หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ผู้ใหญ่บ้านเฉินเพิ่งจะได้สติกลับมาจึงถามเฉินต้าจ้วงด้วยความเป็กังวลว่า “เ้าใหญ่ เหตุใดเ้าถึงรับปากเถ้าแก่อวี๋ไปเล่า? คงยังมิได้ไปถามโยวหรานกระมัง?”
เฉินต้าจ้วงประคองผู้ใหญ่บ้านเฉินพลางเอ่ย “ท่านพ่อไม่ต้องร้อนใจขอรับ ตอนท่านรับมือกับเถ้าแก่อวี๋ ข้าได้วิ่งไปเรือนสกุลต้วนมารอบหนึ่งแล้วขอรับ...”
ครั้นผู้ใหญ่บ้านเฉินได้ยินคำอธิบายของเฉินต้าจ้วงจนจบ เขาถึงขั้นตกตะลึงจนแทบกล้ามเนื้อหัวใจขาดเื มิน่าเล่า เถ้าแก่อวี๋มีท่าทีนอบน้อมถึงเพียงนั้นล้วนเป็เพราะเคอโยวหรานกับต้วนซานหลางนี่เอง!
ผู้ใดก็ได้บอกเขาทีว่า หากปันกำไรตามที่โยวหรานไปตกลงเอาไว้ พวกเขาจะต้องได้รับเงินทองตั้งมากมายเท่าใดกัน?
เขาเป็ผู้ใหญ่บ้านมาหลายสิบปี เหตุใดยามนี้กลับคำนวณบัญชีรายการนี้ไม่กระจ่างเสียแล้ว?
แม้จะคำนวณไม่ถูก แต่ผู้ใหญ่บ้านเฉินรู้ว่าจะต้องเป็เงินจำนวนมากอย่างแน่นอน
ผู้ใหญ่บ้านเฉินถึงกับอุทานครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างอดมิได้ “์! โยวหรานกับซานหลางช่างเก่งกาจนัก! ครอบครัวของพวกเราเชื่อคำฟังกล่าวของโยวหรานได้ไม่ถึงสองเดือน กลับร่ำรวยภายในชั่วข้ามคืนแล้วจริงๆ!”
เฉินต้าจ้วงกับเฉินเอ้อร์จ้วงพากันพยักหน้าระรัว หลังจากประสบกับเื่ของเถ้าแก่อวี๋ พวกเขายิ่งตัดสินใจอย่างหนักแน่นว่าสกุลเฉินของพวกตนจะติดตามพวกเคอโยวหราน
เพียงแต่ยังคงเป็เช่นที่เคอโยวหรานกล่าวเอาไว้ว่า โลกความเป็อยู่ของคนรวย คนสกุลเฉินย่อมมิอาจเข้าใจจริงๆ!
เพราะสำหรับผู้ที่กระทั่งเงินหนึ่งอีแปะยังต้องแบ่งใช้อย่างพวกเขา การจ่ายเงินหนึ่งตำลึงเพื่อดื่มเต้าฮวยหนึ่งถ้วยถือเป็เื่ที่มิอาจเข้าใจได้อย่างแท้จริง
เพียงแต่ยามนี้มิใช่เวลามาครุ่นคิดเื่นี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือเร่งขนย้ายถั่วเหลืองออกมาจากอุโมงค์ใต้ดิน จากนั้นจัดการแช่ถั่วก่อนจะเอาไปคั้นน้ำเต้าหู้...
ขณะที่ครอบครัวผู้ใหญ่บ้านเฉินกำลังง่วนงานอย่างมีความสุข ทางฝั่งนายท่านโฉวก็มีเวลาว่างเว้นหลังจากทำภารกิจที่อั้นจิ่วสั่งการจนเสร็จเรียบร้อย
เมื่ออารมณ์ผ่อนคลายลง เขาพลันนึกถึงสตรีที่ได้พบเห็นในหมู่บ้านเถาหยวนเมื่อหลายวันก่อน ภายในใจถึงกับรู้สึกคันยุบยิบจนยากจะอดกลั้น
นายท่านโฉวเรียกคนคุ้มกันจวนเข้ามาหนึ่งกลุ่ม สั่งให้จัดการเทียมรถม้าและหาแม่สื่อมานางหนึ่ง แล้วมุ่งหน้าไปยังเรือนสกุลเคออย่างเอิกเกริก
ในขณะเดียวกัน เคอเจิ้งเป่ยผู้เป็เ้าสี่ของเรือนผู้เฒ่าเคอที่แต่เดิมเล่าเรียนอยู่ในสำนักศึกษาได้ขอลาหยุดกับท่านอาจารย์ จากนั้นเดินทางกลับเรือนด้วยความรีบร้อน
ทันทีที่ก้าวเข้าประตูพลันดึงผู้เฒ่าเคอมาเอ่ยถามว่า “ท่านพ่อ ท่านรู้เื่ที่ต้าส่าไปเข้าเรียนในสำนักศึกษาหรือไม่ขอรับ?”
“หา?” ผู้เฒ่าเคอเบิกตาโต จ้องมองบุตรชายลำดับสี่ของตนอย่างไม่อยากเชื่อ
คำกล่าวเมื่อครู่ของบุตรชายหากแยกออกจากกันยังดูมีเหตุมีผล แต่เมื่อเอามารวมเข้าด้วยกัน เหตุใดตนกลับฟังไม่เข้าใจเสียแล้ว?
อันใดคือต้าส่าไปเข้าเรียนในสำนักศึกษา? ต้าส่าผู้นั้นคิดจะเรียนหนังสืองั้นหรือ? อย่าไปทำให้ใบหน้าชราของตนต้องขายขี้หน้าจะได้หรือไม่?
เมื่อคิดเช่นนี้ ผู้เฒ่าเคอพลันเอามือไพล่หลังเดินวกไปวนมาอยู่ในห้องถึงสองรอบ “มิได้ ข้าจะต้องไปยังเรือนสกุลต้วนเพื่อห้ามเ้าทึ่มผู้นั้น สมองใช้การไม่ค่อยจะดียังคิดไปเรียนหนังสือ? มิอาจปล่อยให้เขาทำลายชื่อเสียงเรือนสกุลเคอของข้าจนกลายเป็ตัวถ่วงอนาคตของเ้ารองกับเ้า”
เพิ่งจะสิ้นคำกล่าว ผู้เฒ่าเคอพลันเดินออกไปนอกประตู เคอเจิ้งเป่ยคิดอยากจะห้ามแต่กลับไม่ทันการ
เพิ่งจะก้าวข้ามธรณีประตูห้อง พลันพบว่าภายในลานเรือนมีคนกลุ่มหนึ่งกรูเข้ามา ผู้ที่นำหน้าคือบุรุษร่างท้วมหูใหญ่ใบหน้ามันวาวที่สวมเครื่องแต่งกายทำจากผ้าไหมสีน้ำเงินเข้ม
ผู้เฒ่าเคอจำบุรุษผู้นี้ได้หลังจากการมองเพียงปราดเดียว ภายในใจถึงกับกระตุก : ครอบครัวของตนไปยั่วโทสะผู้สูงส่งท่านนี้ั้แ่เมื่อใดกัน?
สกุลโฉวกับสกุลต่งคือสกุลมั่งคั่งที่เลื่องชื่อของแถบชายแดนแห่งนี้ กระทั่งจวนว่าการก็ยังมิอาจแตะต้องเช่นกัน
ผู้เฒ่าเคอเป็เพียงชาวบ้านทั่วไปที่ไม่สะดุดตา แม้ภายในเรือนจะมีบุตรที่สอบติดซิ่วไฉกับถงเซิงในยุคสมัยที่สรรพสิ่งล้วนต่ำต้อยมีเพียงบัณฑิตที่สูงส่งเช่นนี้ ย่อมทำให้ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงต่างพากันประเมินสกุลเคอสูงกว่าเดิมอยู่บ้าง
แต่เมื่อเทียบกับสกุลโฉวที่เป็สกุลใหญ่และมีกิจการใหญ่โต ยังนับว่าไม่มีค่าพอให้ชายตามองแต่อย่างใด
ครั้นเคอเจิ้งเป่ยที่ไล่ตามหลังผู้เฒ่าเคอออกจากประตูเห็นท่าทีเช่นนี้ของสกุลโฉว เท้าที่เพิ่งยกก้าวก็ถูกชักกลับไปทันที เอาแต่หลบซ่อนอยู่ภายในห้องไม่กล้าออกมา
ขณะที่ผู้เฒ่าเคอกำลังใคร่ครวญอยู่ในใจว่าแท้จริงแล้วครอบครัวของพวกตนไปก่อเื่อันใดเอาไว้ ถึงได้ทำให้คนเช่นนายท่านโฉวเดินทางมาเยือนถึงเรือนด้วยตนเอง
นายท่านโฉวพลันประสานมือคารวะไปทางเขาแล้วเอ่ยว่า “ไอ้หยา นี่มิใช่ท่านอาเคอหรอกหรือ? ครั้งนี้มาเร็วไม่สู้มาได้จังหวะพอดีจริงๆ นี่ท่านกำลังจะออกไปข้างนอกเช่นนั้นหรือขอรับ?
ดูโชคของข้าผู้นี้เถิด ได้บังเอิญมาเจอท่านพอดี มิเช่นนั้นครั้งนี้คงจะมาเสียเที่ยวเสียแล้ว ฮ่าๆๆๆ...”
หนังตาของผู้เฒ่าเคอกระตุก เขารีบประสานมือคารวะพลางเอ่ยทักทายอย่างเกรงใจเช่นกัน “ลมอันใดหอบนายท่านโฉวมาถึงที่นี่หรือ? เป็แขกที่มิได้มาเยือนบ่อยนัก เชิญท่านรีบเข้ามาข้างในห้องเถิด”
กล่าวตามตรง ผู้เฒ่าเคอไม่อยากจะเชิญนายท่านโฉวผู้นี้เข้าเรือนแม้แต่นิด
ทั่วทั้งสิบลี้แปดหมู่บ้านแห่งนี้ มีผู้ใดไม่รู้บ้างว่านายท่านโฉวอาศัยอิทธิพลของสกุลตนเองข่มเหงรังแกผู้คนจนเคยตัว หากชาวบ้านยากจนเช่นพวกเขาสร้างความหมางใจให้คนเช่นนี้ ยังจะไปมีเื่ดีๆ อันใด?
ทว่านายท่านโฉวกลับมิได้เป็เช่นที่ผู้เฒ่าเคอคิดเอาไว้ เพียงยกยิ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจว่า “ท่านอาเคอเรียกข้าว่าโฉวฝูเป็พอ ไม่ต้องเกรงใจถึงเพียงนี้ขอรับ”
ผู้เฒ่าเคอ “...?”
เหตุใดนายท่านโฉวจึงพูดคุยด้วยง่ายดายถึงเพียงนี้? หรือว่าวันนี้เกิดภาพหลอนเสียแล้ว?
ผู้เฒ่าเคอพาโฉวฝูเข้ามาในห้องอย่างใจลอย ยังคงงุนงงเสียจนไม่ทันสังเกตเห็นแม่สื่อผู้สวมชุดมงคลทั้งกาย
บนศีรษะของแม่สื่อผู้นั้นปักไว้ด้วยดอกไม้ผ้าไหมประดิษฐ์สีแดง ใบหน้าทาแป้งหนาและแต้มชาดแดงทรงกลมสองวงบนโหนกแก้ม ช่างสะดุดตาผู้คนยิ่งนัก
บนกายทากลิ่นเครื่องหอมรุนแรงเสียจนทำให้จมูกผู้อื่นประสาทรับรู้อ่อนไหว กระทั่งอยู่นอกลานเรือนก็ยังคงได้กลิ่น
นางเดินตามโฉวฝูเข้ามาในห้อง กลิ่นนั้นพลันกลบกลิ่นอับชื้นทั่วทั้งห้องภายในเสี้ยววินาที
ยามนี้ผู้เฒ่าเคอเพิ่งจะรู้ตัวว่ามีแม่สื่อตามเข้ามาด้วย ั์ตาของชายชราถึงกับหรี่เล็กลงโดยไม่รู้ตัว
ตนมีบุตรชายสี่คนกับบุตรสาวหนึ่งคน เ้าใหญ่เคอเจิ้งตงมีบุตรสาวสามคน เคอโยวหรานออกเรือนแล้ว เคอโยวหลานอายุสิบสองปี และเคอโยวเยวี่ยเพิ่งจะแปดปี ล้วนยังไม่ถึงวัยเหมาะจะออกเรือน
เ้ารองเคอเจิ้งหนานมีบุตรชายสองคน เคอฉี่จี๋อายุสิบสองปี เคอฉี่เสียงอายุสิบเอ็ดปี ต่างกำลังเล่าเรียนในสำนักศึกษา โดยปกติแล้วอาศัยอยู่ในตัวเมืองอำเภอกับเคอเจิ้งหนาน น้อยครั้งนักจะกลับมา
ส่วนเ้าสามเคอเจิ้งซีมีบุตรชายสามคน เคอฉี่อันอายุสิบปี เคอฉี่คังอายุแปดปี ส่วนเคอฉี่ซิ่งอายุเจ็ดปี
เ้าเด็กทั้งสามวิ่งไปทั่วหมู่บ้านไม่เคยอยู่ติดเรือน นับเป็เด็กกึ่งโตที่กำลังกินเก่งจริงๆ
รุ่นหลานล้วนแต่ไม่มีวัยที่เหมาะสมจะออกเรือน เช่นนั้นก็เหลือเพียงเ้าสี่เคอเจิ้งเป่ยกับบุตรสาวคนเล็กเคอก่วงเถียนแล้ว
นายท่านโฉวผู้นี้อายุแค่สามสิบกว่า มีบุตรชายคนโตอายุครบสิบหกปี ทว่าภายในจวนไม่มีบุตรสาวที่เหมาะจะออกเรือนเลยสักคน เช่นนั้นนายท่านโฉวมาเพื่อสู่ขอภรรยาให้บุตรชายของตนเองงั้นหรือ?
เมื่อคิดเช่นนี้ หัวใจของผู้เฒ่าเคอจึงค่อยๆ รู้สึกผ่อนคลายลง สกุลโฉวมีเงินทอง หากก่วงเถียนออกเรือนไปก็จะได้เป็ฮูหยินน้อยสกุลโฉว
ไม่เพียงได้กินดีอยู่ดี แต่ยังจะคอยช่วยเหลือเรือนสกุลเคอได้บ้างเช่นกัน
ผู้เฒ่าเคอใคร่ครวญอยู่ในใจ แม้ภายในเรือนจะมีที่ดินสามสิบกว่าหมู่ แต่หากหักค่าครูของบุตรชายทั้งสองกับหลานชายทั้งสองออกไปก็ไม่เหลือเงินทองสักเท่าใดจริงๆ
ยามนี้คนทั้งเรือนล้วนกินอาหารราคาถูก ใช้ชีวิตอย่างขัดสนจวนตัวอย่างยิ่ง
ยังคงเป็เ้ารองที่เป็หน้าเป็ตา ได้ทำงานเป็นายอำเภอในจวนว่าการอำเภอ มีคนคอยมอบสินน้ำใจยามช่วยจัดการธุระอยู่ไม่น้อย
รวมถึงเงินที่เ้าสามหามาจากการทำงานข้างนอกตลอดหนึ่งปี พอจะมีเงินกลับมาใช้สอยเล็กๆ น้อยๆ ในเรือน จึงพอฝืนประคับประคองคนทั้งครอบครัวไปได้
หากสามารถคบค้ากับสกุลโฉว เช่นนั้นเื้ัสกุลเคอของพวกเขาก็จะมีที่พึ่งพิงทั้งสกุลต่งกับสกุลโฉวเลยทีเดียว
สกุลต้วนที่เชิงเขาต้าชิงนับเป็อันใดกัน? ก็แค่นายพรานผู้หนึ่งเท่านั้น
เมื่อนึกเช่นนี้ ผู้เฒ่าเคอพลันยกยิ้มและเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าวันนี้โฉวฝูมาเยือนด้วยธุระอันใดงั้นหรือ?”
โฉวฝูหัวเราะเริงร่าก่อนจะปรบมือสองครั้ง ข้ารับใช้ข้างกายพลันส่งถาดซึ่งคลุมด้วยผ้าคลุมสีแดงเข้ามาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าผู้เฒ่าเคอ