วันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่ทันสาง องครักษ์ผู้หนึ่งก็รีบร้อนมาหาสาวใช้ฉุนเอ๋อร์ที่เป็เวรดึกในสวนชิงเฟิงของวันนี้ ทั้งยังบอกให้ฉุนเอ๋อร์เร่งไปแจ้งผู้เป็นายว่า มีคนบุกเข้าไปในคุกใต้ดินแล้ว มิหนำซ้ำยังสังหารองครักษ์ในจวนอ๋องไปไม่น้อย ส่วนโจวเวยถูกคนชิงตัวไปแล้ว
เมื่อฉุนเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้อง ก่อนจะบังเอิญเจอจวินเหยียนที่ตื่นขึ้นมารินน้ำให้อวิ๋นซีดื่มอยู่พอดี นางจึงรีบทูลเื่ที่โจวเวยถูกชิงตัวไป รวมถึงเื่ที่องครักษ์ในจวนอ๋องถูกสังหาร
จวินเหยียนพูดเรียบๆ “รู้แล้ว”
รุ่งเช้า จวินเหยียนเจอองค์ชายสี่ ทว่า ไม่มีใครล่วงรู้ว่า เขาพูดอะไรกับอีกฝ่ายกันแน่ แต่สิ่งที่แน่ชัดก็คือ หลังจากนั้นองค์ชายสี่กับชิวิต่างก็รีบร้อนกลับเมืองหลวงไปพร้อมสตรีอีกนางหนึ่งที่ถูกพากลับไปด้วย คนคนนั้นก็คือหยวนอวี่เสี้ยนจู่ที่ตื่นเช้ามารับอาหารเช้าแล้ว แต่กลับรู้สึกพะอืดพะอม ไม่อยากอาหาร ก่อนที่สุดท้ายจะถูกพบว่า ยามนี้คนมีข่าวดีได้หนึ่งเดือนแล้ว
อวิ๋นซีพิงอยู่บนตั่งกุ้ยเฟยด้วยความเกียจคร้านพลางมองจวินเหยียนที่กำลังเดินเข้ามาจากด้านนอก นางยิ้มบางๆ แล้วพูดขึ้น “ในที่สุดคนก็จากไปได้แล้วสินะ? ” หากให้พูดตามจริง ในจวนนี้มีคนนอกสองคนมาอาศัยอยู่ ทำให้มีเื่มากมายที่สุดท้ายก็ทำได้ไม่สะดวกนัก
ส่วนองค์ชายสี่นั้นยังดีหน่อย คนคนนี้ถึงแม้จะเป็องค์ชาย แต่ก็เป็คนที่ไม่ค่อยคิดอะไรมาก ไม่ว่าทำอันใดก็ง่ายๆ สบายๆ ดังนั้น การได้อาศัยอยู่กับคนเช่นนี้นับว่าไม่ค่อยเหนื่อยสักเท่าไร
จวินเหยียนพยักหน้า “ส่งคนกลับไปแล้ว”
เมื่อหวนนึกถึงเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน อวิ๋นซีใส่บางอย่างลงไปในอาหารของหยวนอวี่ ทำเอาจวินเหยียนอดยิ้มไม่ได้ เพราะบนโลกใบนี้จะมีเื่ที่บังเอิญเพียงนี้ได้อย่างไร ก่อนที่องค์ชายสี่และชิวิจะจากไป หยวนอวี่ก็บังเอิญตั้งครรภ์ขึ้นมาพอดิบพอดี? ทั้งหมดนี้เป็อวิ๋นซีที่สร้างเื่อยู่เื้ัใช่หรือไม่ เดิมทีตัวนางก็หาได้ชอบใจที่มีหยวนอวี่เดินลอยหน้าลอยตาไปมาอยู่ในจวนนี้ ดังนั้น นางจึงได้จัดการหาวิธีส่งคนออกไปจากเมือง
เมื่อหยวนอวี่ องค์ชายสี่และคนอื่นๆ จากไปแล้ว อวิ๋นซีและจวินเหยียนก็เริ่มกลับมายุ่งวุ่นวายกันอีกครั้ง เพราะเป้าหมายของคนทั้งสองล้วนเหมือนกัน และเป็ไปเพื่อเปลี่ยนแปลงหานโจว ยามนี้จวินเหยียนได้สร้างโรงไม้ขึ้นที่อำเภอโจวเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังรับคนงานที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงเข้ามาไม่น้อย โดยมีเงินให้เดือนละสามตำลึง การริเริ่มเช่นนี้จะช่วยเปลี่ยนแปลงสภาพชีวิตความเป็อยู่ของประชาชนโดยรอบในอำเภอโจวได้อย่างมากมาย
และเมื่อภาพร่างแบบของอวิ๋นซีไปถึง พวกเขาก็เริ่มงานได้ทันที
เพียงไม่นาน โต๊ะตัวแรกที่สามารถหมุนได้ก็ถูกผลิตออกมาแล้ว โต๊ะตัวนี้เป็ ‘ฉินเหยียน’ ที่จัดส่งไปยังจวนอ๋องในหานโจวด้วยตนเอง และทันทีที่หานอ๋องและพระชายาเห็นเข้าก็ให้พอใจเป็อย่างยิ่ง หานอ๋องจึงมีรับสั่งให้จัดทำโต๊ะลักษณะนี้อีกจำนวนสี่ตัว ส่วนหนึ่งสำหรับตั้งวางไว้ที่บ้านเผื่อจำเป็ต้องใช้ และอีกตัวหนึ่งให้จัดส่งไปยังบ้านของพ่อตาตนเอง
นอกจากนี้ ‘ฉินเหยียน’ ยังถือโอกาสที่ทำให้หานอ๋องพอพระทัยได้ ขอให้พระองค์ทรงประทับตราลงบนหนังสือแสดงอำนาจฉบับหนึ่ง เพื่อให้โต๊ะไม้กลมนี้ถือเป็สิทธิขาดของตระกูลฉินแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้น หากมีใครทำโต๊ะขึ้นมาเลียนแบบโต๊ะไม้กลมของตระกูลฉิน และนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์แล้วละก็ คนผู้นั้นจักต้องได้รับโทษสูงสุด
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป บรรดาคนที่จับจ้องโต๊ะไม้กลมของตระกูลฉินอยู่ต่างก็พากันตัดใจ เพราะโทษสูงสุดที่ว่านั่นก็คือ โทษตายสถานเดียว ดังนั้น ใครจะไปยินดีที่จะมีปัญหากับหานอ๋องแค่เพราะเื่เงินกันล่ะ
ด้วยเหตุนี้ โต๊ะไม้หมุนได้จึงกลายเป็ลิขสิทธิ์ของตระกูลฉินเพียงผู้เดียว หลังจากนั้นไม่นาน ใบสั่งซื้อจำนวนมากก็ทยอยเข้ามายังโรงไม้ของตระกูลฉินไม่หยุด ทว่า สำหรับโรงไม้แห่งนี้สามารถผลิตโต๊ะไม้ได้เพียงห้าสิบตัวต่อเดือนเท่านั้น ดังนั้น การสั่งจองที่มากเพียงนี้ กับกำลังผลิตเท่านี้ ทำให้ใบสั่งซื้อของโรงไม้ตระกูลฉินยาวไปจนถึงเดือนสองหรือเดือนสามของปีหน้าเลยทีเดียว
จวินเหยียนมองคำสั่งซื้อหนาหนักในมือ จากนั้นจึงอดยิ้มแล้วพูดไม่ได้ว่า “เป็ฮูหยินที่ร้ายกาจยิ่ง โต๊ะเหล่านี้สามารถขายออกไปได้ในราคาตัวละหนึ่งร้อยตำลึง ถ้าเป็เช่นนี้ต่อไป พวกเราย่อมมีเงินเพียงพอให้ได้ใช้เปลี่ยนแปลงหานโจวแล้ว”
หลายปีมานี้เงินที่ตระกูลฉินหามาได้ทุกตำลึงทุกอีแปะล้วนถูกนำมาใช้เพื่อการเปลี่ยนแปลงหานโจวทั้งสิ้น ด้วยเื่นี้ อวิ๋นซีรู้ดี อีกทั้ง จวนอ๋องเองก็มิได้มีเงินมากนัก นางจึงได้คิดหาวิธีช่วยจวนอ๋องหาเงิน
นอกจากนี้ อวิ๋นซียังคิดวางแผนให้ตระกูลอวิ๋นช่วยรับซื้อสมุนไพร ส่วนหมู่บ้านสกุลโจวนั้นก็รับหน้าที่เป็จุดทดลองในการผลิตและเก็บสมุนไพรเป็แห่งแรก ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าพอใจยิ่ง ตอนนี้หมู่บ้านสกุลโจวที่เคยยากจนจนแทบไม่มีข้าวกิน หลายๆ คนที่ขยันขันแข็งสักหน่อยก็ยินดีที่จะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร ทำให้ทุกเดือนมีรายได้ราวหนึ่งถึงสองตำลึงกันทั้งนั้น
ยิ่งกว่านั้น บางบ้านที่มีสมาชิกในครอบครัวหลายคน ในเดือนๆ หนึ่งสามารถทำเงินได้ถึงเจ็ดแปดตำลึง หรือบางครอบครัวยังได้เงินมากถึงสิบตำลึงก็ยังมี หมู่บ้านสกุลโจวยามนี้จึงไม่ใช่หมู่บ้านกลางหุบเขาเล็กๆ ที่แร้นแค้นอีกต่อไป ภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่สองเดือน คนไม่น้อยต่างก็เริ่มซ่อมแซมและสร้างบ้านใหม่ขึ้นมาได้แล้ว
ถึงกระนั้นอวิ๋นซีก็ยังเป็กังวลว่า สมุนไพรบนเขาจะถูกขุดไปจนเกลี้ยง นางจึงให้จวินเหยียนหาคนที่มีความรู้ในด้านการเพาะปลูกสมุนไพรเดินทางขึ้นเขาไปสอนชาวบ้านในหมู่บ้านสกุลโจว เพื่อที่ชาวบ้านเ่าั้จะได้ปลูกสมุนไพรที่เหมาะสมกับสภาพดินภายในหมู่บ้านด้วยตนเองได้
นอกจากนี้ เหล่าขุนนางที่ทำหน้าที่ดูแลประชาชนในระดับอำเภอของอำเภอโจวที่ถูกสืบพบว่ามีการโกงกินส่วยของราชสำนักก็ถูกริบตำแหน่ง และลงทัณฑ์ด้วยห้าม้าแยกร่าง เมื่อมีเื่เช่นนี้เกิดขึ้น แม้คนมากมายจะรู้สึกว่าการจัดการเช่นนี้ก่อเกิดกลิ่นคาวเืมากไปหน่อย แต่บรรดาชาวบ้านทั่วไปต่างอดไม่ได้ให้ปรบมือพร้อมโห่ร้องดีใจกันยกใหญ่
อวิ๋นซีมองไปยังอวิ๋นซานด้วยความแปลกใจ “ท่านพ่อ สมุนไพรมากเพียงนี้ ท่านจะนำไปยังที่ใดหรือเ้าคะ? ” สองเดือนมานี้สมุนไพรทั้งหมดที่มาจากหมู่บ้านสกุลโจวถูกอวิ๋นซานขนไปไว้ที่อื่นหมดแล้ว ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจมากกับวิธีการที่บิดาอวิ๋นของตนเลือกจัดการกับสมุนไพรเหล่านี้
ชีเหนียงยิ้มอยู่ด้านข้าง “่นี้บิดาเ้าออกเดินทางไปนอกเมืองเพื่อเจรจากับโรงยาหลายแห่ง เมื่อถึงตอนนั้นสมุนไพรต่างๆ ที่ตระกูลอวิ๋นซื้อมาได้นี้ก็จะถูกขายให้พวกเขาทั้งหมด ถึงแม้ราคาที่ตั้งไว้จะไม่สูง แต่พวกเราก็มิได้ขาดทุน ทั้งยังจะได้กำไรจากการขายนั้นอีกประมาณหนึ่งด้วย”
“แล้วโรงหมอแห่งนี้เล่าเ้าคะ ท่านจะทำเช่นไร? ” ไม่ว่าอย่างไรโรงหมออวิ๋นซานนั้นก็ไม่ได้ขายสมุนไพรเป็หลัก ดังนั้น หากบิดาตนไม่อยู่เสียที่นี่ แล้วใครเล่าจะเป็คนมาดูแลโรงหมอของตระกูลอวิ๋น?
“เตี๋ยชุ่ยและฉางซิ่นอย่างไรเล่า สองคนนี้อยู่ข้างกายพ่อมานาน ขอแค่มิใช่โรคประหลาดร้ายแรงอันใด พวกเขาล้วนสามารถจัดการได้ เื่นี้พ่อบอกพวกเขาไปแล้ว หากว่าเจอโรคใดที่พวกเขาไม่อาจจัดการได้ ก็ให้คนไปบอกเ้าที่จวนอ๋อง” อวิ๋นซานดื่มชาด้วยท่าทีนิ่งเฉย จากนั้นจึงแย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น
“รู้สึกเหมือนว่า ตัวข้าจะถูกท่านพ่อคิดบัญชีไปโดยไม่รู้ตัวแล้วนะเ้าคะ” อวิ๋นซีอดยิ้มแล้วกล่าวขึ้นไม่ได้ “ถึงกระนั้นตัวข้าจะอย่างไรก็ได้ หากเป็แค่งานง่ายๆ ก็ไม่นับว่ามีปัญหา เพียงแต่การทำเช่นนี้จะเป็การลำบากท่านพ่อเกินไปหรือไม่เ้าคะ”
หลายปีมานี้บิดารั้งอยู่ในหานโจว ทั้งยังไม่เคยมีความคิดที่จะพัฒนาโรงหมออวิ๋นซานให้ใหญ่โต เพราะหากเขามีความคิดเช่นนั้นแต่แรก คาดว่าสาขาย่อยของโรงหมออวิ๋นซานคงได้เปิดออกไปทั่วในหลายๆ เมืองนานแล้ว
เมื่ออวิ๋นซานได้ยินก็หัวเราะหึหึ “กาลก่อนเ้ายังเล็ก พ่อไม่วางใจ และจากไปไม่ได้ แต่ตอนนี้เ้าโตแล้ว ซ้ำยังแต่งออกไปแล้ว พ่อจึงไม่คิดจะขังตนอยู่ในนครหานโจวเล็กๆ นี่ไปชั่วชีวิต”
อวิ๋นซานมองบุตรสาวตนด้วยแววตารักใคร่ หากไม่ใช่เพื่อบุตรสาวแล้ว ตัวเขาย่อมไม่ยินดีที่จะเดินทางออกจากนครหานโจว เพราะด้านนอกนั้นมีเื่วุ่นวายมากเกินไป และไม่มีที่ใดที่จะทำให้เขาสบายใจได้เท่าหานโจว
แต่ว่า บุตรสาวตนแต่งให้หานอ๋อง เพียงใคร่ครวญสักนิดก็พอจะรู้แล้วว่า เื่ในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นนั้นอันตรายเพียงใด ดังนั้น สิ่งเดียวที่เขาผู้เป็บิดาจะพอทำให้ได้ก็คือ การคิดหาวิธี เพื่อทำให้ตระกูลอวิ๋นแข็งแกร่งมากขึ้นจนสามารถกลายเป็กองหนุนให้บุตรสาวและบุตรเขยได้
ชีเหนียงมองสองพ่อลูกคู่นี้ ชั่วขณะนั้นก็อดไม่ได้ให้ทอดถอนใจ ในอดีตนั้นคุณหนูของนางก็จากไปเช่นนี้ และทิ้งไว้เพียงอวิ๋นซีกับอวิ๋นซาน ทว่า ตอนนี้บุตรสาวของคุณหนูได้เติบใหญ่แล้ว นายท่านเองก็ต้องออกไปจากหานโจวอีกครั้งเพื่อสตรีที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตตนอย่างอวิ๋นซี
ชีเหนียงได้แต่หวังเพียงว่า อนาคตของพวกเขาสองพ่อลูกจะไม่ลำบากจนเกินไป เดินยากจนเกินไป นางค่อยๆ เงยหน้ามองขอบฟ้า จากนั้นจึงพูดเสียงเบาว่า “ท่านพี่ หากิญญาท่านอยู่บน์ ได้โปรดช่วยข้าปกป้องคุ้มครองพวกเขาสองพ่อลูกด้วยเถิด หวังว่าพวกเขาจะได้ใช้ชีวิตตนให้ดีหน่อย ดียิ่งขึ้นอีกหน่อย”