ฟางซื่อและอวิ๋นโส่วจงมิได้มองข้ามความคิดเห็นของอวิ๋นเจียวเพียงเพราะนางยังเด็ก
คนนอกอาจไม่รู้ แต่คนเฉลียวฉลาดอย่างฉู่อี้กลับััได้ว่าการกระทำของครอบครัวนี้ล้วนให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของอวิ๋นเจียวเป็อันดับแรก
แม้ฉู่อี้จะพยายามเกลี้ยกล่อมเพียงใดแต่คนตระกูลอวิ๋นก็ยืนกรานที่จะไม่จากไป ฉู่อี้จึงมิได้เกลี้ยกล่อมต่อ เพียงแต่สั่งให้จางหลิงนำกำลังพลไปตั้งค่ายอยู่ห่างออกไปร้อยก้าว
หลังจากจัดหาที่พักให้คนตระกูลอวิ๋นเรียบร้อยแล้ว ฉู่อี้จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเ็าแฝงไปด้วยอำนาจ “พวกเ้าลุกขึ้นเถิด เื่ที่นี่ข้าจะกราบทูลฝ่าาตามความเป็จริง”
เช่นนี้แล้วพวกเขาจะกล้าลุกขึ้นได้อย่างไร พวกเขามีตำแหน่งเป็เพียงขุนนางขั้นเจ็ด ขณะที่ท่านโหวผู้นี้กลับเอ่ยปากว่าจะกราบทูลฝ่าา
ทั้งสองคนใจนแทบสิ้นสติ ฉู่อี้มิได้ปรายตามองพวกเขาด้วยซ้ำ เพียงโบกมืออย่างเบื่อหน่าย เป็สัญญาณให้ทหารด้านล่างพาตัวทั้งสองคนออกไป
ไม่นานนัก หลังจากทั้งสองคนตั้งสติได้ก็รีบจากไปทันที ตกดึกทั้งสองคนก็กลับมาอีกครั้ง ครั้งนี้พวกเขาตรงไปที่กระโจมของฉู่อี้
หลังจากพวกเขาจากไปแล้ว ฉู่อี้มองหีบสมบัติสองหีบที่เต็มไปด้วยทองคำและอัญมณีล้ำค่า ตลอดจนตั๋วเงินอีกสองกล่อง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็า “ไม่คิดจะส่งหมอมา ไม่คิดหาวิธีควบคุมโรคระบาด ทั้งยังไม่คิดจัดหาเสบียงอาหารและยารักษาโรค แต่เงินทองที่นำมามอบเป็สินบนกลับไม่น้อย!”
เซี่ยโหวถอนหายใจ “เฮ้อ… ยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้คนก็เปลี่ยนแปลง ชีวิตของชาวบ้านยากลำบากขึ้นทุกวัน”
จางหลิงเอ่ยด้วยความโกรธแค้น “ข้าว่าพวกมันคงอยากให้ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ตายด้วยโรคระบาดจนหมดสิ้น จากนั้นก็เผาหมู่บ้านทิ้ง แล้วฮุบเงินช่วยเหลือจากราชสำนัก”
ฉู่อี้ชี้ไปที่หีบสมบัติและตั๋วเงินสองกล่องพลางกล่าวกับเซี่ยโหวว่า “ท่านนำของพวกนี้ไปแลกเป็ตั๋วเงินทั้งหมด รอจนควบคุมโรคระบาดได้แล้วค่อยแอบนำเงินส่วนหนึ่งไปสร้างหมู่บ้านขึ้นมาใหม่”
เซี่ยโหวขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ขอรับ ท่านโหว”
“ท่านโหว แล้วจะจัดการกับคนสองคนนั้นอย่างไรขอรับ?”
ท่านโหวฉู่อี้ถอนหายใจ “เื่นี้ข้าออกหน้าไปมากแล้ว ฝ่าาคงไม่พอใจที่ข้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการปกครองของท้องถิ่นเป็แน่”
จางหลิงไม่ยินยอมแต่เขาก็รู้ดีว่าท่านโหวของเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร
เด็กหนุ่มวัยเพียงสิบกว่าปีไม่เพียงแต่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากแผนร้ายในตระกูลเท่านั้น แต่ยังต้องแบกรับเกียรติของตระกูลเอาไว้... ในใจพลันรู้สึกสงสารท่านโหวน้อยของตนจับใจ
“ท่านโหว คุณหนูอวิ๋นมาขอรับ”
ได้ยินเสียงรายงานจากทหารด้านนอกกระโจมใบหน้าเ็าของฉู่อี้ก็พลันอ่อนโยนลงเล็กน้อย เมื่อเห็นเช่นนั้นจางหลิงและเซี่ยโหวจึงรีบขอตัวออกไปทันที
“เชิญเข้ามา” กล่าวจบ ฉู่อี้ก็รีบเดินออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง
“น้องเจียวเอ๋อร์ เชิญเข้ามานั่งข้างในก่อน”
ภายในกระโจมมีกลิ่นของยาฆ่าเชื้อคละคลุ้ง อวิ๋นเจียวรู้สึกพอใจเป็อย่างยิ่ง ดูท่าฉู่อี้จะเป็คนรอบคอบไม่น้อย
“วันนี้ต้องขอบคุณท่านมาก หากไม่ใช่เพราะท่าน ข้ากับท่านพ่อท่านแม่คงแย่แน่เ้าค่ะ”
ไม่ใช่เื่แย่หรือ พบเจอกับโรคระบาด แต่ทางการกลับแค่ล้อมพื้นที่ไว้โดยไม่ช่วยเหลือ แม้อวิ๋นโส่วจงและฟางซื่อไม่เอ่ยปาก แต่อวิ๋นเจียวก็รู้ดีว่าแผนการของพวกเขาคืออะไร
นางมิใช่เด็กน้อยอายุหกขวบจริงๆ หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในสังคมแห่งการทำงานมาหลายปี นางย่อมรู้ดีว่าเื้ัเื่นี้ซ่อนความลับอันดำมืดเอาไว้มากมาย
ภายใต้ท่าทางสงบนิ่งนั้นแท้จริงแล้วนางหวาดกลัวจนหัวใจแทบหยุดเต้น อวิ๋นเจียวรู้สึกขอบคุณฉู่อี้จากใจจริง
ส่วนเื่ยาพวกนั้น หากฉู่อี้ไม่มา นางจะยอมนำออกมาหรือไม่? แต่หากนางนำออกมาความลับของนางก็จะถูกเปิดเผย หากผู้ไม่หวังดีล่วงรู้เข้า นางคงต้องพบเจอกับหายนะอย่างแน่นอน
“น้องเจียวเอ๋อร์ ต่อไปนี้อย่านำยาของเ้าออกมาง่ายๆ... แม้คุณธรรมของนักพรตเขาหลงหู่จะเป็ที่เลื่องลือ แต่พวกเขาก็มิสนใจเื่ทางโลก ไม่อยากถูกรบกวนจากผู้คนภายนอก” ฉู่อี้กำลังเตือนนางอย่างอ้อมๆ
อวิ๋นเจียวใจนหัวใจเต้นรัว ฉู่อี้... เขาสงสัยนางหรือ? ไม่ว่าอย่างไร นางก็แค่ไม่ยอมรับ ในเมื่อเขาเอ่ยปากเช่นนี้ คิดว่าก็คงช่วยนางปกปิดความลับเป็แน่
นางไม่อยากให้บิดามารดามาเกี่ยวข้องกับความลับนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ฉู่อี้ก็ไม่รู้ว่านางได้ยาจากนักพรตบนูเาหลงหู่มามากน้อยเพียงใด การมาของเขาในครั้งนี้ช่วยให้นางหลุดพ้นจากปัญหาใหญ่หลวงไปได้
นางครุ่นคิดเื่นี้อย่างหนักจนกระทั่งฉู่อี้จูงมือนางไปนั่งลงโดยไม่รู้ตัว “ส่วนเื่ขอบคุณ… หากไม่มีครอบครัวพวกเ้า คงไม่มีข้าในวันนี้” กล่าวจบสีหน้าของเขาก็พลันเศร้าหมอง
เมื่อนึกถึงวิธีการอันชั่วช้าของสองคนนั้นในครอบครัว แม้เขาตายไปแล้วก็ยังไม่สาแก่ใจ ยังคิดจะทำลายดวงิญญาของเขาอีก...
อวิ๋นเจียวััได้ถึงความเ็าที่แผ่ออกมาจากร่างของฉู่อี้ นางจึงได้สติกลับมา นางมองใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา ภาพในวันนั้นที่นางเห็นเขาบนูเา ร่างกายเปรอะเปื้อนไปด้วยเืและหมดสติไปปรากฏขึ้นในห้วงความคิด
เด็กหนุ่มวัยเพียงสิบสองปีผู้นี้ เขาต้องแบกรับอะไรเอาไว้มากมายเพียงใดกันแน่? มองดูแล้วช่างน่าสงสารนัก
เมื่อััได้ถึงสายตาของอวิ๋นเจียว ฉู่อี้ก็พลันรู้สึกตัวว่าตนเองเผลอแสดงความอ่อนแอออกมาต่อหน้าคนนอก นี่นับว่าเป็ครั้งแรก
“ขออภัย ข้า...”
อวิ๋นเจียวเผยรอยยิ้มหวานละมุนพลางเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าท่านกำลังนึกถึงเื่ไม่ดีในอดีต แต่อดีตก็คืออดีต อย่าเก็บเอามาใส่ใจเลย เวลาช่างยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็เชื้อพระวงศ์ ขุนนาง หรือชาวบ้าน ล้วนต้องใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ”
“ฉะนั้นมีความสุขก็หนึ่งวัน ไม่มีความสุขก็หนึ่งวัน เหตุใดพวกเราถึงไม่หาความสุขใส่ตัวเล่า? หากท่านเอาแต่เศร้าเสียใจก็เท่ากับทำให้คนที่รอซ้ำเติมท่านมีความสุข ไปกันเถิด ข้าตั้งใจมาชวนท่านไปกินหม้อไฟเ้าค่ะ”
นี่คงเรียกว่า ยิ้มสู้ท่ามกลางความยากลำบากกระมัง
“หม้อไฟหรือ?”
ดวงตาของฉู่อี้เป็ประกาย แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าครอบครัวอวิ๋นคิดค้นวิธีการกินแบบใหม่ขึ้นมา
วันนั้นองครักษ์ที่กลับมารายงานเขากลืนน้ำลายลงคอขณะรายงาน องครักษ์ที่สุขุมมาหลายปี เพียงเพราะเห็นคนอื่นกินหม้อไฟก็ถึงกับเสียกิริยาเช่นนี้ต่อหน้าเขา ฉู่อี้รู้สึกตื่นเต้นกับหม้อไฟเป็อย่างมาก
อวิ๋นเจียวพยักหน้ายิ้มๆ “ใช่แล้วเ้าค่ะ หม้อไฟ เป็อาหารที่ทำให้คนเรามีความสุข”
ฉู่อี้รู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น “เช่นนั้นข้าขอรับคำเชิญ”
กระโจมของทั้งสองอยู่ไม่ไกลกันนัก พวกเขาพึ่งจะเดินออกมาฉู่อี้ก็ได้กลิ่นหอมโชยมาแต่ไกล
“ท่านโหว!” เมื่อเห็นฉู่อี้และอวิ๋นเจียวเดินออกมา ฟางซื่อและอวิ๋นโส่วจงจึงรีบคำนับฉู่อี้
นี่เป็สาเหตุที่ฉู่อี้ไม่้าเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตนต่อหน้าคนตระกูลอวิ๋น เพราะธรรมเนียมปฏิบัติเหล่านี้จะทำให้ระยะห่างระหว่างคนเรานั้นห่างเหินกันมากยิ่งขึ้น
“ท่านลุง ท่านป้า ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้” ฉู่อี้รีบเข้าไปประคองอวิ๋นโส่วจงและฟางซื่อให้ลุกขึ้น
เดิมทีสองสามีภรรยายังคงระแวดระวังฉู่อี้อยู่บ้าง แต่หลังจากเผชิญกับโรคระบาดครั้งนี้ หากไม่ใช่เพราะฉู่อี้ออกหน้าช่วย... พวกเขาก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้พวกเขารู้สึกสับสนกับฉู่อี้เป็อย่างมาก
“เชิญท่านโหวนั่งก่อนขอรับ”
ฉู่อี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความขมขื่น “ท่านลุงเรียกข้าว่าเซ่าชิง [1] ก็ได้ ท่านกับท่านป้าก็ถือว่าข้าเป็หลานชายคนหนึ่งเถิด อย่างไรเสียข้าก็ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน”
เจิ้นหย่วนโหว ฉู่อี้ อายุสิบสองปี สูญเสียมารดาไปั้แ่อายุสองขวบ บิดาแต่งงานใหม่ ตอนเขาอายุได้หกขวบบิดานำทัพออกไปรบขับไล่ชนเผ่าต๋าจื่อ [2] จนได้รับชัยชนะกลับมาแต่กลับเกิดอาการประสาทหลอนจนกลายเป็บ้า
ฉู่อี้ต้องเผชิญหน้ากับการไล่ล่าั้แ่อายุยังน้อย เขาต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากแผนการร้ายในจวนโหวมาอย่างยากลำบาก และพลิกสถานการณ์จนกลายเป็ท่านโหวที่อายุน้อยที่สุดในราชวงศ์นี้ ช่างเป็ชีวิตที่น่าเห็นใจ... แต่ก็ลึกลับเกินคาดเดา
ด้านนอกกระโจมของตระกูลอวิ๋นมีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ ของพวกนี้ล้วนเป็ของที่คนของฉู่อี้ไปจัดหามาให้ ท่านโหวสั่งให้เขาดูแลคนตระกูลอวิ๋นเป็อย่างดี จางหลิงเองรู้ดีว่าท่านโหวให้ความสำคัญกับตระกูลอวิ๋นมากเพียงใด แน่นอนว่าเขาต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ไม่มีขาดตกบกพร่อง
บนโต๊ะมีหม้อรูปร่างแปลกตาอยู่ใบหนึ่ง ตรงกลางหม้อมีปล่องไฟกั้นแบ่งน้ำแกงออกเป็สองฝั่ง ฝั่งหนึ่งสีแดง ส่วนอีกฝั่งสีขาว น้ำแกงทั้งสองสีเดือดปุดๆ อยู่ในหม้อ ดูราวกับสัญลักษณ์หยินหยาง
เชิงอรรถ
[1] เซ่าชิง (少卿) ในสมัยโบราณใช้เรียกขุนนางตำแหน่งรองราชเลขาธิการฝ่ายซ้ายหรือขวา หรือใช้เรียกบุตรชายของขุนนางชั้นสูง
[2] ชนเผ่าต๋าจื่อ (鞑子) ชนกลุ่มหนึ่งที่มักอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของจีน โดยเฉพาะกลุ่มชนเผ่าเร่ร่อนอย่างชาวมองโกล