“จอมดาบฉู่ซีฟง!” อินซานโจ๋วกล่าวเสียงต่ำ “แม้แต่เ้าก็จะทำเื่เหลวไหลเหมือนเ้าเด็กนั่นรึ?”
แม้จะรู้สึกเกรงขามในฝีมือของฉู่ซีฟงแต่อินซานโจ๋วก็หาได้หวั่นใจหากต้องสู้กับเขา เขามีพลังอยู่ในระดับปราบิญญามานานกว่าสามสิบปีแล้วนอกจากนักรบแห่งดาราจักร ก็ยากนักที่ใครจะมาเป็คู่ต่อสู้ของเขาได้แต่ฉู่ซีฟงมีฐานะที่ไม่ธรรมดาการทำร้ายซูฉางอันถือเป็การอบรมสั่งสอนคนรุ่นหลังเท่านั้นแต่ฉู่ซีฟงเป็อาจารย์ของสำนักเทียนหลาน หากพวกเขาลงไม้ลงมือกันล่ะก็นั่นจะเท่ากับว่าสำนักปาฮวงกับเทียนหลานเปิดศึกต่อกันอย่างแท้จริง
ตอนนี้สำนักเทียนหลานมีอวี้เหิงคอยพยุงอยู่เพียงคนเดียวหากต้องสู้กันจริงๆ สำนักปาฮวงก็ไม่จำเป็ต้องหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อยทว่าไม่ได้มีเพียงสำนักปาฮวงแห่งเดียวเท่านั้นที่จ้องจะชิงตำแหน่งสำนักอันดับหนึ่งมาครองไม่รู้ว่ามีคนอีกตั้งเท่าไหร่ที่ลอบจับตามองพวกเขารอให้สำนักปาฮวงกับเทียนหลานต่อสู้กันเองเพื่อที่คนเ่าั้จะได้หาประโยชน์เข้าตัวได้
ดังนั้นอินซานโจ๋วจึงเก็บกลั้นโทสะในใจเอาไว้ และยอมถอยให้อีกครั้ง
“ศิษย์คนหนึ่งเพียง้าจะปกป้องเกียรติยศของอาจารย์ผู้ล่วงลับจากไปเท่านั้นจะเหลวไหลได้ยังไง?” ฉู่ซีฟงส่ายหน้าพลางกล่าว
“เช่นนั้นความหมายของเ้าก็คือต้องสู้กันให้จงได้ใช่หรือไม่?” อินซานโจ๋วเปลี่ยนฝ่ามือเป็กรงเล็บพลันพลังที่เย็นะเืก็กระจายออกมาจากร่างของเขาในพริบตามันเป็พลังที่แข็งแกร่งมากกว่าพลังที่กดร่างของซูฉางอันเอาไว้เมื่อครู่เป็หลายร้อยเท่าเลยทีเดียว
โบราณว่าไว้แม้แต่หุ่นปั้นก็ยังโกรธเป็เลย เขาอดทนเพื่อหน้าตาของสำนักปาฮวงมานานเกินไปแล้วในเมื่อฉู่ซีฟงกับซูฉางอันไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเหมือนกันทั้งคู่ เช่นนั้นเขาก็ไม่อยากพูดอะไรให้มากความอีก คงต้องตัดสินกันที่ฝีมือแล้ว
แต่คิดไม่ถึงว่าฉู่ซีฟงจะส่ายหัว “ไม่สู้”
อินซานโจ๋วชะงักนิ่งไป จู่ๆเขาก็ประกายรอยยิ้มบางๆ ออกมา “ในเมื่อไม่อยากสู้เช่นนั้นก็ให้เ้าเด็กนั่นออกมาขอโทษต่อสำนักปาฮวงเสียแล้วเื่นี้จะจบลงเพียงเท่านี้...”
ยังไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวจนจบประโยคจู่ๆ ก็มีลำแสงเย็นเฉียบประกายขึ้นตรงหน้า อินซานโจ๋วรู้สึกชาที่ท่อนแขนรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างถูกดีดขึ้นไปในอากาศ ชายชราจึงแหงนหน้าขึ้นมองและเบิกตากว้างในวินาทีต่อมา
สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาเป็แขนท่อนหนึ่งช่างแลดูคุ้นตาเสียจริง แต่ก็คิดไม่ออกเสียทีว่าเคยเห็นมันที่ไหน
เสียงร้องอุทานที่ดังจนแสบแก้วหูะเิขึ้นภายในห้องโถง
อินซานโจ๋วมองไปที่แขนข้างซ้ายของตัวเองจึงพบว่าบริเวณที่ควรจะมีแขนอยู่ บัดนี้กลับเหลือเพียงความว่างเปล่า ในตอนนั้นเองเขาถึงตระหนักได้ว่าแขนที่ลอยอยู่กลางอากาศ เป็แขนของตนนั่นเอง
ของเหลวสีแดงฉานปรากฏขึ้นเืสดปะทุออกมาจากแขนซ้ายของเขาอย่างบ้าคลั่ง
ในที่สุดความหวาดผวาก็ะเิขึ้นที่ใบหน้าของเขา เขาอยากจะพูดบางอย่างออกมา แต่เมื่ออ้าปากเืสดก็ไหลทะลักออกมาทันทีเป็จังหวะเดียวกับที่ร่างของเขาล้มโครมลงบนพื้นดินอย่างยากจะประคองจากนั้นเสียงที่เย็นเฉียบของฉู่ซีฟงก็ดังขึ้นที่ข้างหูก่อนที่สติทั้งหมดของเขาจะเลือนหายไป
“โทษตายเว้นได้แต่ต้องตัดแขนของเ้าไปข้างหนึ่ง เพื่อกอบกู้เกียรติยศของสำนักเทียนหลาน”
บนเขาเทียนเหมิน ภายในหอดารา
ชายวัยกลางผู้มีรูปโฉมไม่โดดเด่นยืนมือไพล่หลัง
ที่ด้านหลังของเขาเป็ดวงดาวนับแสนล้านที่ส่องแสงเรืองรองส่องให้ห้องที่เคยมืดมนสว่างไสวราวกับกลางวัน ทว่าท่ามกลางหมู่ดาวเ่าั้กลับมีดาวสองดวงที่หมองหม่น และกะพริบแสงขึ้นอย่างต่อเนื่องราวกำลังจะดับลงเช่นนั้น
บัดนี้ที่เบื้องหน้าเขามีหญิงสาวผู้คลุมผ้าบางๆปกปิดใบหน้าคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่บนพื้นดิน
“ท่านประมุข เรียกข้ามามีเื่อันใดเ้าคะ?” หญิงสาวกล่าวถามขึ้นน้ำเสียงของนางคล้ายกับถ้ำน้ำแข็งและธารใต้ดิน เย็นะเืทว่าก็ใสสะอาด
“จื่อเวยอวี้เหิงกำลังจะร่วงหล่นเ้าไปส่งิญญาพวกเขาเถอะ” ชายวัยกลางกล่าวขึ้นน้ำเสียงของเขาก็เหมือนกับรูปลักษณ์ ธรรมดา ไม่มีความโดดเด่นทว่าในนั้นกลับแฝงไปด้วยท่วงทำนองที่น่าพิศวงบางอย่างราวกับนั่นเป็เสียงที่ควบคุมโลกทั้งใบเช่นนั้น
“เ้าค่ะ” หญิงสาวขานรับ แล้วลุกขึ้นยืนกำลังจะเดินจากไป
“รอก่อน! ” ชายคนเดิมกล่าวขึ้นอีกครั้งอย่างกะทันหัน
“ท่านประมุขยังมีสิ่งใดจะรับสั่งอีกเ้าคะ?” หญิงสาวหมุนตัวกลับมามองชายวัยกลาง
“การมอดดับของนักรบแห่งดาราจักรสองคนนี้เกี่ยวข้องไปถึงอนาคตของเผ่ามนุษย์แม้ว่ามันกำลังจะมอดดับ แต่ก็ยังพอจะเหลือเวลาอยู่บ้าง ่นี้พวกเผ่าพันธุ์ที่เหลือรอดจากยุคก่อนกำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายในเมืองฉางอันเ้าจงซ่อนตัวอยู่ภายในเมือง แล้วสืบมาให้ข้าว่าพวกมัน้าจะทำอะไรกันแน่รอให้อวี้เหิงกับจื่อเวยมอดดับลงก่อน แล้วเ้าค่อยกลับมา”
หญิงสาวชะงักนิ่งไปเล็กน้อยแต่ก็รับคำสั่งในที่สุด ร่างบางกะพริบวาบ แล้วหายไปจากหอดาราในเสี้ยววินาที
ตกดึกท้องนภาในยามค่ำคืนค่อนข้างหมองหม่นดูเหมือนดวงดาวจะไปหลบอยู่หลังเมฆหมอกกันหมดแล้วสว่างไม่ได้เสี้ยวของดวงดาวที่หอดาราด้วยซ้ำ
ร่างในชุดเขียวเคลื่อนไหวอยู่ภายในเขาเทียนเหมินด้วยความรวดเร็วเพียงพริบตาเดียว ร่างนั้นก็ข้ามูเาไปหลายลูกแล้ว ห่างออกไปไม่ไกลข้างหน้านั่นก็เป็มณฑลจงโจแล้ว และเมืองฉางอัน ก็ตั้งอยู่ที่จงโจนั่นเอง
เพียงกะพริบวาบร่างนั้นก็ไปปรากฏอยู่บนถนนหลวงเสียแล้ว
ในยามค่ำคืนถนนหลวงแห่งนี้มีผู้คนสัญจรไปมาเพียงไม่มากเท่านั้นเพราะไม่ว่าจะเป็กลุ่มองครักษ์รับจ้างหรือพ่อค้าคนส่วนมากต่างก็เลือกเดินทางในตอนกลางวันด้วยกันทั้งสิ้น อย่างไรเสียกลางวันก็ทำให้มองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างได้อย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีด่านตรวจตั้งอยู่ทุกๆไม่กี่ลี้ แล้วไหนจะทหารลาดตระเวนอีก เรียกได้ว่าปลอดภัยมากกว่าตอนกลางคืนเสียเป็ไหนๆ
แต่ทุกเื่ ย่อมมีข้อยกเว้น
อย่างเช่นในตอนนี้มีร่างของใครบางคนกำลังยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าหญิงชุดเขียว
เ้าของร่างเป็ชายคนหนึ่งแต่เพราะอยู่ในเงามืด จึงไม่อาจมองเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของเขาได้ เพียงแต่จากการแต่งกายของเขา ก็พอจะเดาได้บ้างว่าชายคนนี้น่าจะมีอายุแล้ว...เสื้อคลุมยาวสีหม่น ที่ไหล่มีผ้าขนสัตว์คลุมอยู่ บนนั้นยังมีหิมะเกาะอยู่เลยทว่าในตอนนี้ เดือนสามของมณฑลจงโจได้บอกลากับความหนาวเย็นและหิมะไปตั้งนานแล้วยากจะจินตนาการได้ ว่าของพวกนี้เกาะชายคนนี้มาจากที่แห่งไหนกันแน่
“เ้าเป็ใคร?” ดวงตาที่อยู่เหนือผ้าปิดปากสีขาวของชิงหลุนประกายแสงแห่งความหวาดระแวงขึ้นในโลกใบนี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถมาปรากฏอยู่ตรงหน้าโดยที่นางไม่รู้ตัวเช่นนี้ได้และเห็นได้ชัดว่าชายตรงหน้าเป็หนึ่งในคนจำนวนน้อยนั้น
ชายคนนั้นไม่ได้พูดอะไรออกมา ทว่าจู่ๆดวงตาของเขาก็สว่างไสวขึ้น
ในจังหวะเดียวกัน จู่ๆแสงจากดาวดวงหนึ่งก็ส่องผ่านเมฆครึ้มที่ลอยอยู่บนฟ้า แล้วสาดส่องลงมาบนพื้นดิน
เพราะแสงจากดวงดาวชิงหลุนจึงสามารถมองเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของผู้มาเยือนได้ในที่สุด
ชายคนนี้มีอายุราวห้าสิบกว่าๆใบหน้าคมเฉียบ ที่รอบปากมีเคราขึ้นอยู่เล็กน้อย เคราเ่าั้ถูกจัดแต่งอย่างดีไม่ได้แลดูยุ่งเหยิงเลยแม้แต่น้อย หากย้อนเวลากลับไปประมาณสามสิบปีถ้าชายคนปรากฏกายขึ้นพร้อมถือพัดที่มีคำกลอนเขียนประดับล่ะก็เกรงว่าคนผู้นี้ต้องเป็คุณชายที่สง่างามมากอย่างแน่นอน
แต่เพราะตอนนี้เขามีอายุมากแล้วดังนั้นต่อให้จะดูแลตัวเองดีขนาดไหน ก็ยังกลบริ้วรอยบนใบหน้าไม่ได้อยู่ดี
ชิงหลุนแหงนหน้าขึ้นไปมองตามแสงของดวงดาวก่อนจะพบว่าบนท้องนภาอันแสนมืดมน บัดนี้มีดวงดาวประกายแสงอยู่ถึงเจ็ดดวงด้วยกัน
ดาวทั้งเจ็ดดวงเรียงตัวกันจนกลายเป็รูปทรงอันแสนประหลาดเหมือนจะเป็รูปช้อนอันหนึ่งดาวห้าดวงในนั้นมีแสงริบหรี่จนแทบจะมองไม่เห็นอยู่แล้ว ต้องอาศัยแสงจากดาวดวงอื่นๆเข้าช่วย ผู้มองจึงจะเดารูปแบบในการเรียงตัวของดาวทั้งเจ็ดได้บ้าง และแล้วดาวอีกดวงก็เริ่มหรี่แสงลงอีกครั้ง คล้ายเป็เปลวไฟในตะเกียงที่กำลังจะดับลงอย่างไรอย่างนั้นเหลือเพียงดาวอีกเพียงหนึ่งดวงเท่านั้น ที่ยังคงส่องแสงสว่างไสวทอดแสงลงมาท้องนภาที่อยู่ห่างออกไปเป็ล้านลี้เพื่อส่องให้ร่างของชายตรงหน้าสว่าเจิดจ้าท่ามกลางความมืด
“เ้าคือไคหยาง?” ชิงหลุนรู้ตัวตนที่แท้จริงของชายคนนี้แล้วทว่านางยังคงขมวดคิ้วมุ่น จำไม่ได้ว่าตนเคยรู้จักกับชายคนนี้มาก่อน
ชายคนนั้นเพียงพยักหน้าเบาๆแล้วมองสำรวจชิงหลุนโดยไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
หลายอึดใจต่อจากนั้นในที่สุดชายคนนั้นก็ละสายตาออกไปจากร่างบางด้วยความพอใจจากนั้นก็ประกายรอยยิ้มออกมาทางสีหน้า พลางกล่าวขึ้น “เป็เ้าจริงๆ ด้วย”
ชิงหลุนยังคงขมวดคิ้วมุ่นนางไม่ชอบสายตาสำรวจของไคหยางเอาเสียเลย แม้นางจะรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าสายตาของไคหยางไม่ได้มีความประสงค์ร้ายผสมอยู่เลยแม้แต่น้อย แต่อย่างไรเสียนางก็ยังไม่ชอบอยู่ดี
“เ้ากำลังรอข้าอย่างนั้นรึ?” นางกล่าวถามขึ้น
ไคหยางพยักหน้า “เรามีวาสนาต่อกัน”