“ศิษย์พี่หวง!”
ไม่รู้ว่าศิษย์คนไหนร้องเสียงดังขึ้นมา
พริบตานั้น ก็มีเสียงร้องะโนับร้อยดังขึ้นมาต่อเนื่องไม่ขาดสาย
“ศิษย์พี่หวง!”
“ศิษย์พี่หวง!”
“ศิษย์พี่หวง!”
.......
.......
เสียงตื่นเต้นฮึกเหิม กระหึ่มกึกก้อง
พลังวัตรชั้นเบิกนภาขั้นหนึ่งก็เอาชนะหยางเทียนจวินอันดับห้าในสิบศิษย์เอกสำนักในได้ แทรกเข้ามาเป็หนึ่งในห้าั์ใหญ่ของสำนักในอีกทั้งความแข็งแกร่งล้นหลามของพลังเทียบกับั์ใหญ่สำนักในอีกสี่คนที่เหลือยังมากมายกว่าอยู่ส่วนหนึ่ง
ชัยชนะในการต่อสู้เช่นนี้ต่อให้เป็ฉู่เฟิงที่ได้ชื่อว่าอัจฉริยะแห่งยุคในรอบร้อยปีของสำนักกระบี่์ก็ยังไม่เคยมีมาก่อน
บรรดาศิษย์ในตอนนี้เหลือเพียงความอิจฉาและนับถือต่อเสวียนเทียนร้องะโเสียงดัง
นั่นเป็เสียงะโให้ขวัญใจเสียงที่กระหึ่มกึกก้อง คึกคักฮึกเหิม ภาพลักษณ์ของเสวียนเทียนในสายตาของศิษย์ในขยับสูงขึ้นอย่างฉับพลันจนไปถึงระดับเดียวกันกับฉู่เฟิงอันดับหนึ่งศิษย์สำนักในในวันวาน
หรืออาจถึงขั้นเหนือกว่าฉู่เฟิงอยู่ระดับหนึ่ง
หยางเทียนจวินถูกกระแทกปลิวไปสามสิบกว่าเมตรปราณแท้ในร่างสับสน ราวกับัตนหนึ่งที่พลิกตลบท้องน้ำ ลมปราณแตกซ่านดิ้นรนอยู่สองครั้งก็ยังลุกขึ้นมาไม่ได้ เสียงกระอักเืดังขึ้นเืสดคำหนึ่งก็พ่นออกมา
เห็นได้ชัดว่า หยางเทียนจวินถูกกระบี่นี้ของเสวียนเทียนกระแทกได้รับาเ็ไม่เบา
“พี่!”
“ศิษย์พี่หยาง!”
......
หยางติ่งจวินกับศิษย์จำนวนไม่น้อยร้องลนลานวิ่งเข้ามาหาหยางเทียนจวิน
สายตาของเสวียนเทียนเลื่อนจากร่างของหยางเทียนจวินมาทางศิษย์ในรอบด้านที่ร้องะโชื่อเขาอยู่พยักหน้าเป็เชิงรับรู้เล็กน้อย หลังจากนั้นก็เดินมาข้างเฟิงปู๋จื้อ ซุนอี้ชิวกู้เชียนโหรวสามคน บอกว่า “กำจัดอุปสรรคแล้วพวกเราไปกันเถิด”
เมื่อความสำเร็จของคนผู้หนึ่งบรรลุถึงระดับที่คนทั่วไปไม่อาจบรรลุถึงได้เช่นนั้นคนอื่นก็ย่อมเกิดความรู้สึกนับถือเขา
ตอนนี้เฟิงปู๋จื้อ ซุนอี้ชิวกู้เชียนโหรวสามคนก็เป็เช่นนี้
สิ่งที่เสวียนเทียนแสดงให้เห็นก่อนหน้านี้แม้จะชวนให้คนตื่นตะลึง ทำให้คนงงงันแต่พวกเฟิงปู๋จื้อสามคนก็ยังแค่ตะลึงงันเท่านั้น แต่ตอนนี้ในสายตากลับมีแววนับถืออยู่
“ศิษย์พี่หวง วันวานได้พบกับท่านนับเป็เกียรติของพวกเราจริงๆ” เฟิงปู๋จื้อ มองเสวียนเทียนแล้วพูดขึ้น
คำพูดนี้ของเขากล่าวถูกต้องแล้ว หากไม่ได้พบเสวียนเทียนครั้งนั้นพวกเขาไล่ตาม ‘มือกระบี่เงาผี’ ไปจนถึงหมู่บ้านเหยียหม่า ถ้าไล่ตามต่อไป เป็ได้อย่างยิ่งที่จะเข้าไปในทุ่งม้าป่า
ทุ่งม้าป่ากว้างใหญ่อาณาเขตพันลี้มองไปไร้ขอบเขต ยากนักจะพบเจอคน ถ้า ‘มือกระบี่เงาผี’ ถูกไล่ตามจนหมดความอดทนคิดร้ายขึ้นมาพวกเฟิงปู๋จื้อสามคนย่อมโชคร้ายมากกว่าโชคดี
“นี่นับเป็โชคชะตา!” เสวียนเทียนยิ้มบาง
สีหน้าของเฟิงปู๋จื้อชะงักไปเล็กน้อยพลันหัวเราะร่าขึ้นมาเอ่ยว่า “ไม่ผิดเป็โชคชะตา ความไม่ถือตัวของศิษย์พี่หวง ในบรรดาศิษย์พี่ ช่างไม่เหมือนใคร”
ศิษย์ที่อันดับค่อนไปข้างหน้าส่วนใหญ่ล้วนแต่หยิ่งยโสมีความผยอง คนแบบเสวียนเทียนมีอยู่น้อยจริงๆ
เสวียนเทียนเดินไปถึงที่ใดศิษย์ในที่อยู่ข้างหน้าก็พากันเปิดทางให้ ไม่นานเสวียนเทียนกับเฟิงปู๋จื้อซุนอี้ชิว กู้เชียนโหรว ก็ออกจากแถบพื้นที่โล่งบริเวณเรือนยาพลังปราณหายไปจากสายตาของบรรดาศิษย์ใน
เมื่อเสวียนเทียนจากไปบรรดาศิษย์ในก็ไม่กล้าดูความน่าอับอายของหยางเทียนจวินต่อ ทยอยจากไปเช่นกัน
หยางเทียนจวินได้พวกหยางติ่งจวินช่วยพยุงยืนขึ้นมาได้แล้ว ใบหน้าซีดขาวอยู่บ้าง มองเงาร่างของเสวียนเทียนลับหายไปในดวงตาเผยแววเย็นเยียบราวกับอสรพิษ
“พี่ ความสามารถของหวงเทียนเพิ่มขึ้นเร็วเหลือเกินครั้งนี้เอาชนะเขาไม่ได้ รอครั้งหน้าเขากลับมา เกรงว่าคงยากยิ่งกว่าเดิมแล้ว”หยางติ่งจวินพูดอย่างไม่สบอารมณ์
หยางเทียนจวินแค่นเสียงเบาๆ เอ่ยว่า “ก่อนข้ากลับมาศิษย์พี่เติ้งให้ผงไร้เงาไว้กับข้านิดหน่อย ตอนที่สู้กัน ข้าโรยผงไร้เงาไว้ที่พื้นแล้วฮึ ตอนนี้เท้าสองข้างของหวงเทียนเปื้อนผงไร้เงาอยู่เต็ม ครั้งนี้ออกไปข้างนอกศิษย์พี่เติ้งจะตอนรับเขาอย่างดี ส่วนหวงเทียนจะกลับมาได้หรือไม่ ฮึๆ..!”
พูดไป หยางเทียนจวินก็หัวเราะออกมาอย่างเ็า
“ศิษย์พี่ฉู่ย่อมไม่ให้ใครก็ตามมาคุกคามตำแหน่งอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักกระบี่์ของเขา!” หัวเราะจบ หยางเทียนจวินก็เสริมอีกประโยค
ดวงตาของหยางติ่งจวินสว่างวาบใบหน้าเผยรอยยิ้มบางๆ
.................................................
เสวียนเทียน เฟิงปู๋จื้อ ซุนอี้ชิวกู้เชียนโหรวสี่คน เดินทางออกจากสำนักกระบี่์ ราบรื่นไร้อุปสรรคไม่นานก็มาถึงเมืองเจี้ยนหนาน
ที่เมืองเจี้ยนหนานซื้อม้ากิเลนดำชั้นดีสี่ตัวหลังจากนั้นก็ควบขี่มุ่งไปยังเทือกเขาเร้นลม
ม้ากิเลนดำชั้นดีวันหนึ่งก็วิ่งได้เพียงสามพันสามร้อยลี้ เทียบกับความเร็วยามผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาใช้วิชาตัวเบาชั้นนิลวิ่งทะยานยังช้ากว่าอยู่บ้างแต่แน่นอนว่าไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาคนใดจะใช้วิชาตัวเบาเร่งเดินทางระยะไกลเสียปราณแท้เบิกนภาไปกับการเดินทางไกลเป็เื่ไม่ฉลาดอย่างยิ่ง
เทือกเขาเร้นลม ทอดต่อกันเป็หมื่นลี้เป็หนึ่งในเทือกเขาไม่กี่เทือกที่ใหญ่ที่สุดในเขตอาณาจักรเสินเตา
สัตว์อสูรในนั้น อาศัยอยู่ในเขตที่ต่างกันตามพลังที่ไม่เท่ากัน
พลังของสัตว์อสูรยิ่งแข็งแกร่งเท่าใดเขตที่อยู่อาศัยก็ยิ่งลึกเข้าไปในเทือกเขาเร้นลมในยอดเขาสูงหุบเขาลึกจำนวนหนึ่งที่ซึ่งปราณต้นกำเนิดแห่งฟ้าดินอุดมสมบูรณ์
การหลอมยาควบปราณแท้้าสมุนไพรหลักสองชนิดคือหญ้าหมอกพิสุทธิ์กับดอกกาฬสุริยะ
‘หญ้าหมอกพิสุทธิ์’ กับ ‘ดอกกาฬสุริยะ’ ล้วนเป็สมุนไพรทิพย์ชั้นนิล นอกจากทิพยสถานอันเปี่ยมล้นด้วยปราณต้นกำเนิดแห่งฟ้าดิน ไม่อาจเติบโตได้เงื่อนไขในการเติบโตเข้มงวดอย่างมาก ดังนั้น สถานที่ธรรมดาจึงยากจะพบอย่างยิ่ง
ยอดเขากระบี่์ที่สำนักกระบี่์ตั้งอยู่ก็เป็ทิพยสถานแห่งหนึ่ง ยอดเขาสามยอดในนั้น มีพื้นที่ส่วนหนึ่งมีปราณต้นกำเนิดฟ้าดินเหมาะสมแก่การเติบโตของ ‘หญ้าหมอกพิสุทธิ์’ กับ ‘ดอกกาฬสุริยะ’
แต่ว่า ‘หญ้าหมอกพิสุทธิ์’ กับ ‘ดอกกาฬสุริยะ’ ไม่เพียงเติบโตยากระยะเวลาก็มีเงื่อนไขเช่นกัน
เวลาที่สมุนไพรธรรมดาจะเติบโตเต็มที่อยู่ใน่ห้าปีอย่างเร็วที่สุดอาจถึงขั้นใช้เวลาเพียงหนึ่งปีก็โตเต็มที่แล้วแต่สมุนไพรทิพย์ชั้นนิล อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสิบปี ถึงจะเติบโตเต็มที่
เพราะเวลาที่ใช้เติบโตยาวนาน ดังนั้น แม้ว่าสำนักกระบี่์จะมียอดเขาสามลูกเพาะปลูก ‘หญ้าหมอกพิสุทธิ์’ กับ ‘ดอกกาฬสุริยะ’ แต่ทุกปีจำนวนที่ผลิตออกมาได้ธรรมดาแล้วก็ไม่ได้มีมากสักเท่าไรไม่เพียงพอกับความ้าอย่างสิ้นเชิง จำเป็ต้องออกไปหาสมุนไพรทิพย์จากข้างนอกสมุนไพรทิพย์ชั้นนิลชนิดอื่นก็เช่นเดียวกัน
เทือกเขาที่สัตว์อสูรใช้ชีวิตอยู่ มีคนอยู่น้อย เป็สถานที่ที่ไม่มีคนเข้าไปหลายสิบปีหรืออาจถึงร้อยปีไม่ต้องพูดถึงสมุนไพรทิพย์ชั้นนิลที่ต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการโตเต็มที่ขนาดสมุนไพรทิพย์ชั้นปฐีที่ต้องใช้เวลามากกว่าร้อยปีเพื่อโตเต็มที่ก็หาพบได้
แน่นอนว่า เทือกเขาที่สัตว์อสูรอาศัยอยู่เป็สถานที่เสาะหาสมุนไพรทิพย์ที่ดีที่สุด
แต่อาณาเขตของสัตว์อสูร ผู้ฝึกยุทธ์จะเข้าไปนั้นอันตรายอย่างยิ่งพื้นที่ขอบปลายยังดี แต่เฉพาะเขตลึกในเทือกเขาเป็เขตที่สัตว์อสูรชั้นกลางและชั้นสูงจำนวนหนึ่งปรากฏตัวเป็สุสานของบรรดาผู้ฝึกยุทธ์โดยแท้ ไม่ระวังเพียงนิดเดียวผู้ฝึกยุทธ์ก็ต้องทอดร่างอยู่ในท้องของสัตว์อสูรไปเสียแล้ว
ดังนั้น เมื่อจะเข้าไปในเขตที่สัตว์อสูรขั้นสามขึ้นไปเพ่นพ่านโดยทั่วไปผู้ฝึกยุทธ์จะหาพรรคพวกหลายคนเข้าไปด้วยกัน เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
หมู่บ้านอินเฟิง เป็หมู่บ้านมนุษย์เล็กๆที่อยู่ลึกเข้ามาในเทือกเขาเร้นลมมากที่สุด เทียบกับหมู่บ้านชิงสุ่ยที่เสวียนเทียนเคยไปก่อนหน้ายังลึกกว่ามากเป็สถานีสุดท้ายของเขตแดนมนุษย์ในเทือกเขาเร้นลม
บริเวณใกล้เคียงกับหมู่บ้านอินเฟิงในเทือกเขาเร้นลมไม่มีสัตว์อสูรชั้นล่างขั้นหนึ่ง ขั้นสองอยู่แล้วที่อ่อนแอที่สุดก็เป็สัตว์อสูรขั้นสามซึ่งทัดเทียมกับผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภา
เสวียนเทียนกับพวกเฟิงปู๋จื้อสามคนขี่ม้ากิเลนดำควบทะยานหนึ่งวันเต็มในที่สุดยามโพล้เพล้ก็มาถึงหมู่บ้านอินเฟิงหมู่บ้านอินเฟิงถึงแม้จะเป็หมู่บ้านขนาดเล็กที่ห่างไกลที่สุดในเทือกเขาเร้นลมแต่ขนาดของหมู่บ้านกลับไม่เล็ก เทียบกับหมู่บ้านชิงสุ่ยและหมู่บ้านเหยียหม่าที่เสวียนเทียนเคยไปใหญ่กว่าถึงห้าเท่า
หมู่บ้านหวงปั้วที่ตระกูลหวงอยู่นับว่าเป็หมู่บ้านใหญ่แห่งหนึ่งแล้วพูดถึงพื้นที่ก็ยังไม่เท่ากับครึ่งหนึ่งของหมู่บ้านอินเฟิง
ดูแล้วหมู่บ้านอินเฟิงแทบจะเป็อำเภอขนาดเล็กแห่งหนึ่งรอบด้านก่อกำแพงเมืองสูงถึงหลายจั้ง มีเพียงเหนือใต้ออกตกสี่ทิศถึงเปิดประตูเมืองส่วนที่อื่นไม่อาจเข้าไปในหมู่บ้านได้
แน่นอน ด้วยหมู่บ้านอินเฟิงตั้งอยู่ในบริเวณที่สัตว์อสูรขั้นสามใช้ชีวิตอยู่การป้องกันย่อมต้องถึงขั้นเหตุการณ์ที่มีสัตว์อสูรขั้นสามท่องเที่ยวมาถึงเขตเทือกเขารอบนอกแล้วบุกโจมตีเกิดขึ้นอยู่เป็ระยะ
สถานที่ซึ่งเชื่อมกับเขตที่อยู่อาศัยของสัตว์อสูรขั้นสามขึ้นไปในเทือกเขาเร้นลมแน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงหมู่บ้านอินเฟิงแห่งเดียว เพียงแต่หมู่บ้านอินเฟิงเป็ที่ซึ่งใกล้ที่สุดดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาที่มาที่นี่จึงมีจำนวนมาก
เพื่อรับประกันความปลอดภัยของหมู่บ้านอินเฟิง สี่สำนักใหญ่จึงส่งผู้าุโสำนักนอกชั้นเบิกนภาขั้นห้าหนึ่งคนของแต่ละสำนักมารักษาการณ์อยู่ที่นี่ดังนั้น แม้ว่าจะมีผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาเดินทางไปๆ มาๆ ในหมู่บ้านอินเฟิงแต่ในอาณาบริเวณของหมู่บ้านสงบมั่นคงมาก ไม่มีใครกล้าก่อเื่ที่นี่
เสวียนเทียนกับพวกเฟิงปู๋จื้อสามคนเข้ามาในหมู่บ้านอินเฟิงได้ฟ้าก็มืดแล้วตั้งใจพักในหมู่บ้านอินเฟิงหนึ่งคืน วันพรุ่งนี้ถึงเข้าไปในเทือกเขาเร้นลม
ในหมู่บ้านอินเฟิงมีโรงเตี๊ยมไม่น้อยมีถึงยี่สิบกว่าแห่ง แต่ผู้ฝึกยุทธ์ที่พักแรมไม่น้อยจริงๆ เสวียนเทียนกับพวกเฟิงปู๋จื้อสามคนไปดูโรงเตี๊ยมสี่แห่งล้วนแต่ที่พักเต็มสุดท้ายถึงหาห้องพักได้ที่ ‘โรงเตี๊ยมพยัคฆ์ร้าย’ เข้าพักได้
สั่งเสี่ยวเอ้อร์ยกสุราดีมาให้สองสามไห อาหารดีๆหลายอย่าง ทั้งสี่คนก็นั่งกินดื่มอยู่ในห้องพัก
โรงเตี๊ยมของหมู่บ้านอินเฟิงส่วนใหญ่ตั้งชื่อตามสัตว์อสูรอันดุร้ายในเทือกเขาเร้นลม
โรงเตี๊ยมด้านข้าง ‘โรงเตี๊ยมพยัคฆ์ร้าย’ ก็มีโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งชื่อว่า ‘โรงเตี๊ยมหมีั์’
‘โรงเตี๊ยมหมีั์’ มีแขกสามคนมาเยือน ทั้งสามประหลาดอยู่บ้าง บนร่างสวมชุดดำบนศีรษะก็สวมเสื้อคลุมที่มีผ้าคลุมศีรษะสีดำ ราวกับทั้งร่างโอบล้อมด้วยความมืดทำให้ผู้คนไม่อาจเห็นใบหน้าที่แท้จริง
ทั้งสามคน้าห้องพักหนึ่งห้องที่ ‘โรงเตี๊ยมหมีั์’ แล้วก็เข้าพัก
เวลานี้เป็เวลามื้อเย็นทั้งสามคนไม่ได้สั่งอาหารเครื่องดื่มทั้งสามคนเป็ผู้ชายวัยฉกรรจ์แต่จองห้องเพียงห้องเดียว ปิดประตูทั้งสามคนเมื่ออยู่ในห้องก็ยังไม่ถอดผ้าคลุมศีรษะบนศีรษะลงนั่งลงล้อมรอบโต๊ะที่อยู่กลางห้อง
สายตาของคนชุดดำคนหนึ่งมองไปทิศที่ ‘โรงเตี๊ยมพยัคฆ์ร้าย’ ตั้งอยู่ เอ่ยว่า “คนที่สังหารนายน้อยอยู่ทางนั้นคืนนี้พวกเราจะลงมือหรือไม่”
ชายชุดดำอีกคนเอ่ยว่า “ในหมู่บ้านอินเฟิงมีผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาขั้นห้าหลายคนรักษาการณ์อยู่หากลงมือขึ้นมา เกรงว่าจะไปถึงหูพวกเขา”
ชายชุดดำที่อยู่ตรงกลางพยักหน้า เอ่ยว่า “อืม ยังไม่ต้องลงมือพวกเขามาที่นี่ย่อมต้องเข้าไปในเขตลึกของเทือกเขาเร้นลม พวกเราย่อมมีโอกาสลงมือ”
ชายชุดดำคนที่สองที่เปิดปากพูดเอ่ยว่า “ในหมู่พวกเขามีคนหนึ่งชื่อหวงเทียน แม้พลังวัตรจะไม่สูง แต่ความสามารถกลับแข็งแกร่งที่สุดคิดจะจับเขาเป็ๆ ยุ่งยากอยู่บ้าง คนที่สังหารนายน้อยคือคนอื่นอีกสามคนมีวิธีอะไรให้พวกเขาแยกออกมาสามคน จับตัวเพียงฆาตกรสามคนที่สังหารนายน้อยภารกิจของพวกเราก็สำเร็จแล้ว”
ชายชุดดำที่อยู่ตรงกลางดูเหมือนจะเป็หัวหน้าของทั้งสามคนเอ่ยขึ้น “รอโอกาส”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้