แม้ศิษย์สำนักเทียนซินจะมากมาย แต่ก็ใช่ว่าจะมีคนลงเขาเป็จำนวนมากทุกวัน ดังนั้นคนในลานนกขนส่งจึงไม่เยอะเท่าไi
แต่ผู้ดูแลลานนกขงส่งนั้นมีหัวการค้า เขาแบ่งลานนกขนส่งเป็สองฟาก ด้านขวานั้นมีนกขนส่งตัวใหญ่ยี่สิบตัวไว้คอยรับส่งศิษย์สำนักเทียนซิน ด้านซ้ายนั้นบริการนักฝึกตนในเมืองเหอผิง แต่ต้องเก็บค่าบริการ คิดตามระยะทางที่ส่ง
เมื่อหลิงเซียวกับโหยวเสี่ยวโม่ไปถึง คนด้านซ้ายในลานไม่มากไม่น้อย
มีบางคนกำลังขึ้นนั่งนกขนส่งเพื่อออกจากเมืองเหอผิง บ้างกำลังต่อรองราคา เนื่องจากทุกครั้งราคาที่นั่งจะเริ่มไม่ต่ำกว่าหนึ่งเหรียญตำลึงทอง ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล แต่หากเกินกว่าที่กำหนดไว้ ก็ต้องคิดเพิ่ม มีบางคนรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม
โหยวเสี่ยวโม่เพียงมองอย่างสงสัย จากนั้นเดินไปฝั่งด้านขวา คิดไม่ถึงว่า กลับเจอใครบางคนที่คุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นเคยยังไงแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ พวกเขายังมีความแค้นกันด้วย
คนนั้นหาใช่ใครอื่น ซึ่งก็คือทังอวิ๋นฉีที่ไม่ได้พบกันนาน นอกจากนางแล้ว ยังมีศิษย์ร่วมสำนักสิบคน ที่แย่กว่าคือ ในนั้นมีบางคนที่โหยวเสี่ยวโม่รู้จักอยู่ด้วย
เซียวหลงคืออาจารย์ของเหลยจวี้ เขาคือคนนำคณะในครั้งนี้
เมื่อเห็นเขา โหยวเสี่ยวโม่หดคอเบาๆ จู่ๆ ก็นึกถึงเื่หนึ่ง
คลับคล้ายคลับคลาว่าเขาเองก็เคยมีเื่กับผู้าุโเซียวมาก่อน แม้เพียงทางอ้อม แต่พอเห็นเขา โหยวเสี่ยวโม่ก็นึกถึงเื่ที่เกิดขึ้นที่หอคัมภีร์ทั้งสองครั้ง ศิษย์สองคนของผู้าุโเซียว หลี่จวิ้นกับหวังอวี่เฟยถึงขั้นผูกปมความแค้นกับเขาแล้ว
แต่ที่น่าปวดหัวที่สุดคือ หลี่จวิ้นกับหวังอวี่เฟยก็อยู่ในคณะเดินทางนี่ด้วย พวกเขาก็เห็นหลิงเซียวด้วย มองสายตาฟาดฟันมาทางพวกเขา
“ผู้าุโเซียว? ไม่คิดว่าจะเจอพวกท่านที่นี่ ช่างเป็วาสนาจริงๆ!”
ผิดจากที่คาดคือ หลิงเซียวเป็คนเอ่ยปากพูดก่อน แต่คำพูดเขาที่โหยวเสี่ยวโม่ได้ยินเหมือนกำลังประชดพวกเขาอยู่เลย
หลิงเซียวนั้นไม่ได้อารมณ์สุนทรีย์แต่อย่างใด ใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม แต่เต็มไปด้วยท่าทีเสแสร้ง แต่มีเพียงโหยวเสี่ยวโม่รู้สึกได้
ทังอวิ๋นฉีเมื่อเห็นเขา ใบหน้าสะสวยพลันเผยรอยยิ้มกว้างตื่นเต้นดีใจ แต่เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ด้านข้างคือโหยวเสี่ยวโม่ ใบหน้านั้นก็มืดมนทันใด ปิดบังความเกลียดชังต่อโหยวเสี่ยวโม่ไม่อยู่จริงๆ
เซียวหลงถึงยังไงก็เป็ผู้าุโ อยู่จนป่านนี้ก็นับว่าอายุพอประมาณหนึ่ง ต่อหน้าผู้าุโน้อยกว่าก็ไม่อาจแสดงท่าทีเสียเชิง แม้ตอนนี้เขาจะไม่อยากเจอหลิงเซียวกับโหยวเสี่ยวโม่ แต่ท้ายสุดก็อดทนไว้ ใบหน้าฝืนยิ้มแล้วเอ่ย “อาจารย์อาเซียวข้าจะเทียบกับศิษย์หลานหลินได้อย่างไรกัน วันๆ เอาแต่พานักหลอมโอสถเทียวไปเทียวมา หากอาจารย์เ้ารู้เข้า คงได้เรียกไปพูดคุยอีกเหรอ”
พูดถึงนักหลอมโอสถ สายตาของเซียวหลงก็หันมากวาดตามองโหยวเสี่ยวโม่หนหนึ่ง สายตาดูแคลนสบประหม่า
โหยวเสี่ยวโม่ถูจมูก เอียงหัวเมินเขา
หลิงเซียวหัวเราะแล้วเอ่ย “เื่นี้ผู้าุโเซียวไม่ต้องเป็ห่วง”
เซียวหลงทำเสียง ‘ฮึ’ เอ่ยเสียงเยือกเย็น “พักนี้ ท่าทีของเผ่าปีศาจยิ่งอยู่ยิ่งกำเริบ ศิษย์หลานหลินอย่าได้ออกมาเตร็ดเตร่ไปเรื่อยจะดีกว่า ถึงเวลาเรียกหาคนกลับหาไม่เจออีก”
หลิงเซียวเพียงหัวเราะ แต่ไม่ได้ตอบอะไร
คณะของเซียวหลงก็ลงเขาเพื่อซื้อของเตรียมการเดินทางไปแดน์วิมาน พวกเขาพึ่งจบธุระราวสิบห้านาทีก่อน กำลังจะกลับไป แต่คิดไม่ถึงว่าจะเจอกันซะก่อน
แต่พวกเขาเลือกนกขนส่งได้สองตัว ทั้งสองตัวนั่งได้หกคนต่อหนึ่งตัว พวกเขามีเพียงสิบเอ็ดคน ดังนั้นจึงเกินมาหนึ่งที่ แต่เซียวหลงก็ไม่ได้เชิญชวนหลิงเซียวแต่อย่างใด
หลิงเซียวก็ไม่ได้ตั้งใจนั่งกับพวกเขา ลากโหยวเสี่ยวโม่ไปนั่งอีกตัว
คนดูแลลานนี้คุ้นเคยกับหลิงเซียวดี เมื่อเห็นเขาพาคนมาก็ตระเตรียมนกขนส่งที่นั่งได้สี่คนไว้ให้เขาอยู่แล้ว
หลิงเซียวให้โหยวเสี่ยวโม่ไปก่อน จากนั้นค่อยตาม
แต่ว่า ขณะที่เขาก้าวเท้าขึ้นไป ด้านหลังก็มีเสียงทังอวิ๋นฉีดังขึ้น
“เซียวเกอ รอข้าก่อน ข้าจะไปกับพวกท่านด้วย”
ขณะที่คนอื่นๆ ไม่ทันรู้สึกตัว ทังอวิ๋นฉีก็ะโลงมาแล้ว จากนั้นวิ่งมาทางหลิงเซียว ไม่รอให้หลิงเซียวได้ตอบ นางก็หันไปบอกกับคณะเซียวหลง “อาจารย์อาเซียว พวกท่านกลับไปก่อนเถอะ ข้าจะกลับกับเซียวเกอเอง”
เพราะนกขนส่งที่เก็บไว้ให้ศิษย์สำนักเทียนซินมีแต่ตัวใหญ่ๆ อย่างน้อยต้องนั่งได้สี่คน ดังนั้นตัวที่หลิงเซียวนั่งยังสามารถนั่งได้อีกสองคน และเพราะเหตุนี้ ดังนั้นทังอวิ๋นฉีจึงกล้าพูดเช่นนี้ แต่นางไม่ได้คิดเลยว่าหลิงเซียวจะยอมรับหรือไม่
แม้เซียวหลงจะเป็คนหนาทึบ แต่สมองเขาไม่ได้ทึบ สิ่งที่ทังอวิ๋นฉีไม่ทันคิดได้ เขาก็คิดได้แล้ว ฟังคำพูดนางเดิมทีอยากเรียกนางกลับมา แต่จู่ๆ ก็นึกบางอย่างได้ สายตาเซียวหลงเผยแววดีใจ ครู่เดียว เขากระตุกคิ้วแล้วพูดกับหลิงเซียว “เมื่อเป็เช่นนี้ งั้นก็วานศิษย์หลานหลินช่วยดูแลศิษย์หลานอวิ๋นฉีด้วย พวกข้าไปก่อนล่ะ”
พูดจบก็พาคนไปทันที
นกขนส่งสองตัวตีปีกเหินขึ้นฟ้าพร้อมกัน ลมสะพัดออกมา จากนั้นก็ทะยานออกไปไกลลับหายจากสายตา
อีกด้านหนึ่ง ทังอวิ๋นฉีดีใจยื่นแขนไปทางหลิงเซียว “เซียวเกอ ช่วยข้าหน่อยสิ”
หลิงเซียวหรี่ตาลง พวกนั้นคงคิดว่าเขาไม่กล้าปล่อยทังอวิ๋นฉีทิ้งไว้ ดังนั้นจึงตัดสินใจเองพลการงั้นรึ? เขาไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าพวกนั้นคิดอะไรอยู่
หากเขาปล่อยทังอวิ๋นฉีไว้ จากนั้นทังอวิ๋นฉีกับเซียวหลงต้องไปฟ้องทังฝานแน่ จากน้ำหนักแล้ว ผลลัพธ์คงเป็เขาที่ทำให้ทังฝานเดือดแล้วถูกลงโทษ และอาจถึงขั้นลามมาถึงโหยวเสี่ยวโม่ได้
แต่ว่า...ไม่เคยมีใครกล้าขู่เขาเช่นนี้มาก่อน
“ศิษย์พี่หลิง ให้นางขึ้นมาเถอะ”
ขณะนั้นเอง โหยวเสี่ยวโม่ที่นั่งอยู่บนนกขนส่งก็คว้าแขนเขาแล้วเอ่ยเสียงเบา
หลิงเซียวหันมองโหยวเสี่ยวโม่ที่ส่งสายตาจริงใจ พลันเก็บสายตาขุ่นเคืองเมื่อครู่ หันกลับไปเอ่ยกับทังอวิ๋นฉีอย่างเนือยๆ “ขึ้นมาเอง”
พูดจบก็ก้าวขึ้นหลังนกขนส่ง จากนั้นนั่งลงข้างโหยวเสี่ยวโม่
รอยยิ้มสดใสของทังอวิ๋นฉีพริบตาเปลี่ยนเป็หน้าบูดเบี้ยว แม้ศิษย์น้องผู้นี้ภายนอกจะเป็หญิงเลอโฉมผู้บอบบาง แต่นิสัยนั้นต่างกันสิ้นเชิง เขาไม่มีทางเลือกคู่ครองเช่นนี้มาหนุนบารมีตัวเอง ดังนั้นจึงเหมือนหลิงเซียว แกล้งทำเป็ไม่เห็น
ที่นั่งด้านหน้าสองที่ถูกพวกเขานั่งเต็มแล้ว ทังอวิ๋นฉีจึงได้แต่นั่งด้านหลัง
โหยวเสี่ยวโม่นึกว่านางจะนั่งด้านหลังหลิงเซียว แต่คิดไม่ถึงว่านางจะนั่งหลังเขา…
ทังอวิ๋นฉีนั่งลง จู่ๆ โหยวเสี่ยวโม่ก็รู้สึกว่าด้านหลังนั้นมีความเย็นะเืแผ่ซ่านมา ไม่ต้องหันกลับไปดูก็รู้ว่าสายตาของทังอวิ๋นฉีต้องจดจ้องที่เขาแน่นอน เขารู้สึกได้ถึงสายตาที่มองจ้องด้วยความชิงชังจนแทบจะทะลุเป็รู
ขณะที่คิดไปเรื่อยเปื่อย นกขนส่งก็บินขึ้น
โหยวเสี่ยวโม่ไม่ทันระวัง ทั้งตัวเกือบหงายหลัง แต่ทันใดนั้น หลิงเซียวที่อยู่ด้านข้างก็เงื้อแขนมาโอบเอวเขาแล้วอุ้มขึ้นทันควัน
เนื่องจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น โหยวเสี่ยวโม่ก็ถูกอุ้มอยู่บนตักหลิงเซียว พออยู่นิ่งแล้วก็ไม่ได้กะจะวางเขาลงแต่อย่างใด มือข้างหนึ่งโอบเอวเขาไว้ รัดเขาไว้แน่น
โหยวเสี่ยวโม่สะดุ้งโหยง อีกทั้งข้างหลังยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นของหลิงเซียวนั่งอยู่ด้วย
อย่างที่รู้กัน เมื่อความอิจฉาริษยาของผู้หญิงนั้นช่างน่ากลัว โดยเฉพาะศิษย์น้องทังผู้นี้ อีกทั้งหน้านางค่อนข้างบาง ไม่ชอบให้ใครมาพลอดรักกับหลิงเซียวต่อหน้า ดังนั้น...เื่หน้าไม่อายแบบนี้ควรทำลับหลังดีกว่า
แต่ว่า นมที่เขากินจนเติบโตไม่ได้ช่วยให้ขยับตัวออกจากหลิงเซียวได้เลย ราวกับเหล็กกล้าก็ไม่ปาน ไม่รู้สึกขยับเขยื้อนแม้แต่นิด กลับกันหายใจไม่ออกแล้ว
“ทำตัวดีๆ หน่อย” หลิงเซียวพ่นลมเบาๆ ใกล้หูเขา
โหยวเสี่ยวโม่หูแดงทันใด รีบเอ่ยตะกุกตะกัก “ท่านปล่อยข้าก่อน”
หลิงเซียวรัดแขนแน่นขึ้น หัวเราะแล้วเอ่ย “เ้าซื่อบื้อขนาดนี้ นั่งอยู่ก็หล่นได้ ข้าว่าแบบนี้แหละดีแล้ว”
ที่รัก นี่ไม่ใช่ประเด็นหลักเลย ที่สำคัญกว่าคือด้านหลังยังมีผู้หญิงขี้อิจฉานั่งอยู่ทั้งคน
พลอดรักหวานฉ่ำต่อหน้านางแบบนี้จะดีเหรอ? โหยวเสี่ยวโม่ลองนึกดู หากคนที่เขาชอบกำลังพลอดรักกับคนที่ตัวเองเกลียดที่สุด เขาคงสวดขอพรให้พระพุทธเ้าฆ่าชายโฉดหญิงชั่วคู่นี้ให้ตาย จากนั้นพร้อมกับพูดว่า เขานับถือศาสนาพุทธเช่นเดียวกับแม่เขา
แต่ที่ผิดคาดคือ ทังอวิ๋นฉีจากที่อารมณ์ปะทุแค่่แรก จากนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีผิดปกติอะไร เงียบเชียบตลอดทั้งทาง ไม่พูดแม้แต่คำเดียว ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม พวกเขาก็กลับมาถึงสำนักเทียนซิน
แยกจากกันตรงทางแยก จู่ๆ ทังอวิ๋นฉีก็หันมาพูดกับหลิงเซียว “เซียวเกอ ข้าไม่มีวันถอดใจจากท่านเด็ดขาด”
พูดจบไม่รอให้หลิงเซียวตอบ นางก็จากไป
เหลือเพียงโหยวเสี่ยวโม่ที่จ้องมองหลิงเซียวที่ยากจะคาดเดา ในใจหวาดผวา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้