ไม่ว่าจะเป็ที่ใดก็ตาม การที่คนคนหนึ่งได้รับการยกย่อง ก็มีเพียงเพราะสถานะและพละกำลังของเขา แต่ในบางระดับ สถานะและพละกำลังสำคัญยิ่งกว่านั้น อย่างแดนต้าโหมวเทียนแห่งนี้สิ่งเหล่านี้ยังแสดงถึงสถานะอันสูงต่ำของสังคม
อาทิเช่นหวังมู่ สถานะของเขาจะสูงส่งมากเมื่อเทียบกับคนธรรมดา และนี่ก็คือเหตุผลที่เขากล้ากัดไม่ปล่อยมาโดยตลอด ในมุมมองของเขานั้น เขา้าจะสังหารฉินอวี่ โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ แม้ฉินอวี่จะมีพละกำลังแข็งแกร่ง แล้วจะทำไม? ในแดนต้าโหมวเทียนไม่เคยขาดแคลนเหล่าอัจฉริยะ
แต่ด้วยนามของศิษย์ผู้เฒ่าร้องไห้ ไม่ว่าผู้ใดที่ต้องพยายามจะแตะต้องฉินอวี่ต่างต้องชั่งใจด้วยกันทั้งสิ้น
เดิมทีแล้ว ฉวีหย่งเซิงก็คิดจะยอมแพ้ฉินอวี่ แต่เมื่อรู้สถานะของฉินอวี่ ฉวีหย่งเซิงก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะลองดึงฉินอวี่มาเป็พวกให้ได้
ฉินอวี่รู้ถึงเจตนารมณ์ของฉวีหย่งเซิงเป็อย่างดี เพียงแต่ เขาก็ไม่อาจปฏิเสธหรือร้องขอได้เช่นกัน เมื่อมีฉวีหย่งเซิง เขาก็จะยิ่งเข้าใจเื่ของหอคอยเทียนกังรวมถึงรอยผนึกะได้ชัดเจนมากขึ้น
หลังจากที่ฉินอวี่พยักหน้า ฉวีหย่งเซิง หยางซาน และไป๋ฉี ทั้งสามคนก็เดินออกมาจากฝูงชน มายืนอยู่ข้างกายฉินอวี่ แม้ว่าจะต้องห่างกันไม่กี่ชั่วยาม แต่สภาวะของฉวีหย่งเซิง หยางซาน และไป๋ฉีทั้งสามคนกลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ตลอดทางมานี้ พวกเขาต่างได้ยินคนกล่าวถึงฉินอวี่เป็จำนวนมาก และยังสังเกตเห็นว่ามีคนจำนวนมากกำลังจ้องมองฉินอวี่อยู่
นอกจากนี้ ด้วยฐานะศิษย์ของผู้เฒ่าร้องไห้ ทำให้พวกเขาต่างได้รับความกดดันเป็อย่างมาก
“เหลาอู่ เ้านี่ปกปิดได้ดีมากจริงๆ” ฉวีหย่งซานยิ้มด้วยใบหน้าที่ซีดขาว และพูดพลางถอนหายใจ ส่วนหยางซานและไป๋ฉีเดินตามมาทางด้านหลัง สายตายังคงจ้องมองไปทางฉินอวี่ด้วยความตกตะลึง ความประหลาดใจ ความอิจฉา และความริษยา
การแสดงออกของฉินอวี่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และพูดอย่างเรียบเฉย “ไม่มีอะไรที่ต้องหลบซ่อนหรอก งานเลี้ยงครั้งนี้ ตระกูลโหมวของตี้หวังเป็คนจัดขึ้นหรือ?”
ตระกูลโหมวของตี้หวัง มีชื่อเสียงพอๆ กันกับตระกูลเหลยของตี้หวัง และเป็สายเืที่ตกค้างของหนึ่งในสองตี้จวินภายใต้ทัพของต้าโหมวนามว่าโหมวเทียนตี้ และแตกต่างจากตระกูลเหลยของตี้หวังที่มักเก็บตัว ตระกูลโหมวของตี้หวังมักจะไปมาหาสู่ระหว่างตระกูลต่างๆ ของแดนต้าโหมวเทียนตลอดทั้งปี จะเรียกได้ว่าเป็ตระกูลที่ทรงอำนาจอันดับหนึ่งของแดนต้าโหมวเทียน ก็ดูจะสมเหตุสมผล
เป็เพราะสกุลของตระกูลโหมวเป็สกุลที่ได้รับมอบชื่อมาจากจอมอสูรโหมวเซี่ยนเป็ผู้มอบให้ และเมื่อจอมอสูรถูกสะกดไว้ ตระกูลโหมวจึงกลายเป็ผู้แทนของจอมอสูรโหมวเซี่ยนไปโดยปริยาย
“ใช่ เป็งานเลี้ยงที่โหมวจิ่นซิ่ว หนึ่งในสามสิบหกขุนพล์จัดขึ้นด้วยตนเอง” ฉวีหย่งเซิงมองด้วยสายตาที่ตั้งตารอ เป้าหมายของเขาคือหนึ่งในสามสิบหกขุนพล์ หากสามารถได้รับรู้เื่ราวที่เกี่ยวกับหอคอยเทียนกังจากโหมวจิ่นซิ่ว นับว่าเป็เื่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว
ดวงตาของฉินอวี่กะพริบเล็กน้อย สามสิบหกขุนพล์? ในตอนแรกหลัวชิงเยว่เคยบอกไว้ว่า เทียนกังในยุคนี้มีเพียงสองคน ซึ่งสามารถพูดได้ว่าโหมวจิ่นซิ่วก็คือหนึ่งในนั้น
“จะเริ่มขึ้นเมื่อไร?” ฉินอวี่ถาม
“ยังมีเวลาอีกสามวัน” ฉวีหย่งเซิงตอบกลับ
ฉินอวี่พยักหน้า นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และพูดขึ้น “ไม่ทราบว่าแผ่นผนึกว่านเซี่ยงอยู่ที่ไหนหรือ?” ฉินอวี่ตัดสินใจว่าในระหว่างสองสามวันนี้จะไปดูแผ่นผนึกว่านเซี่ยง เพื่อจะลองไปดูว่าเขาพอจะสามารถได้รับผนึกฝ่ามือจากบนแผ่นผนึกนั่นได้หรือไม่
“อยู่ทางด้านตะวันตกสุดของเมืองเทียนโหมวชั้นนอก พวกข้าจะพาเ้าไป” ฉวีหย่งเซิงกล่าว
“ขอบพระคุณเหล่าต้า เ้าไปทำธุระกับเหล่าเอ้อก่อนเถอะ ให้เหล่าซานพาข้าไปก็พอ” ฉินอวี่ตอบกลับ เขารู้วัตถุประสงค์ของฉวีหย่งเซิงเป็อย่างดี นั่นคือการโน้มน้าวเขาให้เป็พวกอย่างไม่ต้องสงสัยเลย แต่ฉินอวี่ยังไม่รู้สึกดีต่อฉวีหย่งเซิงเท่าไรนัก แต่ก็ไม่้าจะสร้างความขุ่นเคืองให้เขา แต่ไป๋ฉีกลับทำให้ฉินอวี่รู้สึกได้ว่าสามารถจะคบค้าสมาคมได้ดีกว่า
สายตาของฉวีหย่งเซิงดูประหลาดใจอยู่เล็กน้อย คำที่ฉินอวี่เรียกเขาว่าเหล่าต้า ทำให้เขารู้สึกสบายใจ ผนวกกับตัวเขาเองก็้าจะเดินชมไปรอบๆ คำพูดของฉินอวี่จึงสอดคล้องกับเจตนาของเขา จากนั้นจึงพยักหน้าและพูดกลับไป “ได้ เช่นนั้นก็ให้เหล่าซานพาเ้าไปก็แล้วกัน”
หลังจากร่ำลากับฉวีหย่งเซิงและหยางซานแล้ว เขาก็เดินไปยังแผ่นผนึกว่านเซียงตามการนำทางของไป๋ฉี
ตลอดทางที่เดินมา ไป๋ฉีก็พยายามสงบมาโดยตลอด แต่ความนิ่งเงียบของฉินอวี่ทำให้เขาเริ่มกังวลใจอีกครั้ง ทว่าเมื่อพิจารณากลับไปในหนึ่งปีที่ผ่านมา ดูเหมือนตนเองก็ไม่ได้ล่วงเกินอะไรต่อฉินอวี่ จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ทั้งสองคนก็มาถึงจัตุรัสทางตะวันตกของเมืองเทียนโหมวชั้นนอก แผ่นผนึกว่านเซี่ยงตั้งอยู่ที่นี่ เมื่อมาถึง ทั่วทั้งจัตุรัสก็เต็มไปด้วยคลื่นมนุษย์จำนวนมาก เหล่าผู้คนจำนวนมากต่างกำลังนั่งขัดสมาธิกันอยู่บนลานจัตุรัส มโนจิตได้ปกคลุมไปยังแผ่นผนึกว่านเซี่ยงที่อยู่กลางจัตุรัส เพื่อศึกษารอยผนึกฝ่ามือ
“แผ่นผนึกว่านเซี่ยงเป็รูปแบบของรอยผนึกตันเถียน รอยผนึกฝ่ามือ รอยผนึกทะเลทุกข์ และรอยผนึกะ?” ฉินอวี่มองดูฝูงชนที่อยู่กันอย่างแออัด และอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นอย่างสงสัย ฉินอวี่ยังไม่เคยได้ต่อสู้กับผู้ฝึกตนของแดนต้าโหมวเทียนอย่างจริงจังเลยสักครั้ง จึงไม่รู้ว่าพลังของผนึกฝ่ามือจะเป็เช่นไร
ไป๋ฉีมองฉินอวี่ด้วยความสงสัย แผ่นผนึกว่านเซี่ยงเป็สิ่งที่ผู้ฝึกตนทุกคนในแดนต้าโหมวเทียนต่างรู้จักเป็อย่างดี เพียงแต่ ไป๋ฉีเองก็ไม่คิดอะไรมากมาย และตอบกลับไปทันที “ใช่ ผนึกตันเถียน ผนึกฝ่ามือ ผนึกทะเลทุกข์ ผนึกะ ผนึกเหล่านี้ในเมืองต้านโหมวเทียนนั้นถูกเรียกรวมกันว่าผนึกจอมอสูร ร่ำลือกันว่าแผ่นผนึกว่านเซี่ยง คือสิ่งที่จอมอสูรโหมวเซี่ยนได้รับมาจากอากาศธาตุอันไร้ที่สิ้นสุด แผ่นผนึกว่านเซี่ยงนี้ครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง นับว่าเป็รอยผนึกมือที่ลึกลับและสมบูรณ์”
“อากาศธาตุอันไร้ที่สิ้นสุด?” หัวใจของฉินอวี่สั่นเทา เขาทอดสายตาตรงไปยังแผ่นศิลาที่อยู่กลางลานจัตุรัสแห่งนี้ แผ่นศิลาสูงประมาณสามจ้าง มีขนาดใหญ่และหนา ราวกับว่ามีพลังที่สามารถสะกดฟ้าดินไว้ได้ บนแผ่นศิลาไม่มีรอยผนึกมือ หรือลวดลายเต๋าอันซับซ้อน แต่มีรอยกระบี่ที่หนาแน่น ราวกับว่าต้องแบกรับการโจมตีของผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วน ดูเหมือนผ่านความผันผวนของกาลเวลา เติมเต็มไปด้วยพลังปราณที่สั่งสมมานานปี
“ตามที่มีบันทึกไว้ในตำราโบราณ อากาศธาตุอันไร้ที่สิ้นสุดคือสนามรบในยุคสมัยหงหวง ที่มีการสืบทอดมาและเป็ยอดของโชคอันวิเศษ ดูจากในตอนนี้แล้ว เื่ที่ร่ำลือกันน่าจะไม่ใช่ข่าวโคมลอยเสียแล้ว” ฉินอวี่พึมพำกับตนเอง ในยุคของแดนเซียนอู่ในอดีต ก็เคยได้ยินคำร่ำลือของอากาศธาตุอันไร้ที่สิ้นสุดมาก่อน
ในตอนนั้น ฉินอวี่ก็เคยแอบฝันว่าสักวันหนึ่งอยากจะลองไปเหยียบแดนอากาศธาตุอันไร้ที่สิ้นสุดให้ได้ สามารถลวงชะตากรรมของผู้คนได้
“เพียงแต่ ฉือเซียวเคยบอกไว้ว่าแดนขัดเกลาแห่งนี้หวังชิงก็ได้มาจากอากาศธาตุอันไร้ที่สิ้นสุด และอากาศธาตุอันไร้ที่สิ้นสุดนี้มีอยู่ในแดนเซียนอู่่เริ่มต้น รากเหง้าของมันสามารถสืบย้อนไปได้ถึงยุคสมัยหงหวง และเมื่อดูจากสำนักจูเทียนเต้าที่ถูกทำลายล้าง ดินแดนที่แตกสลายส่วนนี้คงจะเป็รูปร่างขึ้นมาได้ในยุคไท่ชู หรืออาจบอกได้ว่า จอมอสูรโหมวเซี่ยนหลบหนีมายังอากาศธาตุอันไร้ที่สิ้นสุด และถูกบรรพชนหยาจื้อสะกดเอาไว้ในแดนที่แตกสลายแห่งนี้ จากนั้นจึงถูกโดยหวังชิงในยุคไท่กู่?”
“จะต้องเป็เช่นนี้แน่นอน”
มองไปยังแผ่นผนึกว่านเซี่ยง ทันใดนั้นฉินอวี่ก็นึกถึงเือสูรที่ถูกสะกดไว้ในแดนสุสานอสูร และไม่รู้ว่ามันจะมีความเกี่ยวข้องกับแผ่นผนึกว่านเซี่ยงนี้หรือไม่
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด ฉินอวี่จึงตัดสินใจละความคิดทั้งหมด และนั่งลงในบริเวณรอบๆ จัตุรัส จากนั้นจึงใช้มโนจิตสาดส่องเข้าไปมอง ปกคลุมไปทั่วแผ่นผนึกว่านเซี่ยงที่อยู่ตรงศูนย์กลาง
มโนจิตของเขาค่อยๆ มองทะลุเข้าไปภายในแผ่นผนึกว่านเซี่ยง
“น่าแปลก!” ในขณะที่ฉินอวี่กำลังใช้มโนจิตมองไปภายในแผ่นผนึกว่านเซี่ยง เขากลับมองไม่เห็นอะไรเลย
“หรือจะเป็เพราะเขาไม่ได้กระตุ้นผนึกฝ่ามือนี้ด้วยตนเอง?” ฉินอวี่เริ่มมองอย่างละเอียดและไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย
ครึ่งวันต่อมา
ฉินอวี่ลืมตาทั้งสองขึ้น แต่ก็ยังไม่พบอะไรเลย ฉินอวี่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เดินไปรอบๆ ฝูงชนที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บริเวณนั้น ก่อนจะหันไปมองแผ่นศิลาอีกครั้ง
ไป๋ฉีมองดูฉินอวี่ด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร สายตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นฉินอวี่เดินเข้าไปใกล้แผ่นศิลานั้น เขาก็ยิ่งใมากขึ้น
“เอ๊ะ?” ฉินอวี่กวาดสายตาไปทั่วทั้งจัตุรัสแห่งนี้ด้วยความประหลาดใจ เขาแปลกใจที่พบว่า ผู้ฝึกตนที่ยิ่งเข้าไปใกล้แผ่นศิลา จะยิ่งมีระดับฝึกฝนที่สูงขึ้น ผู้ที่อยู่ห่างจากแผ่นศิลาในระยะสิบจ้าง ต่างเป็เหล่าผู้าุโที่มีผมสีขาว เมื่อพิจารณาจากพลังปราณของพวกเขาแล้ว นึกไม่ถึงว่าล้วนแต่เป็ผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนเต๋าทั้งสิ้น
“หรือจะมีกฎข้อบังคับอยู่ในแผ่นศิลานี้? ผู้ที่มีระดับการฝึกฝนในระดับต่ำต่างอยู่ได้เพียงรัศมีรอบนอกของจัตุรัสแห่งนี้เท่านั้น?” ฉินอวี่พูดอยู่ในใจ เขาพบว่าในรัศมีสามจ้างจากแผ่นศิลากลับไม่มีผู้คนสักคนเดียว แต่ในรัศมีห้าจ้างก็มีผู้าุโอยู่จำนวนหนึ่ง จนเกือบจะเรียกได้ว่ายิ่งอยู่ในรัศมีห่างออกมาเท่าไรก็ยิ่งมีคนมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็ยังไม่กล้าผลีผลามเข้าไปใกล้แผ่นศิลา จึงได้นั่งลงไป และลองศึกษาดูอีกครั้ง
ฉินอวี่ไม่รู้ว่า ไป๋ฉีที่อยู่รัศมีรอบนอกของจัตุรัสแห่งนี้เริ่มมีใบหน้าที่หวาดกลัว จ้องมองฉินอวี่อยู่กว่าครึ่งวันโดยไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน และพึมพำกับตนเอง “สิบจ้าง นึกไม่ถึงว่าเขาสามารถเข้าไปใกล้แผ่นศิลาในรัศมีสิบจ้างได้! เป็ไปได้อย่างไรกัน!”
แผ่นผนึกว่านเซี่ยงตั้งอยู่ที่นี่มาั้แ่ครั้งโบราณ แผ่นผนึกว่านเซี่ยงนี้มองแล้วดูธรรมดา แต่มันกลับมีพลังลึกลับอันน่าสะพรึงกลัว
จัตุรัสแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่สามร้อยจ้าง และคนทั่วไปแล้วมักจะเข้าใกล้แผ่นผนึกว่านเซี่ยงได้เพียงร้อยจ้างเท่านั้น ยิ่งเข้าไปใกล้ พลังที่ไม่ทราบชนิดก็จะมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และพลังที่ว่านั้นก็ไม่ใช่พลังความกดดัน แต่เป็... สิ่งที่บอกได้ไม่ชัดเจน เท่าที่ไป๋ฉีสามารถััมาได้ด้วยตนเอง นั่นก็คือยิ่งเข้าใกล้แผ่นศิลามากเท่าไร ก็จะยิ่งย่างฝีเท้าออกไปยากมากขึ้นเท่านั้น และแม้จะก้าวขาย่างออกไปได้ ก็ไม่สามารถจะย่ำเท้าให้ถึงพื้นได้!
ร่ำลือกันว่า ต้องมีความเข้าใจในผนึกมืออย่างครบถ้วนแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าใกล้แผ่นผนึกนั้นได้
ั้แ่โบราณมา มีเพียงจอมอสูรโหมวเซี่ยนเท่านั้นที่เคยได้ััแผ่นผนึกว่านเซี่ยง
แต่ฉินอวี่ กลับเดินเข้าไปอยู่ในระยะรัศมีเพียงสิบจ้าง สิ่งนี้ทำให้ไป๋ฉีไม่อยากเชื่อสายตาตนเองเลย
ไม่เพียงแต่ไป๋ฉี แม้แต่ผู้ฝึกตนคนอื่นที่กำลังนั่งทำความเข้าใจอยู่ต่างทยอยลืมตาขึ้นมา และผู้าุโจำนวนหนึ่งที่อยู่ใกล้แผ่นผนึกว่านเซี่ยงอย่างมาก ต่างก็มองฉินอวี่ด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
ฉินอวี่ไม่ได้สนใจมองสามตาที่กำลังจับจ้องมาจากรอบด้าน แต่เขากำลังส่องมโนจิตครอบคลุมแผ่นศิลานั้นอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งวัน ฉินอวี่ก็ยังไม่สามารถััอะไรได้ และเริ่มมีความไม่เข้าใจผุดขึ้นในใจ และเบิกตากว้าง มองไปยังแผ่นศิลาที่มีพลังปราณของกาลเวลา จากนั้นจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน และเดินต่อเข้าไปเบื้องหน้า
เมื่อฉินอวี่เดินเข้ามาถึงรัศมีห้าจ้าง เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังที่อธิบายไม่ได้จากรอบตัว จนการก้าวย่างเริ่มลำบากมากขึ้น
ฉินอวี่ขมวดคิ้ว มองไปยังผู้าุโท่าทางง่อนแง่นที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้า ห่างจากแผ่นผนึกว่านเซียงประมาณสองจ้าง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนฉินอวี่จะเริ่มก้าวเดินต่อไปอีกครั้ง แต่ขณะที่ฉินอวี่กำลังออกแรงก้าวไปข้างหน้านั้น ผนึกมือบนฝ่ามือข้างขวาของเขาก็ปรากฏแสงสีทองอ่อนๆ ขึ้นมา
สี่จ้าง
สามจ้าง!
เมื่อฉินอวี่เดินเข้าไปในเขตรัศมีสามจ้างได้ ผู้าุโที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงรัศมีห้าจ้างก็เบิกตาโตทันที มองไปยังฉินอวี่ที่กำลังพยายามเดินต่อไปข้างหน้าอย่างเหลือเชื่อ
“เป็ไปได้อย่างไรกัน! เขาทำได้อย่างไรกันแน่? หรือว่า เขาจะเรียนรู้ผนึกฝ่ามือระดับสูงได้แล้ว? เป็ไปไม่ได้ ต่อให้เป็เต้าหวังก็ยังไม่อาจทำได้ แต่เขาอยู่เพียงระดับกุมารทิพย์ จะทำได้อย่างไรกัน? หรือเป็เพราะสาเหตุจากผู้เฒ่าร้องไห้?” ไป๋ฉีจ้องไปยังฉินอวี่ที่กำลังเดินเข้าไปข้างหน้าอย่างช้าๆ และรู้สึกสั่นสะท้านในใจจนยากจะสงบลงได้!
ในวันที่สาม ฉินอวี่ได้เดินเข้าไปถึงรัศมีสองจ้างอย่างเหนื่อยหอบ และรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้จิตใจของฉินอวี่ต้องเต้นระรัว และรู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่แรงกดดัน แต่เป็สิ่งที่ปลดปล่อยออกมาจากแผ่นผนึกว่านเซี่ยง ฉินอวี่รู้สึกได้ชัดเจนว่าพลังที่ผ่านออกมานี้ไม่ได้เข้าหาตนเอง แต่เป็ผนึกฝ่ามือทางมือขวา
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เือสูรและแผ่นผนึกว่านเซี่ยงต้องเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน... เมื่อนึกถึงเือสูรที่น่ากลัวแล้ว ฉินอวี่ก็หวาดกลัวจนไม่กล้าเข้าต่อไป จ้องตรงไปยังแผ่นผนึกว่านเซี่ยง หลังจากลังเลอยู่นาน ฉินอวี่ก็เลือกที่จะหยุดที่จะเดินต่อเข้าไปเบื้องหน้า
และผู้าุโที่ดูง่อนแง่นซึ่งอยู่ใกล้แผ่นผนึกว่านเซี่ยงที่สุดก็มีดวงตาเบิกโพลงทันที มองฉินอวี่ที่อยู่ข้างกายด้วยสีหน้าที่ดูหวาดกลัว
ดูเหมือนว่าฉินอวี่จะรู้สึกได้ถึงสายตาของผู้าุโ จากนั้นจึงค่อยๆ หันกลับไปทางด้านข้างด้วยใบหน้าแดงก่ำ และสบตากับผู้าุโคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างสงสัย “ผู้าุโ... ท่านมีอะไรหรือไม่? หรือข้าไม่ควรจะเข้าใกล้แผ่นศิลานี่?” พูดจบ ฉินอวี่ก็หันกลับไป แต่กลับเห็นไป๋ฉีที่อยู่ในระยะไกลกำลังมองมาที่เขาด้วยความประหลาดใจ ข้างเขามีฉวีหย่งเซิงและหยางซาน
“แค่สามวันก็ถึงแล้วหรือ?” ฉินอวี่ขมวดคิ้ว และลองคำนวณเวลาดู ไม่ทันไรเวลาสามวันก็ผ่านไปอย่างไม่ทันรู้ตัว จากนั้นจึงเหลือบมองแผ่นผนึกว่านเซี่ยงที่อยู่ห่างออกไปเพียงเอื้อมมือ จากนั้นจึงหันหลังกลับออกไป
รอให้เสร็จสิ้นการท้าประลองของเจ็ดสิบสองอสูรธรณีเสียก่อนจึงค่อยกลับมาศึกษาเื่พลังปราณเหล่านี้อีกครั้ง ในตอนนี้ อันดับแรกคงต้องไปร่วมงานเลี้ยงของตระกูลโหมว เพื่อศึกษาเื่หอคอยเทียนกังก่อนค่อยว่ากันอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกันนี้ บนยอดเขาในเมืองเทียนโหมวชั้นใน ผู้าุโที่เหมือนจะผ่านวันเวลามาเนิ่นนาน จนแทบรวมเป็หนึ่งกับฟ้าดิน ได้ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นช้าๆ ดวงตาที่ขุ่นมัวนั้นทอดยาวออกไปมองทะเลเมฆที่อยู่เบื้องหน้า และผงะขึ้นมาทันที ดวงตาที่ดูแน่วแน่ของเขาก็ดูเหมือนจะไม่แสดงความแปรปรวนออกมาเลยแม้แต่น้อย
ใต้พื้นพิภพแห่งหนึ่งในแดนต้าโหมวเทียน ได้มีเสียงตอบกลับอันเลือนราง “เป็... เป็ไปได้อย่างไร! เขา... เป็ใครกัน?
ในเวลาเดียวกันนี้
ในสระแห่งสายฟ้า เสียงของัดุร้ายตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมา เสียงมันดังราวกับเสียงแห่งอสุนีบาตทั้งเก้าชั้นฟ้า ที่สั่นะเืไปทั้งฟ้าดิน...
ในตอนนี้ ณ เขตอันชั่วร้ายที่สุดของแดนต้าโหมวเทียน มีดวงตาที่ดำขลับคู่หนึ่งได้ปรากฏขึ้นมา... ราวกับว่าสามารถมองเห็นทะลุฟ้าดินได้...
