"สรรพสิ่งในแดนโลกีย์ ดั่งคลื่นลมวารีที่โถมถั่ง ยุทธภพกว้างใหญ่สุดใจรั้ง กี่ชีวิตจะยืนหยัดอยู่ได้ให้อนิจจา เฮ่อ... ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะยังจำกวีบทนี้ได้อยู่ ฮิๆ ก็แหม... คนมันความจำดี ยังมีอะไรอีกนะ อืม... ยอดยุทธ์รุ่นใหม่ใจทะยาน เปี่ยมปณิธานฝากชื่อในโลกหล้า โรจน์ร่วงผันผ่านเพียงพริบตา โอ้เอ๋ยวันเวลาช่างสั้นนัก อันนี้ใครเป็คนเขียน? ผู้าุโจินยง [1] หรือท่านกู่หลงผู้ยิ่งใหญ่ จำไม่ได้แน่ชัด อย่างไรเสียก็เป็สุดยอดด้านการประพันธ์นวนิยายกำลังภายในกันทั้งคู่ แต่น่าเสียดาย พวกเขาล้วนจากไปกันหมดแล้ว"
ระหว่างป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวเขา ปากน้อยๆ ของเซวียเสี่ยวหรั่นก็พูดจ้อไม่หยุด ทั้งยังปัดเรือนผมยาวของเขาไปไว้ด้านหน้าอีกด้วย
คนโบราณนี่ว่างนักหรือถึงปล่อยผมยาวขนาดนี้ ไม่รู้จะไว้ไปทำไมนักหนา ผมของเขายาวกว่าเธอเกินสองเท่า ดูแลยุ่งยากจะตาย ไม่มีแชมพู ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาใช้อะไรสระผม เซวียเสี่ยวหรั่นใช้นิ้วสางเส้นผมที่ทั้งยาวทั้งดำแถมยังพันกันยุ่งของเขา พลางบ่นอยู่ในใจ
แต่เหลียนเซวียนกลับยังอยู่ในห้วงอารมณ์ตกตะลึง บทกวีสองบทนี้คมคายลึกซึ้ง แสดงถึงอิสรเสรีไร้ข้อผูกมัด บทกวีดีเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่แพร่หลายในใต้หล้า ฟังจากความหมายของแม่นางผู้นี้ ผู้ประพันธ์สิ้นชีพกันไปหมดแล้วหรือ เช่นนั้นก็น่าเสียดายจริงๆ
"เรียบร้อย... แต่ยาหมดแล้ว ถึงอยากทาก็ทาไม่ได้อีก อืม... งั้นก็เอาแค่นี้แล้วกัน"
เซวียเสี่ยวหรั่นมองสำรวจซ้ายขวา มีาแบางแห่งที่ยังไม่ได้ทา แต่ยาหมดแล้ว ก็คงได้เพียงเท่านั้น
"ที่ขาของท่านมีแผลหรือไม่"
สายตาของเซวียเสี่ยวหรั่นเหลือบไปที่กางเกงขายาวสีขาวของเขาที่สกปรกจนไม่รู้จะว่าอย่างไร ขากางเกงเต็มไปด้วยโคลน แต่ไม่ค่อยเห็นคราบเืสักเท่าไร
เหลียนเซวียนรีบสั่นศีรษะ าแส่วนใหญ่รวมอยู่้า แผลที่ขามีไม่มากนัก ถึงต่อให้มี เขาก็ไม่ยอมรับ เขาเกรงว่าสาวน้อยโผงผางผู้นี้จะเข้าถอดกางเกงของเขาจริงๆ
ถึงมีแผลแต่ก็ไม่มียาทาแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นยักไหล่ ก่อนช่วยสวมเสื้อกลับเข้าไปให้ แล้วเดินอ้อมมาด้านหน้าผูกสาบเสื้อให้เขา
"ผลงานเสร็จเรียบร้อย" เซวียเสี่ยวหรั่นร้องเบาๆ
ในที่สุดเหลียนเซวียนก็โล่งใจได้เสียที แม่นางผู้ชอบแหกคอกคนนี้มักทำให้เขาเหงื่อตกอยู่เรื่อยจริงๆ
"คั่วเกาลัดกินต่อดีกว่า"
เซวียเสี่ยวหรั่นนั่งตะแคงข้างกองไฟ หยิบตะเกียบชั่วคราวสองอันมาคีบลูกหนามโยนเข้ากองไฟ
หลังจากนั้นก็เริ่มไปคุ้ยหาผลไม้เหลือเดนที่ฝูงลิงเอามาปาใส่ตนเอง
"นี่คือสาลี่ เล็กก็เล็กแถมเปรี้ยวฝาดอีกต่างหาก แหวะ... น่าขนลุก"
"นี่คือฝรั่งทับทิม ยุบไปเสียครึ่งลูก น่าเสียดาย"
"นี่คือลูกสน กินไม่ได้ แต่ปาหัวคนเจ็บนักล่ะ"
"ส่วนอันนี้ อะไรหว่า? ทั้งเขียวทั้งดำ ขี้ริ้วซะไม่มี"
เหลียนเซวียนค่อยๆ ขยับเข้าหากองไฟ ได้ยินถ้อยคำที่นางบ่นกับตัวเองแล้วก็รู้สึกว่าหมดคำจะพูด
"อ๋า? ฮ่าๆ ที่แท้ก็เหอเถา [3] ูเานี่เอง"
เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบมีดมาปอกเปลือกพลางหัวเราะเสียงดังลั่น
"เหอเถาูเาเชียว ของดีเลยนะนี่ เสียแต่แข็งไปหน่อย ไม่มีคีมหรือค้อน ก็แกะเปลือกยากหน่อย" เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบเหอเถาูเาวางบนพื้นแล้วใช้หินทุบผลที่แข็งโป๊กของมัน
แถวที่ฝูงลิงอาศัยอยู่มีแต่ของดีๆ ทั้งนั้น หึๆ พรุ่งนี้ต้องลองไปแถวนั้นดูสักหน่อย เหอเถาูเาเปลือกหนา มิหนำซ้ำยังแข็งมาก ลิงกินไม่ได้อยู่แล้ว
เซวียเสี่ยวหรั่นดวงตาทอประกายระยิบระยับ ลิงไม่กิน ก็เสร็จพวกเขาสองคนสิ ฮิๆ ถึงเปลือกจะแข็งอย่างไร จะแข็งสู้ก้อนหินได้หรือ
ถึงแม้ว่าลิงจะไม่กิน แต่พวกมันก็หวงถิ่น เหลียนเซวียนย่นหัวคิ้ว นึกอยากเตือนนางสักประโยค แต่นิ้วมือคลำได้แต่แผ่นหินแข็งๆ ก็เลยจนปัญญาต้องรั้งมือกลับ
"ทั้งเหอเถาผู้เขาและเกาลัดต่างมีเปลือกหนาเนื้อน้อย เปลืองแรงมาก หาอะไรอย่างอื่นแก้ขัดไปก่อนน่าจะดีกว่า"
เซวียเสี่ยวหรั่นถูๆ ผลฝรั่งทับทิมกับตัวก่อนกัดเข้าไปคำหนึ่ง
อืม... ไม่เลว รสชาติในความทรงจำ หวานอมเปรี้ยว เม็ดเยอะไปหน่อย แต่เนื้อแน่น เติมกระเพาะให้อิ่มได้ไม่เลว
หลังจากกินหมดแล้ว ก็กลับมาคุ้ยเ้าลูกหนามออกจากกองไฟ เธอใช้กิ่งไม้คีบเกาลัดที่สุกแล้ววางไว้ด้านข้าง แล้วเอามีดที่เพิ่งใช้หั่นเนื้องูมาล้างก่อน จากนั้นก็เอาไปลนไฟ แล้วเริ่มปอกเปลือกเกาลัดเข้าปาก
ฝ่ามือของเธอเจ็บมาก เมื่อครู่ปั่นไม้ก่อไฟมือเสียดสีจนเป็ตุ่มพุพองสองตุ่ม เซวียเสี่ยวหรั่นมองตุ่มพองในมือแล้วก็เบ้ปาก เจ็บก็เจ็บ แต่พออิ่มท้องก็ค่อยยังชั่ว
จิติญญาของนักชิม ไม่ว่าจะเจ็บแค่ไหนก็ต้องเติมท้องให้อิ่มไว้ก่อน เซวียเสี่ยวหรั่นปอกเกาลัดต่ออย่างขมีขมัน ปอกไปก็กินไป เกาลัดร้อนๆ เหนียวนุ่มเต็มปาก ช่วยปลอบประโลมความเ็ปไปทั่วร่างของเธอได้เป็อย่างดี
รอจนกินอิ่มแล้ว ก็ยัดมีดใส่มือของเหลียนเซวียน เอ่ยอย่างใจกว้าง "นี่ ข้างมือท่านมีเกาลัดสุกแล้ว ท่านค่อยๆ ปอกกินไปนะ ข้าเจ็บมือ คงไม่ช่วยปอกให้แล้วล่ะ"
พูดจบก็ใส่ฟืนเข้าไปในกองไฟสองสามท่อน แล้วหยิบเสื้อแขนยาวสกปรกที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาสวม หลังจากรูดซิปเรียบร้อย ก็หาที่เหมาะๆ ล้มตัวนอนตะแคงลงไป แล้วใช้กระเป๋าเป้แทนหมอนหนุน
"โอ๊ย เอวของฉัน"
"ปวดเมื่อยไปทั้งตัว พรุ่งนี้ต้องลุกไม่ขึ้นแน่เลย"
"ปากถ้ำใหญ่ขนาดนี้ กลางดึกจะมีตัวอะไรวิ่งเข้ามาไหมเนี่ย"
"เหลียนเซวียน อีกประเดี๋ยวหลังกินอิ่มแล้ว ท่านก็นอนพักผ่อนเถอะนะ"
"ฉันจะไม่ไหวแล้วนะ ั้แ่เกิดมายังไม่เคยเหนื่อยขนาดนี้มาก่อนเลย"
"อูย... พื้นนี่แข็งจัง หลังระบมไปหมดแล้ว"
"ง่วงจะตายอยู่แล้ว"
เสียงบ่นงึมงำค่อยๆ กลายเป็เสียงลมหายใจสม่ำเสมอ
ดวงตาที่มองไม่เห็นของเหลียนเซวียนหันไปทางที่เธอนอนอยู่ แววตาเจือไปด้วยความจนใจและความเวทนา
เซวียเสี่ยวหรั่นนอนหลับไปจนถึงยามฟ้าสว่างโล่ง
เธองัวเงียลืมตาขึ้น นอกถ้ำสว่างแล้ว
เธอหันศีรษะอย่างยากเย็น มองไปเห็นเงาคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
"หา? เหลียนเซวียน? ท่านไม่ได้นอนทั้งคืนเลยหรือ"
เซวียเสี่ยวหรั่นถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ความเ็ปทั่วสรรพางค์กายทำให้ทั้งดวงตาจมูกและคิ้วของเธอแทบจะพันกันยุ่ง กว่าจะกัดฟันลุกขึ้นมานั่งได้ไม่ง่ายเลย
เมื่อวานเหนื่อยมาทั้งวัน อาการปวดเมื่อยตามร่างกายหนักยิ่งกว่าเมื่อวานเสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ก้นกับบั้นเอว เจ็บจนปากของเธอบิดเบี้ยวไปหมดแล้ว
เหลียนเซวียนสั่นศีรษะ ก่อนพยักหน้า
กองไฟยังติดอยู่ ภายในถ้ำยังมีควันไฟปกคลุมอยู่
เซวียเสี่ยวหรั่นจำได้ว่าเมื่อวานเธอตื่นมาตอนกลางดึก เห็นเหลียนเซวียนกำลังเติมฟืนใส่ลงไปในกองไฟอยู่ เธอถามเขาไปประโยคหนึ่งตอนงัวเงีย เขาไม่ได้ตอบกลับมา เซวียเสี่ยวหรั่นง่วงมากจริงๆ พอเห็นเงาร่างของคนคุ้นเคย ก็ยู่ปากแล้วหลับไปอย่างสบายใจ
"แบบนี้ใช้ไม่ได้ ท่านเป็คนเจ็บ ต้องพักผ่อนให้มาก าแถึงจะหายเร็ว"
เธอรู้สึกโมโหอยู่บ้าง ที่จริงเมื่อคืนนี้เธอตั้งใจว่าจะลุกขึ้นมาดูไฟ แต่เพราะง่วงมาก จึงลุกไม่ขึ้น
เหลียนเซวียนก็เลยไม่ได้นอนเพราะต้องคอยดูไฟเป็แน่
"ฟ้าสว่างมากแล้ว ท่านรีบไปพักเถอะ ไม่ต้องดูไฟแล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นลุกขึ้นอย่างยากเย็น
แต่เหลียนเซวียนกลับส่ายหน้า เมื่อคืนเขานอนแล้ว เพียงแต่หลับไม่ลึก พอเห็นว่าไฟกำลังจะมอดก็เลยลุกขึ้นมาคลำหาฟืน หลังจากนั้นได้ยินเสียงนางขยับตัวไปใกล้กองไฟมากขึ้นทุกขณะ เพื่อป้องกันไม่ให้นางกลิ้งเข้าไปในกองไฟ เขาก็เลยนั่งคั่นตรงกลางเสียเลย
เซวียเสี่ยวหรั่นใช้มือขยี้ตาด้วยความโมโห เธอไม่แน่ใจว่าแท้จริงแล้วเขาหลับหรือว่าไม่หลับ
"ตึกๆๆ" เสียงเท้าของเธอวิ่งออกไปนอกถ้ำ
ไม่ช้าก็ได้ยินเสียง "ตึกๆๆ" กลับมา หลังจากนั้นก็มีหินก้อนหนึ่งยัดใส่มือเขา
...
[1] จินยง หรือ กิมย้ง เป็นามปากกาของจาเหลียนยง เป็นักเขียนผู้ทรงอิทธิพลของประเทศจีน มักเขียนนิยายกำลังภายในที่สอดแทรกเื่ของการเมืองสะท้อนสังคม นิยายที่โด่งดังเป็ที่รู้จักได้แก่ ัหยก จิ้งจอกอหังการ ดาบัหยก ัทลายฟ้า กระบี่เย้ยยุทธจักร แปดเทพอสูรัฟ้า กระบี่นางพญา อุ้ยเสี่ยวป้อ เป็ต้น
[2] กู่หลง หรือ โกวเล้ง เป็นามปากกาของสยงเย่าฮวา เป็นักเขียนผู้ทรงอิทธิพลแนวกำลังภายในอีกท่าน ผลงานที่โด่งดังเป็ที่รู้จักได้แก่ ฤทธิ์มีดสั้น ดาบจอมภพ เล็กเซียวหง ศึกวังน้ำทิพย์
[3] เหอเถา คือผลวอลนัท