตายนั้นเช่นนี้ อวิ๋นจวาจะไม่เชื่อฟังคำพูดของนางได้อย่างไรกัน มือของเขาััอยู่ที่ประตูแล้ว และทันใดนั้น เขาก็รู้สึกถึงลมกรรโชกอย่างรุนแรงที่พัดมาจากข้างหลังของตน ลั่วจิ่วเอ๋อร์ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงไม่ขยับเขยื้อน อวิ๋นจวาเบี่ยงกายหลบไปด้านข้าง แต่กลับถูกเงาดำตรึงไว้กับผนัง ทำให้ไม่อาจขยับตัวได้ กริชที่ส่องแสงในความมืดจี้ไปที่ข้างลำคอ ทะลุไปยังประตูไม้ที่อยู่เื้ัของเขา ทำให้เส้นสีดำของเขาถูกตรึงไว้ที่แผงประตูจนขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้
“หากอยากตาย เ้าก็ลองดู!”
เมื่อถูกคุกคามข่มขู่โดยชายสวมชุดคลุมสีดำถือกริชสั้น อวิ๋นจวาก็เหงื่อแตกไปทั้งตัว เขาไม่เคยรู้ตัวเลยว่านอกจากตนเอง และลั่วจิ่วเอ๋อร์แล้ว ยังมีชายอีกคนหนึ่งอยู่ในห้องนี้ด้วย
อวิ๋นจวาหยุดฝีเท้าอยู่ที่หน้าประตูโดยไม่กล้าก้าวเท้าออกไปไหนไกล
“พวกเ้าเป็ใครกันแน่”
ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมของนางทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ลั่วจิ่วเอ๋อร์ยิ้มและเอ่ยว่า
“ข้าคือคนที่มาที่นี่เพื่อช่วยเ้า แต่หากเ้าไม่เชื่อฟัง ข้าก็อาจกลายเป็คนที่สังหารเ้าได้เช่นกัน”
…
วันนี้ิเยวี่ยฟางปิดประตูไม่รับแขก ภาพเหตุการณ์ร้องเพลงและหัวเราะเมื่อวานนี้ถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศที่เงียบสนิท คลุมเครือ และไม่นานก็เกิดความวุ่นวายขึ้นข้างนอก เด็กสาวจากิเยวี่ยฟางที่ออกไปดู เมื่อก้าวเข้ามาก็ะโขึ้นเสียงดัง
“ท่านพี่เยวี่ย!”
เหยาเยวี่ยเดินออกจากในห้อง ก่อนจะเห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาสองคนเดินตามเด็กสาวมา คนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดสีขาวและมีผ้าคลุมไหล่สีเงิน ดูราวกับเทพะ อีกคนสวมชุดสีน้ำเงิน สนุกสนานและดูมีชีวิตชีวา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งคู่บุตรชายตระกูลหลิ่วจากชิงหลิ่วถัง
เมื่อเห็นผู้มาเยือน เหยาเยวี่ยจึงรีบก้าวไปเบื้องหน้าและโค้งคำนับให้กับอีกฝ่ายพร้อมกับกล่าวขึ้น
“ข้าไม่คิดเลยว่าคุณชายทั้งสองจากชิงหลิ่วถังจะเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเอง เหยาเยวี่ยไร้มารยาทยิ่งนัก!”
หลิ่วไป๋เจ๋อ ยกมือขึ้นเพื่อทักทาย “แม่นางเหยาเยวี่ย ไม่ต้องเกรงใจ"
หลิ่วไป๋เจ๋อ ได้รับการยอมรับว่าเป็ชายหนุ่มรูปงามแห่งดินแดนเจ๋อ แต่ชายหนุ่มที่หล่อเหลาเช่นนี้ไม่เคยก้าวเข้ามาในิเยวี่ยฟางมาก่อน หญิงสาวที่อยู่รอบตัวต่างมองไปที่เขาด้วยความชื่นชม ใบหน้าของเขาทำให้บรรยาศเปลี่ยนแปลงไปในทันที
ส่วนหลิ่วเฉิงเฟิง เขายังเป็เพียงเด็กที่ไม่รู้เื่รู้ราวอะไร นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้เข้ามายังหอโคมแดงเช่นนี้ การที่ถูกหญิงสาวมากมายจ้องมองก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่นัก คนที่หยิ่งยโสมาั้แ่เด็กอย่างเขา ในเวลานี้ใบหน้าได้เปลี่ยนเป็สีแดงระเรื่อในทันที เขาก้มศีรษะลงและซ่อนตัวอยู่ข้างหลังหลิ่วไป๋เจ๋อโดยไม่เอ่ยพูดอะไรสักคำ ซึ่งไม่รู้เลยว่าการกระทำของเขานั้นทำให้ตัวเขาดูน่ารักมากขึ้นกว่าเดิมในสายตาของหญิงสาวที่จ้องมองอยู่ หญิงสาวรอบกายใจละลายจนอยากจะกอดและบีบเขาด้วยความเอ็นดู
เหยาเยวี่ยส่งเสียงไอเบา ๆ และเอ่ยกับสาว ๆ ที่อยู่รอบ ๆ “พวกเ้าทุกคนกลับไปที่ห้องของตัวเอง ไม่ว่าใครก็ห้ามออกมา หากคุณชายหลิ่วมีคำถามใด เขาจะไปหาพวกเ้าและเอ่ยถามเอง”
สาว ๆ ทุกคนวิ่งกลับห้องด้วยความเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แทบไม่ต้องคิดเลย เหยาเยวี่ยรู้ดีว่าพวกนางคิดจะทำอะไร คงจะแต่งตัวแต่งหน้า นั่งรอคุณชายทั้งสองอยู่เงียบ ๆ นั่นเอง
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม สาว ๆ แทบจะลืมไปเลยว่าท่านแม่เล้าได้เสียชีวิต พวกนางไม่คิดสนใจแม่เล่าแล้วในตอนนี้
การตายของแม่เล้าแทบไม่ได้รับความสนใจจากพวกนางเลย แม้จะบอกว่าการตายนี้คือสิ่งที่อาจเกิดจากตัวของแม่เล้าเอง แต่เหยาเยวี่ยก็อดรู้สึกสงสารนางเสียไม่ได้
เหยาเยวี่ยพาทั้งสองคนไปที่ห้องของแม่เล้า โดยที่ศพยังคงนอนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่มีใครกล้าแตะต้อง หากไม่นับรวมสีหน้าที่หมองคล้ำนั้น มองเผิน ๆ ก็ดูเหมือนกับว่าแม่เล้าเพียงนอนหลับไปเฉย ๆ
ตัวหลิ่วไป๋เจ๋อนั้นนอกจากเขาจะพาหลิ่งเฉิงเฟิงมาแล้ว เขายังพาหมอมาด้วย หมอก้าวเข้าไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบศพ เขาได้นำเข็มเงินแทงเข้าไปที่ปากของนาง แล้วดึงมันออกมาดู เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งจึงหันกลับมารายงานกับหลิ่วไป๋เจ๋อ
“คุณชาย สาเหตุการตายของแม่นางผู้นี้คือการรับประทานยาเกินขนาดขอรับ”
“หมายความว่าอย่างไรเ้าคะ”
เหยาเยวี่ยไม่เข้าใจ หลิ่วเฉิงเฟิงเองก็เอ่ยถามเช่นกัน
“ท่านพูดให้ละเอียดกว่านี้ได้หรือไม่”
หมอเดินไปยังโต๊ะในห้องด้านใน ซึ่งมีถ้วยชาฝังด้วยกระเบื้องสีขาวและทองวางอยู่ เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมา ก่อนจะยกมันขึ้นมาที่จมูกเพื่อดม ในที่สุดเขาก็พยักหน้าแล้วเอ่ยกับคนอื่น ๆ
“หญ้าหนิงกู่ในถ้วยชาใบนี้คือต้นเหตุของการตาย”
“หญ้าหนิงกู่หรือ ท่านวิเคราะห์ผิดหรือเปล่าเ้าคะ” เหยาเยวี่ยรู้สึกสับสนใจเป็อย่างมาก “หญ้าชนิดนี้เยวี่ยเอ๋อร์รู้จักดีเ้าค่ะ มันเป็สมุนไพรที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจและบำรุงผิว ผู้คนมากมายชงดื่มเป็ชา ชาที่ดื่มกันเป็เื่ปกติเช่นนี้จะเป็พิษได้อย่างไรกัน อีกอย่างท่านแม่เล้าก็ดื่มชาหญ้าหนิงกู่มาเป็ระยะเวลาหลายปีแล้วด้วย ที่ผ่านมาก็ไม่เคยเป็อะไร เหตุใดคราวนี้นางถึงได้ตายได้”
หมอลูบเคราแล้วเอ่ยว่า “สิ่งที่แม่นางไม่รู้ก็คือ แม้หญ้าหนิงกู่นี้มีฤทธิ์ทำให้จิตใจสงบและบำรุงผิวก็จริง แต่หากดื่มมากเกินไปก็จะทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ อาจทำให้เกิดอาการหลับไหล ไปจนถึงไม่ฟื้นขึ้นมาเลย”
เหยาเยวี่ยหยิบถ้วยชาจากมือของหมอก่อนจะมองดูอย่างระมัดระวัง ในถ้วยชายังมีชาเหลืออยู่ครึ่งชาม โดยมีหญ้าหนิงกู่สีเขียวลอยอยู่ในนั้นเล็กน้อย มองดูแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ
หมอชี้ไปที่หญ้าหนิงกู่ในถ้วยแล้วเอ่ยว่า “หากเ้านำหญ้าหนิงกู่มาชงชา จะใช้เพียงแค่ข้อนิ้วก้อยเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วผู้ตายได้ต้มหญ้าหนิงกู่ที่มีขนาดยาวหลายใบ ซึ่งจำนวนของมันมากเกินไป”
หมอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันไปหาหลิ่วไป๋เจ๋อ แล้วเอ่ยว่า
“คุณชาย มีอยู่เื่หนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ”
“ท่านหมอพูดออกมาเถิด!”
“จากสิ่งที่แม่นางคนนี้เอ่ย ผู้ตายใช้หญ้าหนิงกู่มาหลายปีโดยไม่เกิดสิ่งใดขึ้น สรุปได้ว่าผู้ตายระมัดระวังเกี่ยวกับปริมาณของหญ้าหนิงกู่ที่เขากินมาก แต่เหตุใดครั้งนี้นางถึงเพิ่มปริมาณขึ้นมาเยอะขนาดนี้ สิ่งนี้ทำให้ข้าสับสนมากจริง ๆ”
เหยาเยวี่ยที่ก็ตระหนักถึงเื่นี้ได้กล่าวว่า
“ใช่เ้าค่ะ ท่านแม่เล้าเป็คนใส่ใจความพอดีมาก ไม่ว่าจะเป็เื่ของพวกเราหรือเื่ของนางเอง นางจะกังวลมาก ๆ แล้วจะประมาทเื่การกินยาบำรุงเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
หลิ่วไป๋เจ๋อถาม
“ปกติแล้ว ใครเป็คนชงชาสมุนไพรหนิงกู่นี้หรือ”
เหยาเยวี่ยเข้าใจความหมายของหลิ่วไป๋เจ๋อ และตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า
“ปกติแล้ว จิ่งเอ๋อร์เด็กสาวรับใช้จะคอยดูแลท่านแม่เล้าและยกชา รินชาให้กับนาง แต่หากเป็เื่การดื่มยาบำรุงแล้วนางจะทำเอง ท่านแม่เล้านางเป็คนรอบคอบและไม่เคยไว้ใจใครง่าย ๆ”
“หญิงสาวชื่อจิ่งเอ๋อร์อยู่ที่นี่หรือไม่”
เหยาเยวี่ยพยักหน้า
“อยู่ นางอยู่ห้องข้าง ๆ เป็ห้องที่ใกล้กับท่านแม่เล้ามากที่สุด เพื่อให้สะดวกยามที่นางจะเรียกใช้กลางดึก”
“ถ้าเช่นนั้นพาพวกเราไปหานาง!”
พวกเขาเดินมาถึงยังห้องถัดไป เหยาเยวี่ยทำการเคาะประตู แต่ไม่มีสิ่งใดตอบกลับจากข้างใน นางที่เกิดความรู้สึกแปลก ๆ จึงผลักประตูให้เปิดด้วยตนเอง
“จิ่งเอ๋อร์ เ้าเป็อะไร”
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็เห็นเด็กสาวอายุยังน้อยคนหนึ่งนอนตัวสั่นขดตัวอยู่บนพื้น เมื่อเห็นผู้มาเยือนร่างกายของนางก็สั่นสะท้านมากขึ้นกว่าเดิม
เหยาเยวี่ยก้าวไปข้างหน้าเพื่อประคองนางขึ้นมาให้ไปนั่งที่เตียงพร้อมกับเอ่ยปลอบ
“จิ่งเอ๋อร์ ไม่ต้องกลัว พี่เยวี่ยอยู่ที่นี่ ไม่ต้องกลัว!”
จิ่งเอ๋อร์อายุยังน้อยมาก นางโผเข้าไปในอ้อมกอดของเหยาเยวี่ยและเริ่มร่ำไห้ออกมา คนอื่นต่างยืนอยู่ข้าง ๆ รอจนนางสงบสติอารมณ์ลงแล้วจึงก้าวเข้าไปหา
“แม่นางจิ่งเอ๋อร์ ช่วยบอกอะไรพวกเราสักหน่อยจะได้หรือไม่”
หลิ่วเฉิงเฟิง ก้าวไปข้างหน้า ก้มตัวลงเบื้องหน้าของจิ่งเอ๋อร์ และเอ่ยปากขึ้นมา ยามที่เขายิ้มออกมานั้นช่างงดงามยิ่งนัก นั้นทำให้จิ่งเอ๋อร์ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาหยุดร้องไห้ลงได้ จิ่งเอ๋อร์ใบหน้าแดงก่ำซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเหยาเยวี่ย ด้วยความเขินอาย
ในที่สุดนางก็อึกอักและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันแ่เบา
“พวกท่านอยากรู้สิ่งใด”
หลิ่วเฉิงเฟิงดึงแขนเสื้อของหลิ่วไป๋เจ๋อที่อยู่ข้างกาย อีกฝ่ายพยักหน้าเบา ๆ และพูดว่า “หากเ้า้าถามก็ถาม”
เมื่อหลิ่วเฉิงเฟิงได้รับอนุญาตแล้วจึงหันไปหาจิ่งเอ๋อร์ พร้อมกับเอ่ยถาม
“เมื่อคืนนี้เ้า เ้ากับ...” หลิ่วเฉิงเฟิงไม่รู้ว่าจะเรียกผู้ตายว่าอย่างไร จึงเป็จิ่งเอ๋อร์ที่เอ่ยเพื่อบอกให้เขารับรู้ “พวกเราทุกคนเรียกนางท่านแม่”
“อ๋อ” หลิ่วเฉิงเฟิงใช้นิ้ววนขมับของตน รู้สึกประหม่าเล็กน้อย แล้วพูดต่ออีกครู่หนึ่ง “เมื่อคืนเ้าอยู่กับท่านแม่หรือไม่”
จิ่งเอ๋อร์ส่ายหัว กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ไม่เ้าค่ะ เมื่อคืนการประกวดดอกไม้งามประจำปีจบลงเร็วมาก ท่านแม่บอกว่านางรู้สึกเหนื่อย จึงได้รีบกลับไปที่ห้องของนางเพื่อพักผ่อนั้แ่หัวค่ำ ข้าเองก็ไม่ได้ตามเข้าไป จากนั้นข้าก็กลับห้องของตนเอง ั้แ่ตอนนั้น ข้าก็ไม่ได้เห็นนางอีกเลย”
“ในระยะนี้มีใครมาหานางบ้างหรือไม่”
จิ่งเอ๋อร์ส่ายหัว “เมื่อคืนวานก่อน่ไฮ่สือ[1]ไม่มีใครมาหาท่านแม่เลย ท่านแม่เองก็ไม่ได้เรียกหาข้า แต่…” จิ่งเอ๋อร์มีท่าทีลังเล
“แต่อะไร”
จิ่งเอ๋อร์ ครุ่นคิดและเอ่ยว่า “ใน่จื่อสือ[2] ดูเหมือนจะมีคนมาที่ห้องของท่านแม่ ข้าได้ยินเสียงไม่ค่อยชัดเจนนักว่ามีคนมาเคาะประตูห้องของท่านแม่”
“เ้ารู้หรือไม่ว่าเป็ใคร”
จิ่งเอ๋อร์ส่ายหัว “เสียงเบาเกินไป ข้าได้ยินไม่ชัดเจน”
“แบบนี้ก็ยากน่ะสิ!” หลิ่วเฉิงเฟิงกังวล
ทันใดนั้น เหยาเยวี่ยที่เข้าใจสถานการณ์ก็กล่าวขึ้น
“ข้ารู้ว่าคือใคร!”
ทุกคนมองไปที่เหยาเยวี่ยด้วยความรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เหยาเยวี่ยยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า
“พวกท่านไม่ต้องแปลกใจ คน ๆ นี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็ข้าเอง!”
จิ่งเอ๋อร์จ้องไปยังเหยาเยวี่ยที่อยู่เบื้องหน้าของนาง สีหน้าของนางแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดเลยว่านางไม่เชื่อ
เหยาเยวี่ยจึงได้อธิบาย
“อันที่จริง ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง ตอนนั้นข้ากลัวจึงไม่ได้พูดออกมา”
จู่ ๆ หลิ่วไป๋เจ๋อก็พูดขึ้นว่า “หมายความว่า ท่านแม่เสียชีวิตั้แ่จื่อสือของเมื่อคืนแล้วอย่างนั้นหรือ”
เหยาเยวี่ยพยักหน้าและเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นคืนนั้นให้ฟัง นางไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับการที่ตนเองขโมยสัญญาการขายตัวของตนเองออกมา แต่นางบอกรายละเอียดอย่างอื่นอย่างถี่ถ้วน
“ตอนนั้นข้าตั้งใจไปหาท่านแม่ ข้าแค่อยากจะคุยกับนางเื่ของสาว ๆ แต่ใครจะไปรู้...”
เหยาเยวี่ยขมวดคิ้ว เื่ราวมันเป็เช่นนี้แล้ว นางเองก็ไม่มีอะไรจะพูด
“แม่นางจิ่งเอ๋อร์ ข้าขอถามเ้าอีกสักคำถามได้หรือไม่” หลิ่วเฉิงเฟิงยิ้มให้จิ่งเอ๋อร์ อีกฝ่ายจึงซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเหยาเยวี่ยอีกครั้ง
หลิ่วเฉิงเฟิงแตะจมูกของตนด้วยความรู้สึกหดหู่ หน้าตาของเขาดูน่ากลัวมากขนาดนั้นเชียวหรือ เขามองย้อนกลับไปที่หลิ่วไป๋เจ๋อ และนึกกร่นด่าอยู่ในใจ สัตว์ประหลาดชัด ๆ !
—------------------------
[1] ไฮ่สื่อ หมายถึง ่เวลาที่ท้องฟ้ามืด มนุษย์หยุดทำสิ่งต่างๆเพื่อเตรียมเข้านอน เทียบเท่ากับเวลา 22:00-24:00 นาฬิกา
[2] จื่อสือ หมายถึง ่เวลาราว ๆ เที่ยงคืน เทียบเท่ากับเวลา 00:00-02:00
