คุณชายสี่กับคุณหนูเจ็ดจวนซู่เฉิงโหวเกือบตกม้า ฮ่องเต้กริ้วจัด มีพระบัญชาให้ตรวจสอบอย่างละเอียด
เดิมทีเฉียวเยว่นึกว่าคนที่จะใส่ใจกับเื่นี้คงมีเพียงครอบครัวของพวกนาง คนนอกไม่น่าจะใส่ใจมากนัก แต่ความเป็จริงดูเหมือนจะไม่เป็เช่นนั้น และที่อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนก็คือ ฮองเฮากริ้วจัด มารบเร้าให้ฝ่าาตรวจสอบอย่างถึงที่สุดหลายต่อหลายครา ราวกับว่าคนที่ได้รับาเ็หาใช่สองพี่น้องสกุลซู แต่เป็โอรสธิดาของพระนางเอง
เฉียวเยว่ได้ยินเื่นี้ขณะพักผ่อนอยู่ในห้องส่วนตัว ก็รู้สึกข้องใจว่าเพราะเหตุใดทั้งฝ่าาและฮองเฮาถึงได้ทำเช่นนี้
เห็นชัดว่าคนในบ้านไม่ยอมบอกเพราะเห็นว่านางเป็เด็ก เฉียวเยว่จึงต้องหาทางถามกับฉีจือโจวเองโดยตรง
่นี้พวกเขาสองพี่น้องยังคงไปฝึกขี่ม้าตามแผนการปรกติ แต่จะประจวบเหมาะหรือไม่ก็สุดรู้ มักจะมีคนในครอบครัว "บังเอิญ" ผ่านมาพอดี และกลับจวนพร้อมกับพวกเขาเสมอ
และวันนี้คนที่ "ผ่านมา" ก็คือฉีจือโจวท่านลุงของนาง
"พวกเรากินอะไรข้างนอกก่อนค่อยกลับได้หรือไม่ ข้าได้ยินว่าทางใต้ของเมืองมีร้านอาหารเปิดใหม่ อาหารขึ้นป้ายของพวกเขาคือหม้อไฟเดือดๆ การกินอาหารเช่นนี้ในฤดูหนาวให้ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมาก ท่านพ่อท่านแม่ต้องไม่พาข้ากับฉีอันไปกินแน่ๆ ท่านลุงพาพวกเราไปเถอะนะเ้าคะ อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ พวกเราไปกินหม้อไฟกันเดี๋ยวเดียวร่างกายก็อบอุ่นแล้ว"
เฉียวเยว่หันใบหน้าดวงน้อยมาด้านข้าง คิ้วกับดวงตาของนางงดงามดุจภาพเขียน นับวันก็ยิ่งงามเพริศพริ้ง แต่ตัวคนกลับซุกซนยิ่ง หากเป็เด็กผู้ชายก็ยังพอต่อว่าได้บ้าง แต่กับเด็กหญิงที่อ่อนหวานน่าเอ็นดูเขากลับพูดแรงไม่ลง
เพียงแต่กล่าวว่า "แม่เ้าจะร้อนใจน่ะสิ เ้าน่าจะรู้ หากพวกเ้าสองพี่น้องกลับเย็นเกินไป แม่เ้าต้องวิตกกังวลแน่ๆ"
เฉียวเยว่ส่ายหน้า "ไม่เห็นเป็ไรเลย ท่านลุงก็ส่งคนกลับไปแจ้งที่จวนสิเ้าคะ"
นางเขย่าแขนฉีจือโจว รบเร้าไม่หยุด "ท่านลุง ไปเถอะ ไปเถอะ"
ฉีอันก็เป็ผู้ช่วยอีกแรง ฉีจือโจวเห็นสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความหวังของสองพี่น้อง ในที่สุดก็รับปาก
เฉียวเยว่กับฉีอันแปะมือกันด้วยอย่างดีอกดีใจ
แน่นอนว่าฉีจือโจวหาใช่ลูกค้าใหม่แต่อย่างใด เถ้าแก่ร้านรู้จักเขา "ท่านเสนาบดีฉี เชิญขึ้น้าเลยขอรับ"
ฉีจือโจวพาหลานชายหลานสาวเข้าไปในห้อง และสั่งอาหารขึ้นชื่อในร้านให้เด็กสองคน หลังจากนั้นก็โบกมือไล่บ่าวชายออกไป
เขารินน้ำชาให้ตนเอง แล้วก้มหน้าถามอย่างสงบนิ่ง "พวกเ้าสองคนมีอะไรก็พูดมาเถอะ"
ลูกไม้ตื้นๆ ของสองพี่น้องถูกมองออกจนได้ ถึงมีคำกล่าวว่าลิงฉลาดอย่างไรก็หนีไม่พ้นฝ่ามือพระยูไล
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก ยกมือเท้าคางพลางถอนหายใจ "ท่านลุงปราดเปรื่องยิ่งนัก"
นางรับกาน้ำชามาเติมให้เขาจนเต็มอย่างขมีขมัน หลังจากนั้นก็เอ่ยว่า "ข้าอยากมากินหม้อไฟจริงๆ แต่ก็มีข้อสงสัยเล็กน้อยที่อยากถามท่านลุงด้วย คนในบ้านเห็นพวกเราเป็เด็กเลยไม่บอกอะไรสักอย่าง ข้ารู้ ท่านลุงต้องบอกพวกเราแน่นอน"
มุมปากของฉีจือโจวโค้งขึ้น "ไม่ต้องประจบสอพลอ พูดความจริงมาเลยดีกว่า"
เฉียวเยว่หัวเราะอีก น่ารักไร้เดียงสาจริงๆ
"ว่าแล้วท่านลุงต้องไม่ถือสาพวกเรา ท่านลุงเ้าคะ ข้ามีเื่ไม่เข้าใจอย่างยิ่ง ข้านึกว่าเื่นี้จากเื่ใหญ่คงกลายเป็เื่เล็ก จากเื่เล็กคงจะกลายเป็ไม่มีเื่ แต่เหตุใดกลับกลายเป็ยิ่งรุนแรง ทั้งฝ่าาและฮองเฮาต่างบันดาลโทสะ น่าใเหลือเกิน"
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่สีหน้าแววตากลับไร้ซึ่งความหวาดกลัวแม้แต่กระผีกริ้น
ฉีจือโจวนิ่งไปสักพัก แล้วเอ่ยว่า "ไม่ใช่เพราะพวกเ้าหรอก สิ่งที่กระทบกระเทือนพระทัยของพระองค์หาใช่พวกเ้าสองคน แต่เป็สนามม้าต่างหาก คิดว่าพวกเ้าก็รู้ สนามม้ามีการควบคุมอย่างเคร่งครัดเป็พิเศษ พวกเ้านึกว่ามันเป็เช่นนั้นมาั้แ่ต้นหรือ?"
เฉียวเยว่ดีดนิ้วดังเป๊าะ "ข้าก็รู้สึกว่านี่นั่นเข้มงวดเกินไป"
ขนาดท่านหญิงฉางเล่อผู้นั้นยังต้องเหมือนกับคนธรรมดาไม่มีสิทธิ์พิเศษอันใด ตอนนั้นนางถึงกับถอนหายใจในความท้าทายไม่เกรงกลัวต่ออำนาจและอิทธิพลของสนามม้า ที่แท้ก็มีเหตุผลอื่นซ่อนเร้นอยู่นี่เอง
"รถม้าของพวกเ้าจอดอยู่ในสนามม้าแต่กลับถูกคนป้อนหญ้าคาวทอง นี่แสดงให้เห็นถึงความหละหลวมของผู้ดูแล ด้วยเหตุนี้จึงไปแตะถูกส่วนเปราะบางของฝ่าาและฮองเฮาพอดี คิดว่าพวกเ้าน่าจะเคยได้ยินพระนามองค์หญิงใหญ่อวิ๋นเล่อมาบ้างกระมัง?"
เฉียวเยว่พยักหน้า องค์หญิงใหญ่อวิ๋นเล่อเป็พระธิดาองค์โตของฝ่าา พระชันษาน้อยกว่ารัชทายาทสามปี โตกว่านางสองปี
"เคยได้ยิน แต่ไม่เคยเห็นเ้าค่ะ"
"ต้องไม่เคยเห็นอยู่แล้ว องค์หญิงอวิ๋นเล่อมักประชวรออดๆ แอดๆ ซ้ำยัง... ขาพิการ นางไม่เคยออกมาพบใครอยู่แล้ว"
เฉียวเยว่ตกตะลึง แทบไม่อยากเชื่อ "ขาพิการ?"
"เมื่อครั้งพระชันษาห้าขวบ องค์หญิงอวิ๋นเล่อตามเสด็จฮองเฮาไปยังสนามม้า แต่ผลปรากฏว่าอาชาถูกคนวางยาทำให้คลุ้มคลั่งตื่นตระหนก ด้วยเหตุนี้องค์หญิงซึ่งมีพระชันษาเพียงห้าขวบจึงถูกอาชาเหยียบจนขาหัก ส่วนฮองเฮาก็ทรงได้รับาเ็จนสูญเสียพระหน่อเนื้อในครรภ์"
เป๊าะ!
เฉียวเยว่ดีดนิ้ว "อย่างนี้นี่เอง"
"ด้วยเหตุนี้ สนามม้าจึงมีการควบคุมอย่างเข้มงวด แต่อยู่ดีๆ พวกเ้าสองพี่น้องก็ไปเกิดเื่ที่นั่น ซ้ำยังถูกวางยาอาชาแบบเดียวกัน เ้าคิดว่าฝ่าากับฮองเฮาจะไม่ทรงพิโรธได้หรือ ตอนนั้นก็หาตัวคนที่ปองร้ายฮองเฮาและองค์หญิงไม่พบ"
เฉียวเยว่ไม่รู้เื่ราวเหล่านี้ องค์หญิงอวิ๋นเล่อเกิดเื่ตอนห้าชันษา ขณะนั้นนางเพิ่งสามขวบ ไม่แปลกที่จะไม่รู้
ฉีจือโจวยังคงพูดต่อ "ดังนั้นครานี้ถึงแม้พวกเราจะไม่ติดใจเอาความ แต่ฮองเฮาทรง้าสืบสาวให้ถึงที่สุด เพราะเื่นี้ไปกระทบกระเทือนพระทัยของพระนาง ทำให้พระนางนึกถึงเื่ราวในอดีตที่ไม่ดีเ่าั้ แม้ว่าคนร้ายอาจไม่ใช่คนเดียวกับที่ทำร้ายพวกนางสองแม่ลูก แต่เหตุการณ์นี้ก็เป็เหมือนตัวจุดชนวน"
เฉียวเยว่เดาะลิ้น เข้าใจกระจ่างแจ้ง "ที่แท้ก็เป็เช่นนี้" นางเอ่ยเสียงเบา
ฉีจือโจวลูบศีรษะเฉียวเยว่ "ดังนั้นเ้าไม่ต้องคิดมาก เื่นี้เ้าไม่ต้องออกหน้า เพราะมีคนลงมือแทนเ้าไปแล้ว หาใช่เพื่อเ้า แต่เพื่อชำระความคับแค้นใจของตนเองในครานั้น"
เฉียวเยว่ถอนหายใจ "ใครๆ มักรู้สึกว่าสถานะสูงส่งย่อมดีกว่า แต่เมื่อพินิจดูให้ดี ไม่ว่าจะอยู่สถานะใดล้วนมีความลำบากใจของตนเองทั้งสิ้น แต่แน่นอนว่าคนมีเงินมีอำนาจมีสถานะสูงส่งย่อมกุมชะตาชีวิตของตนเองได้มากกว่า และมีชีวิตที่ดีกว่าสามัญชนทั่วไป"
ฉีอันกลอกตา "สิ่งที่เ้าพูดไม่เห็นจะมีแก่นสารตรงไหน"
เฉียวเยว่แค่นเสียงหึ
"พวกเ้าเจียมเนื้อเจียมตัวกันหน่อยก็ไม่ใช่เื่แย่" ฉีจือโจวกล่าวเตือน
จู่ๆ เฉียวเยว่พลันเงยหน้า แล้วเอ่ยถาม "แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าแปลกอยู่ดี ฮองเฮาทรงทราบเื่ราวอย่างละเอียดได้อย่างไร ปรกติแล้วพระนางไม่น่าจะใส่พระทัยกับเหตุไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นกับบุตรีของขุนนางคนหนึ่งถึงเพียงนี้"
ฉีจือโจวถอนหายใจ "สมองของเ้านี่ไวจริงๆ ย่อมมีคน้าให้พระนางแทรกแซงเื่นี้ถึงชี้นำแก่พระนาง"
เฉียวเยว่ยิ้มให้ฉีจือโจวอย่างมีเลศนัย "คงมิใช่ท่านหรอกนะเ้าคะ ท่านลุง"
ฉีจือโจวอมยิ้ม "ไม่ใช่ ข้ายังไม่ถึงขั้นสามารถติดต่อกับฮองเฮาเป็การส่วนพระองค์ได้ ยิ่งไม่มีวิธีจะชักนำพระนางได้"
เขาทำสีหน้าจริงจัง "เ้าควรรู้ หากข้ากล้าวางคนไว้ที่ตำหนักของพระนางนั่นไม่ใช่เื่เล็ก คำกล่าวเช่นนี้จะพูดเหลวไหลส่งเดชมิได้"
เฉียวเยว่ยกสองมือขึ้นประนม "ข้ารู้ผิดไปแล้ว ม้วบๆ ครั้งหน้าผู้น้อยมิกล้าอีกแล้วเ้าค่ะ"
ฉีจือโจวยิ้มอย่างระอาใจ "เ้าเด็กคนนี้พูดจาให้ดีๆ หน่อย ใช้คำซี้ซั้วมั่วซั่วอันใดอีกแล้ว"
เฉียวเยว่หัวเราะ จนกระทั่งหม้อไฟถูกยกเข้ามา นางก็มีทีท่ากระตือรือร้น "ท่านลุงเ้าคะ ข้าช่วยท่านดีหรือไม่?"
"เ้ากับฉีอันกินของตนเองไปดีๆ ก็พอ อย่าให้ถูกลวกเอา" ฉีจือโจวตอบ
เฉียวเยว่ตอบอื้อ แล้วยิ้มหวาน เอ่ยปากเหมือนไม่ได้ตั้งใจ "พี่จ้านเป็คนทำใช่หรือไม่ ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีการใดทำให้ฮองเฮาทรงเชื่อมโยงเื่นี้กับเื่ของพระนางเอง?"
มือที่ถือตะเกียบของฉีจือโจวชะงักเล็กน้อย "กินของเ้าไป"
เฉียวเยว่ยิ้ม "ท่านลุงไม่รู้สึกว่าข้าปราดเปรื่องเหนือคนบ้างหรือ?"
"ข้าว่าโง่จนดูไม่ได้เสียมากกว่า ขนาดกินอาหารยังอุดปากเ้าไม่อยู่เลย" ฉีจือโจวพูดอย่างจริงจัง
เฉียวเยว่ไม่ยอมปล่อยผ่าน
"ท่านลุงรับปากสิ่งที่ไม่ควรรับปากกับเขาไปใช่หรือไม่ ก่อนหน้านี้เขาพูดทำนองนี้ แต่ไม่รู้ว่าเขา้าให้ท่านช่วยทำสิ่งใด ถึงคนผู้นี้จะเอ็นดูข้ามาก จิตใจไม่เลวร้าย แต่ข้ามักรู้สึกว่าเขาชอบพูดอะไรคลุมเครือแปลกๆ"
"ก๊อกๆๆ" เสียงเคาะประตูดังขึ้น
"เข้ามา" เฉียวเยว่เอ่ยเสียงใส
แอ๊ด...
คนที่เปิดประตูเข้ามาไม่ใช่ใครอื่น เื่นี้สอนให้รู้ว่าไม่ควรพูดว่าร้ายผู้อื่นตามอำเภอใจ หาไม่แล้วคนผู้นั้นก็จะมาปรากฏตัว
"ท่านพี่จ้าน ท่านมาได้อย่างไร รีบมากินข้าวด้วยกันสิเ้าคะ" เฉียวเยว่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นกระตือรือร้น
ฉีจือโจว "..."
ฉีอัน "..."
หรงจ้ามองโต๊ะ มองเก้าอี้ แล้วอมยิ้ม "เมื่อเป็เช่นนี้ ก็เอาสิ"
เขาเริ่มเช็ดเก้าอี้ เช็ดโต๊ะ แล้วก็ลวกตะเกียบในน้ำร้อน
เช็ดมือ และนิ้วมือแต่ละนิ้วอย่างพิถีพิถัน หลังจากนั้นก็มองหม้อไฟแล้วขมวดคิ้วอย่างเดียดฉันท์ "ไม่แยกหม้อ?"
เฉียวเยว่ไม่ชอบคนจุกจิกประเภทนี้ พูดตามตรง หากไม่เพราะตอนเด็กๆ เขาดีกับนางมากๆ ตอนนี้นางคงไม่สามารถคบหาคนผู้นี้เป็สหายได้ เขาจุกจิกอย่างไร้เหตุผลเกินไปมากกกกก....
ราวกับท่านชายน้อย!
"ท่านพี่จ้าน อ้ำ"
เฉียวเยว่คีบหมูสามชั้นขึ้นมาคำหนึ่ง แล้วหลับหูหลับตายัดใส่ปากของเขาอย่างรวดเร็ว
หรงจ้าน "..."
เขาไหนเลยจะเคยถูกแม่นางน้อยคนหนึ่งรังแก เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าเฉียวเยว่จะทำเช่นนี้ และด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงถูกนางยัดเนื้อใส่ปากโดยไม่ทันตั้งตัว
เฉียวเยว่ยิ้มหวาน "อร่อยหรือไม่?"
หรงจ้านอึ้งอยู่นานก่อนจะกลืนลงไป หลังจากนั้นก็ยิ้มถามว่า "ตะเกียบของเ้าสะอาดหรือไม่?"
เฉียวเยว่เงยหน้า "แน่นอนอยู่แล้ว พี่จ้านอย่าทำหน้าเช่นนี้สิ ข้ายังไม่รังเกียจท่านเลยนะ"
นางรินน้ำชาให้หรงจ้าน "เอาล่ะ ข้าขอคารวะท่านหนึ่งถ้วย ขอบคุณพี่จ้านที่ช่วยชีวิต"
นางหันไปดุน้องชาย "มาคารวะด้วยกันสิ ท่านพี่จ้าน พวกเรายังเป็เด็ก ขอใช้น้ำชาแทนสุรานะเ้าคะ"
"เ้าไปเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาจากใคร" หรงจ้านค่อยๆ สงบอารมณ์
"จอมยุทธ์หญิงในยุทธภพล้วนทำเช่นนี้มิใช่หรือ?" เฉียวเยว่ตอบอย่างจริงจัง
หรงจ้านไม่รู้ว่าเป็เช่นนั้นหรือไม่ แต่เขามองเฉียวเยว่อย่างพิจารณาั้แ่หัวจรดเท้า
แม้จะอายุเพียงเก้าขวบ ดูอย่างไรก็ไม่เกินสิบขวบ แต่ก็ยังสามารถคะเนความพิลาสเฉิดฉันในกาลภายหน้าได้ เป็สาวน้อยที่งดงามเพริศพริ้งอย่างแท้จริง อาจเป็เพราะไปขี่ม้า เรือนผมยาวของนางจึงถูกมัดรวบขึ้นไป แถบรัดผ้าไหมห้อยชายลงมา แลดูน่ารัก นางสวมอาภรณ์สีฟ้าน้ำทะเลขับเสริมให้ความสวยหวาน ดูมีความองอาจสง่างามเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงได้มองอย่างตะลึงลาน
เฉียวเยว่เห็นเขาเหม่อลอย ก็โบกมือไปมา ถามว่า "เป็อะไรไป? ไม่เคยเห็นคนสวย ถึงกับตะลึงงันเลยหรือ?"
หรงจ้านนิ่งไปสักพัก แล้วอมยิ้ม "ใช่ ไม่เคยเห็น ดังนั้นข้าคิดว่ารอเ้าโตก่อนได้"
"เปรี๊ยะ"
ตะเกียบในมือของฉีจือโจวถูกบีบจนหัก มองพวกเขาสองคนอย่างเรียบเฉย "โอ๊ะ ไม่ทันระวัง"
จากนั้นก็มองอวี้อ๋อง "เฉียวเฉียวยังเด็ก ท่านอ๋องอย่าพูดส่งเดชดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ"
อวี้อ๋องทำสีหน้าดั่งได้รับความไม่เป็ธรรม "ข้าก็เด็ก เด็กพูดอย่างไรก็ไม่มีปัญหากระมัง?"
อย่าว่าแต่ฉีจือโจว เฉียวเยว่เองก็ไม่อาจทนกับความหน้าหนาของคนผู้นี้ได้
อ้อ เด็กอายุสิบเก้าสินะ เหอะๆๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้