เื่ที่อำเภออานอวิ๋นเกิดโรคระบาดขึ้นได้แพร่ไปทั่ว เสี้ยวเหวินตี้จึงมีพระบัญชาให้ทุกคนกลับเมืองหลวงในวันนั้นเลย เขานำขบวนขี่ม้าเดินทางกลับ ส่วนบรรดาขุนนางและสตรีทั้งหลายที่ขี่ม้าไม่เป็ก็ได้แต่ติดตามกลับด้วยรถม้า
อวิ๋นซีให้เว่ยหลานและองครักษ์อีกนับสิบคอยอยู่คุ้มครองกลุ่มหวานหว่าน เชี่ยนเอ๋อร์ และหลิ่วหว่านหรง ส่วนตัวนางขี่ม้ากลับเมืองหลวงไปพร้อมขบวนเสี้ยวเหวินตี้ ตลอดทางนั้นนางได้แต่งกายเป็ชายโดยที่ไม่มีใครทราบ
พวกเขาเร่งรุดเดินทางกันทั้งคืนจนมาถึงเมืองหลวงตอนสิ้นยามเฉินของวันที่สองของการเดินทาง เสี้ยวเหวินตี้ไม่ได้พักผ่อนต่อ เขาเรียกขุนนางขั้นสองขึ้นไปทั้งหมดมาร่วมปรึกษาหารือเื่โรคระบาดในครั้งนี้ที่ตำหนักจินหลวน ขณะที่โอรสทั้งห้าของเขา นอกจากรัชทายาที่าเ็จนต้องตามกลับมาพร้อมขบวนใหญ่แล้ว โอรสอีกสี่คนที่เหลือต่างก็มากันพร้อมเพรียง
เมื่ออวิ๋นซีกลับมาถึงเมืองหลวง นางไม่ได้ตรงกลับไปยังจวนหนิงอ๋องทันที แต่แวะไปที่หอรุ่งอรุณ เมื่อเข้าไปก็เห็นหลิงอีกำลังรอนางอยู่ เขารินชาให้นางด้วยตนเอง จากนั้นจึงพูดขึ้น “หนึ่งชั่วยามก่อนทางอำเภออานอวิ๋นได้ส่งข่าวมาอีกครั้ง เมื่อคืนจำนวนคนตายมีเกือบถึงร้อย หมู่บ้านและอำเภอใกล้เคียงเองก็เริ่มพบผู้เสียชีวิตแล้ว หากรวมกับจำนวนผู้เสียชีวิตของอวี่โจวและเมืองเฟิงไปด้วย เมื่อวานก็มีคนตายไปทั้งสิ้นหนึ่งร้อยห้าสิบกว่าศพ ส่วนคนที่ติดโรคระบาดไปแล้ว ก็ยิ่งไม่รู้ว่ามีเท่าไร”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็สูดลมหายใจเข้าลึก หว่างคิ้วนางมีความกังวลน้อยๆ ประดับอยู่ เมืองเฟิงหรือ? พี่รอง พี่สะใภ้รองของนาง และหลานชายทั้งสองต่างก็อยู่กันที่เมืองเฟิง พวกเขาล้วนเป็สายเืเดียวที่หลงเหลืออยู่ของตระกูลเฉียว ไม่ว่าอย่างไรก็จะให้เกิดเื่ขึ้นกับพวกเขาไม่ได้
คิดถึงตรงนี้ ในสายตานางมีความแน่วแน่ขึ้นหลายส่วน นางพูดกับหลิงอี “จดหมายที่ข้าให้คนส่งมาให้เ้าเมื่อวาน ได้ดูหรือยัง? ”
หลิงอีพยักหน้า “สั่งการให้คนไปจัดเตรียมแล้ว เพียงแต่ของเหล่านี้ ท่านว่าจะมีประโยชน์จริงๆ น่ะหรือ? ” เมื่อนึกถึงของจำพวกเกลือและน้ำตาลที่เมื่อวานนางให้เขาช่วยจัดเตรียม หลิงอีก็อดถามด้วยความกังวลไม่ได้
อวิ๋นซีลุกยืน มองออกไปยังท้องถนนที่คร่าคร่ำไปด้วยผู้คนที่อยู่ไม่ไกล ที่นี่ยังคงคึกคักเหมือนเช่นเคย แต่ใครจะรู้ ห่างจากที่นี่ออกไปไม่กี่ร้อยลี้กลับมีคนมากมายเพียงใดกำลังทุกข์ทรมานอยู่ นางถอนใจ “ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก เพียงแต่กันไว้ก่อนก็เท่านั้น”
อวิ๋นซีจำได้ว่า เมื่อก่อนสมัยที่นางเรียนแพทย์อยู่ ศาสตราจารย์เคยพูดถึงโรคระบาดใหญ่ทั้งสี่ ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่สเปน กาฬโรค ไข้ทรพิษ และโรคเอดส์ ในตอนหลังเพื่อจะได้เข้าใจในเื่โรคระบาดใหญ่ทั้งสี่นี้ให้มากขึ้น นางจึงได้ไปสืบค้นข้อมูลมาไม่น้อย
อวิ๋นซีได้ยินจวินเหยียนพูดถึงลักษณะอาการของคนเ่าั้ นางจึงตั้งข้อสังเกตขั้นต้นว่า พวกคนที่ติดเชื้อในเมืองเฟิงและอวี่โจวอาจป่วยเป็โรคระบาดอย่างกาฬโรค หรือก็คือโรคระบาดหนู [1] ในตำนานนั่นเอง ทั้งยังจำได้ว่าในหนังสือมีบันทึกไว้ โรคระบาดหนูนี้นับเป็โรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ อีกทั้ง ข้อมูลจากเอกสารที่นางสืบค้นในตอนนั้นยังได้สนับสนุนคำกล่าวนี้ ซึ่งพบว่า ั้แ่ที่โรคระบาดหนูถูกบันทึกไว้จนถึงตอนนี้ คนที่ป่วยตายไปมีมากถึงสองร้อยล้านคน และได้แพร่ไปทั่วทั้งโลกมาหลายร้อยปีแล้ว ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงโรคระบาดนี้ได้
คิดถึงตรงนี้ นางก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดต่อ “นอกจากของเหล่านี้แล้วก็ให้คนไปซื้อหินเหล็กไฟและข้าวเตรียมเผื่อไว้ด้วย ขอแค่เป็ของที่ใช้ได้ก็ให้คนเตรียมไว้ โดยเฉพาะยารักษาโรคที่ยิ่งจะขาดไม่ได้ วันพรุ่งนี้ของที่ข้าสั่งทั้งหมด ข้าต้องได้เห็น...”
หลิงอีเอ่ยถามด้วยความสงสัย “พระชายา จะเสด็จไปเขตโรคระบาดด้วยพระองค์เอง? ”
อวิ๋นซีไม่ตอบ เพียงพูดเรียบๆ “จัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้เรียบร้อยแล้วส่งไปที่เขตนอกเมืองเมืองเฟิงให้หมด”
หลิงอีมองเงาหลังของนาง แม้ใจจะยังคิดอยากพูดอะไร แต่สุดท้ายกลับไม่ได้พูด เขารู้จักอวิ๋นซีมาหลายปีย่อมรู้ดีว่า นางไม่ใช่คนที่จะถูกโน้มน้าวได้ง่าย จึงได้แต่หวังว่า หนิงอ๋องจะสามารถรั้งคนไว้ได้
อวิ๋นซีไม่รู้ความคิดของหลิงอี สิ่งที่นาง้าในตอนนี้นั้นง่ายมาก นั่นก็คือ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเดินทางไปเมืองเฟิง หากเป็โรคระบาดหนูจริงก็ยิ่งต้องเร่งแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด ตอนนี้เพียงนางนึกถึงเื่ที่เกี่ยวกับโรคระบาดใหญ่ทั้งสี่ในหัวเซี่ย [2] ที่เคยถูกบันทึกไว้ก็อดไม่ได้ให้รู้สึกใจสั่น
นางจำได้ว่า ในหน้าประวัติศาสตร์ทุกๆ ครั้งที่เกิดการระบาดใหญ่ของโรคระบาดหนูขึ้น จำนวนผู้เสียชีวิตก็ล้วนสูงจนน่าใ อีกทั้งบริเวณที่ระบาดก็กว้างมาก แพร่กระจายไปหลายพื้นที่ ด้วยเหตุนี้ นางจึงไม่กล้ารับประกัน หากไม่รีบคิดหาวิธีจัดการกับโรคระบาดร้ายแรงนี้ให้หยุดชะงัก ทางฝั่งเมืองหลวงก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยใช่หรือไม่
อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้กลับไปจวนอ๋อง เมื่อออกจากหอรุ่งอรุณก็ไปยังเรือนแห่งหนึ่งที่ซื้อไว้ในนามตนเองเพื่อเปลี่ยนเป็อาภรณ์สตรี จากนั้นก็นั่งรถม้าออกไปทางประตูหลัง เพื่อเข้าวัง ถึงกระนั้นนางก็มีป้ายคำสั่งที่สามารถเข้าออกวังหลวงได้โดยไม่ต้องแจ้งก่อน และเมื่อสอบถามถึงที่ประทับของเสี้ยวเหวินตี้จนรู้ชัด นางก็มุ่งหน้าไปยังห้องทรงพระอักษรทันที
ยามนี้ในห้องทรงพระอักษรเหลืออยู่แค่โอรสของเสี้ยวเหวินตี้ คนของราชวงศ์อีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงใต้เท้าเสนาบดี และเก๋อเหล่าอีกสองสามท่าน ขณะนั้นเสี้ยวเหวินตี้ได้รู้จากถงไห่ว่า อวิ๋นซีมารอขอเข้าเฝ้าอยู่ด้านนอก เขาประหลาดใจก่อน จากนั้นจึงเสมองไปทางจวินเหยียนที่ยืนอยู่ด้านล่างทีหนึ่ง
เขาพูดว่า “ให้เข้ามา”
ยามที่จวินเหยียนเห็นภรรยาในอาภรณ์ยาวสีฟ้าราวกับสีของน้ำในแม่น้ำมาปรากฏกายตรงหน้าก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ในใจเขามีลางสังหรณ์ไม่ดี การที่สตรีไม่เชื่อฟังนางนี้มาปรากฏกายอยู่ที่นี่ย่อมต้องไม่ใช่เื่ดีแน่
บรรดาขุนนางใหญ่เห็นชายาหนิงอ๋องมาปรากฏกายในห้องทรงพระอักษรยามนี้ต่างก็อึ้งไปเช่นกัน ขณะที่ในดวงตาหลักแหลมคู่นั้นของหลิ่วเก๋อเหล่ายามได้มองไปทางอวิ๋นซีกลับปรากฏแววขบคิดอยู่หลายส่วน
อวิ๋นซีไม่ได้สนใจสายตาหลายคู่ที่กำลังจับจ้อง รวมถึงสายตาเกรี้ยวกราดของสามีที่นางเองก็เมินเฉยโดยสิ้นเชิง นางเดินเข้าไป ยอบกายคารวะตรงหน้าพระแท่น “หม่อมฉันอวิ๋นซี ถวายบังคมเสด็จพ่อเพคะ”
เสี้ยวเหวินตี้โบกๆ มือ เอ่ยถาม “ลุกขึ้นเถอะ ยามนี้แล้วยังไม่กลับไปดูแลฉางรุ่ยฉางฮว๋ายอีก มาที่นี่ทำอันใด? ”
อวิ๋นซีจดจ้องเสี้ยวเหวินตี้ พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เสด็จพ่อเพคะ หม่อมฉันรู้เื่ที่เกิดขึ้นในเมืองเฟิงและอวี่โจวแล้วเพคะ หม่อมฉันมาที่นี่ก็เพื่ออยากจะขอร้องเสด็จพ่อ ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้หม่อมฉันเดินทางไปอำเภออานอวิ๋นเพคะ”
เสี้ยวเหวินตี้ได้ยินเช่นนั้นก็พูดตอบเสียงกริ้ว “เหลวไหล! เขตโรคระบาดเป็สถานที่ที่ให้สตรีเช่นเ้าไปได้หรือ ต่อให้เ้าจะไม่คิดถึงตัวเอง อย่างน้อยๆ ก็ควรจะคิดถึงลูกทั้งสามที่อยู่ในจวนและสวามีของตนบ้าง”
มารดาของหลานสาวและหลานชายทั้งสามของเขาเปรียบเป็ดั่งชีวิตของลูกชายตน หากเขายอมให้นางไปเขตโรคระบาดจริงๆ แล้วเกิดเื่ที่ไม่คาดคิดขึ้น เขาจะไม่ถูกลูกชายและบรรดาหลานชายหลานสาวโกรธเคืองหรอกหรือ
ดังนั้น เพื่อลูกชายและหลานๆ แล้ว อวิ๋นซีจะไปเขตโรคระบาดไม่ได้
อวิ๋นซีคุกเข่าลงทันที “เสด็จพ่อ ยามที่อวิ๋นซีติดตามเรียนวิชาแพทย์กับบิดา ในใจก็มีปณิธานเพียงหนึ่ง นั่นก็คือ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องช่วยให้เหล่าคนที่ทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บไข้ได้รับการรักษา ต่อให้ยามนี้หม่อมฉันจะกลายเป็แม่คนแล้ว แต่ปณิธานที่เคยมียังคงไม่เปลี่ยนแปลง อีกทั้ง ตอนที่หม่อมฉันยังไม่ได้ออกเรือน เคยมีโอกาสได้อ่านตำราเกี่ยวกับโรคระบาดมามากมาย ในยามที่ยังอยู่ในหานโจว บิดาก็เคยต้อนรับนักบวชาุโจากซีอวี้ เขาได้สอบถามเื่มากมายเกี่ยวกับโลกภายนอก นักบวชาุโพูดไว้ว่า ยามที่เขายังเป็แค่สามเณรน้อย เขาเคยออกบำเพ็ญตน เดินทางไปโพ้นทะเล ทั้งยังเคยได้ประสบกับโรคระบาดจากแถบโพ้นทะเลมาครั้งหนึ่ง โรคระบาดครั้งนั้นเกือบจะทำลายคนทั้งแว่นแคว้นกว่าสิบล้านคน ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็มีแต่ศพที่กองสูงเป็ูเา ทุกหย่อมหญ้าล้วนเต็มไปด้วยเงามืดที่มาพร้อมกับโรคระบาด”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] โรคระบาดหนู(鼠疫)อีกชื่อหนึ่งของกาฬโรค เนื่องจากเป็โรคที่ติดต่อจากสัตว์สู่คน
[2] หัวเซี่ย(华夏)คำเรียกประเทศจีนในภาษาโบราณ