ฉันว่านะ ไม่ว่าใครก็ต้องมีวันที่มีความ้าแบบนี้สูงเหมือนกันนั่นแหละ
หลังจากได้หวนคืนสู่ยามเย็นอันเงียบสงบเหมือนเมื่อก่อน ฉันก็กลับมาสนใจเสพความ้าทางเพศที่เก็บกดไว้อีกครั้ง
เพื่อไม่ให้รบกวนนายเพื่อนบ้าน ฉันจึงลดเสียงลงให้เบาที่สุด และเลือกที่จะไปทำในห้องนอนที่เป็ส่วนตัวมากกว่า
เมื่อวันเวลาผันผ่าน จากฤดูใบไม้ผลิก็เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน
ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับนายเพื่อนบ้านก็เริ่มกลับมาสงบสุข ส่วนการช่วยตัวเองของแต่ละฝ่ายก็ไม่รบกวนใครอีก
การเผชิญหน้ากันในลิฟต์เป็ครั้งคราวก็ราบรื่นขึ้น และเขาก็ดูจะเต็มใจจะพูดคุยกับฉัน ด้วยทีท่าที่สงบเสงี่ยมมากขึ้นด้วย
แต่ไม่ว่าฉันจะเล่นกับตัวเองหนักแค่ไหน ความรู้สึกแปลก ๆ ที่เหมือนมีผีเสื้อมาบินอยู่ในท้อง หรือเกิดความสับสนทางอารมณ์บางอย่างในใจนั้น ทำให้ฉันรู้สึกโหวงๆ แปลกๆ
ถึงขนาดในคืนที่ฉันเคยรู้สึกเหงาและสิ้นหวังสุดๆ ฉันยังไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลย
หากความปรารถนานี้เปรียบได้กับน้ำในกาน้ำแล้ว คงเป็น้ำที่ไม่อาจเทออกมาจากกาได้อย่างราบรื่น และปล่อยให้ความปรารถนาตกตะกอนอยู่ที่ก้นกา จนมันสะสมกลายเป็กองพะเนินในเวลาที่ค่อยๆ ผ่านไป
วันหนึ่งที่ฉันหมดเรี่ยวแรงจนนอนแผ่หลาอยู่บนเตียง ดวงตาของฉันยังคงสอดส่ายหาบางสิ่ง
เดิมทีฉันตั้งใจจะไม่ปล่อยให้ตัวเองรู้สึกผิด และจะไม่คิดถึงนายเพื่อนบ้านในเวลาแบบนี้... แต่ยามนี้ ฉันยังคงเรียกร้องหาคนที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่ออย่างแ่เบา
“นายเพื่อนบ้าน… ”
ณ ค่ำคืนอันแสนอ้างว้าง เสียงที่ไม่มีใครได้ยินนอกจากฉันพลันหลุดออกมา…
ในที่สุดฉันก็เข้าใจว่า ความรู้สึกที่ยืดเยื้อนี้คืออะไร… มันคือกิเลสส่วนตัวที่้าให้คนสักคนจริงๆ มาเติมเต็ม
หลังจากคิดเื่นี้แล้ว น้ำตาก็เอ่อมาที่ขอบตาเล็กน้อย ฉันเข้าใจชัดเจนว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะแก้ไขได้ง่าย ๆ
ฉันผล็อยหลับไปเร็วกว่าปกติ แต่ก่อนที่จะสะลึมสะลือหลับไป ฉันกลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยอีกครั้ง
ถึงเสียงจะเบามาก… แต่ฉันได้ยินเสียงนั้นจริงๆ
เสียงนั่นต้องเป็เสียงของนายเพื่อนบ้านที่ระบายความกระหาย ทะลุผ่านกำแพงคอนโดระดับไฮเอนด์ที่เก็บเสียงไม่อยู่มาแน่นอน
และแล้วฉันก็เข้าใจว่า นายเพื่อนบ้านเองที่ลดเสียงลงแบบนี้ ก็ไม่ต่างกับฉันที่กลัวจะรบกวนอีกฝ่ายเท่าไร... แต่ตอนนี้ฉันง่วงเหลือเกิน จนเข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด
วันต่อมาฉันพยายามอย่างเต็มที่ที่จะมุ่งความสนใจไปที่การทำงาน แต่พวกรุ่นพี่และศิลปินชายที่เอาแต่ใจตัวเอง กลับมาพาลให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดไปด้วย
ฉันคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนที่จู้จี้จุกจิกมากนัก แต่พวกคนที่อยู่ตรงหน้าฉันเหล่านี้ไม่เคยกระตุ้นความรู้สึกอะไรของฉันได้เลย
ฉันคิดว่าการทุ่มเทให้กับงาน และคอยพึ่งพาของเล่นที่สะสมไว้ จะทำให้สักวันหนึ่งฉันกลับไปเป็เหมือนเดิมได้
อีกอย่างฉันคิดว่าตัวเองจะกำจัดความ้าที่คอยเกาะหนึบนี้ไปได้พักหนึ่ง เห็นได้ชัดว่านี่เป็ความรู้สึกที่ฉันไม่เคยััมาก่อน
แต่แล้วราวกับว่าโชคชะตาเล่นตลกกับฉัน ฉันต้องมาเจอนายเพื่อนบ้านอีกครั้งใน่เวลาที่อึดอัดที่สุด แถมเป็ครั้งแรกที่ฉันเห็นเขาก่อนพระอาทิตย์ตกดินด้วย
เพียงได้เห็นหน้าเขา ฉันที่พยายามสลัดตัวเองออกจากอาการเศร้าๆ นี้ก็รู้ตัวแล้วว่า มันล้มเหลว
และมันยังทำให้ฉันรู้ด้วยว่า ไม่ใช่ว่าฉันอดทนต่ออารมณ์นั้นได้ แต่เพราะไม่มีใครทำให้ฉันรู้สึกแบบนั้นต่างหาก
อยากได้จริงๆ … อยากมีอะไรกับผู้ชายตรงหน้าคนนี้ที่ไม่รู้จักชื่อจริงๆ ...
"……สวัสดีตอนบ่าย"
"อืม สวัสดีตอนบ่าย"
การได้พบเขาหลังจากไม่ได้เจอกันหลายวันก็ทำให้รู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย ฉันจึงทำตัวให้นิ่งที่สุดพร้อมกล่าวทักทาย
ปกติฉันจะชื่นชมใบหน้าด้านข้างเขาอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ฉันไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามอง
“เพิ่งเลิกเรียนเหรอ?”
"อืม"
เมื่อความสัมพันธ์ของเราคลี่คลาย บทสนทนาก็ตึงเครียดน้อยลงและเป็กันเองมากขึ้น
ฉันเดาว่าเขาน่าจะเรียนอยู่ในมหาลัยที่ดีระดับหนึ่ง และเครื่องดื่มชูกำลังที่เขาซื้อในตอนเย็น ก็เหมือนจะเตรียมไว้รับมือกับการบ้านอันหนักหน่วงเป็พิเศษ
ฉันค่อนข้างมั่นใจว่า เขาน่าจะเพิ่งกลับมาจากมหาลัย เพราะยังสะพายกระเป๋าอยู่เลย
การอยู่ในที่แคบๆ เดียวกันกับเขานั้น สร้างดาเมจให้ฉันกว่าที่คิด
ไหนจะกลิ่นเหงื่อของเขาจากแสงอาทิตย์อัสดง ที่ลอยเข้ามากระทบจมูกของฉันเป็ระยะๆ หรือจะหุ่นรูปร่างที่ดูแข็งแกร่ง กับผ้าเช็ดตัวหนาๆ ที่โผล่ออกมาจากกระเป๋าเป้สะพายหลัง ฉันเดาว่าเขามีนิสัยชอบออกกำลังกายทุกวัน
ช่องท้องส่วนล่างของฉันเริ่มขลุกขลักไปมา และความคิดยุ่งเหยิงที่สะสมใน่ไม่กี่วันมานี้ก็ทวีความวุ่นวายมากขึ้น
ฉันมองดูตัวเองในกระจก และรู้ดีว่านั่นคือใบหน้าของ ทาจิบานะ ไอกะ ที่เพิ่งเลิกงาน
ในฐานะไอดอล ทาจิบานะ ไอกะ นั้น ไม่สามารถทำอะไรหลายๆ อย่างได้ ตอนที่เธอย้ายมาที่นี่ครั้งแรก เธอก็เผลอทำเื่ผิดพลาดมานับไม่ถ้วน
...แต่ความร้ายแรงของความผิดพลาดเ่าั้ คงไม่ร้ายแรงเท่าหนึ่งในพันของความผิดพลาดที่ฉันกำลังจะทำ
“นายเพื่อนบ้าน นายยังโสดอยู่มั้ย?”
“...ทำไม?”
"ฉันโสด"
ฉันพยายามสงบสติอารมณ์ และแสดงจุดยืนอันแน่วแน่ของตัวเองทุกคำพูด
ฉันแค่กลัวจับใจว่าหากสิ่งที่ฉัน้าแสดงออกมาเบี่ยงเบนไป ฉันจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีก
"ฉันอะนะ… รู้สึกเหงาั้แ่มาอยู่ที่โตเกียวแล้วละ"
ฉันเงยหน้าขึ้น และสบตาเข้ากับเขาในกระจก
“ถ้านายรู้สึกเหงาเหมือนกัน งั้นเราน่าจะช่วยกันและกันได้นะ”
ทันใดที่ประตูลิฟต์เปิดออก ฉันก็ก้าวเท้าออกเร็วกว่าเขามาก
รองเท้าแมรีเจนแบบเดียวกับวันก่อนๆ ดังก้องไปทั่วทั้งชั้น
แต่จุดที่ฉันหยุดอยู่นั้น ไม่ใช่หน้าประตูของฉันเอง ฉันกำลังยืนเชิดหน้าอยู่ที่ประตูห้องของนายเพื่อนบ้าน และหันกลับมามองเขาที่ยืนอยู่ข้างหลังด้วยท่าทีลังเลหน่อยๆ
"ถ้านายเข้าใจสิ่งที่ฉัน้าจะสื่อ และเต็มใจที่จะยอมรับคำขอของฉันละก็… ก็เชิญฉันเข้าไปในห้องของนายซะสิ?"
เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่จนฉันได้ยิน และดวงตาของเขาก็ดูสับสนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา
แต่แววตาแห่งความประหม่านี้กับบุคลิกที่ค่อนข้างน่ารำคาญของเขา อ่า… นี่มันสเปกของฉันจริงๆ
นี่มันมุทะลุเกินไปแล้ว แต่ฉันไม่อาจหยุดความ้าที่สะสมมาใน่ไม่เดือนที่ผ่านมานี้ด้วยเหตุผลอีกแล้ว
ไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะอาจหาญขนาดนี้ หรือบางทีฉันอาจจะสูญเสียท่าทีที่สำรวมไปแล้ว ั้แ่ที่ได้โต้เถียงกับเขา…
ฉันคิดแพลนไว้แล้วว่า หากเขาไล่ตะเพิดหรือปฏิเสธฉัน ฉันก็พร้อมหาข้ออ้างให้คุณซาเอกุสะซังอนุญาตให้ฉันย้ายออก
หัวใจของฉันยังเต้นระส่ำระสายไม่หยุด จนกระทั่งเขาหยิบกุญแจออกมาเปิดประตูห้องของเขา
"… เข้ามาสิ"
การเชื้อเชิญอันเรียบง่ายและไม่ไยดีนี้ ทำให้ฉันรู้สึกโล่ง จนแทบจะเดินไม่ออก
แต่ฉันพยายามตั้งสติอีกครั้ง และไม่ว่ายังไงก็ตาม ฉันต้องหาทางเข้าไปในห้องของเขาให้ได้ ก่อนที่เรี่ยวแรงจะหายไปมากกว่านี้
"ขอบคุณนะ… "
ฉันเดินตามเขาเข้าไปในโถงทางเข้า และทันใดที่ประตูเหล็กปิดล็อกดังกริ๊ก ฉันที่ยังไม่ถอดรองเท้า ก็อดใจไม่ไหวที่จะพุ่งตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของเขา และโยนกระเป๋าในมือลงไปบนตู้รองเท้า
แม้ฉันจะทำให้เขาเสียสมดุลเล็กน้อย แต่เขาก็เอื้อมมือออกมาอย่างรวดเร็วและโอบฉันไว้ เขาคอยประคองให้แน่ใจว่าเราทั้งสองยืนอย่างมั่นคง
กลิ่นตัวบนอกของเขาแรงกว่าตอนที่อยู่ในลิฟต์เสียอีก หลังจากที่ฉันหายใจเข้าไปเบาๆ ครั้งหนึ่ง ฉันก็เงยหน้าขึ้นมาปะทะกับใบหน้าเขาตรงๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้