“ญาติผู้พี่ฉีกล่าวเช่นนี้จริงๆ หรือ?”
“ข้าน้อยไม่กล้าพูดปด นายน้อยผู้พี่กล่าวว่าตระกูลฉีให้เขามายังหนานอี๋เพื่อดูแลคุณหนูใหญ่อย่างใกล้ชิดขอรับ…”
ซือโม่กล่าวพลางลอบสำรวจเฉิงชิง
นายน้อยต้องโกรธมากแน่
คุณชายรองฉีลืมตาพูดคำบอด ตั้งใจมาดูแลคุณหนูใหญ่ แต่กลับไปคลุกคลีกับดาวเด่นของหอิเยวี่ยอยู่เดือนกว่า พอสอบเข้าสถานศึกษาหนานอี๋ไม่ผ่านแล้วถึงค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าที่หนานอี๋มีญาติผู้น้องอยู่หนึ่งคน
หากคุณหนูใหญ่ไม่ได้แซ่เฉิง คุณชายรองฉีก็คงไม่มาเยี่ยมเยียนกระมัง!
มีว่าที่พี่เขยชวนให้ทุกข์ใจเช่นนี้ก็สมควรแล้วที่นายน้อยจะโกรธ
ที่จริงแล้วเฉิงชิงไม่ได้โกรธดังที่ซือโม่คิด เดิมทีนางก็มองตระกูลฉีไม่ดีอยู่แล้ว เมื่อไม่ได้คาดหวังไหนเลยจะผิดหวัง
หมั้นหมายใช่ว่าจะแต่งงานแล้ว ถึงแต่งงานแล้วก็ยังมีอิสระที่จะแยกทางกัน หากฉีเหยียนซงไม่พอใจเื่แต่งงานก็สามารถถอนหมั้นได้ เฉิงชิงรู้สึกว่าฉีเหยียนซงไม่ใช่คู่ครองที่ดี เื่ที่ควรทำคือเร่งขั้นตอนการถอนหมั้น ถ้าจะถอนก็ควรรีบถอน เหนี่ยวรั้งบุตรสาวคนโตโดยไม่ชัดเจนนี่นับว่าเป็อันใด ตัวเฉิงชิงเองรู้สึกว่าการออกเรือนตอนอายุสิบกว่าปีนั้นเร็วเกินไป แต่ผู้อื่นกลับไม่มองอย่างนั้น
หากอายุถึงยี่สิบปีแล้วยังไม่แต่งงาน ในแคว้นเว่ยถือว่าเป็สาวแก่ วัยผลิบานของหญิงสาวก็สั้นเช่นนี้ หากทางตระกูลฉีรีบเอ่ยมาอย่างชัดเจน เฉิงชิงก็จะได้หาสามีให้บุตรสาวคนโตใหม่อีกครั้ง
ที่ฉีเหยียนซงมาเยี่ยมเยียนที่ตรอกหยางหลิ่วย่อมต้องเป็เพราะเื่สถานศึกษา มีเื่ก็พูดเื่ได้ไหมเล่า ดันห่อเหตุผลที่ตนเองมาหนานอี๋ไว้รอบหนึ่งด้วยการกล่าวว่ามาเพื่อดูแลบุตรสาวคนโตอย่างใกล้ชิด— บุตรสาวคนโตที่ใสซื่อบริสุทธิ์ไหนเลยจะสามารถทนการยั่วเย้านี้ได้ ก็จะมองฉีเหยียนซงเป็ญาติผู้มีความสามารถขึ้นมาอีก รัศมีญาติผู้พี่ทางสายเืและคู่หมั้นสองวงนี้ก็ยิ่งสนับสนุนกัน บุตรสาวคนโตสามารถห้ามใจไม่ฝากความหลงใหลไปได้ด้วยหรือ?
มารดามันเถอะ นางคำนวณพลาดไปแล้ว!
เฉิงชิงหงุดหงิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงสั่งซือโม่ให้ลงเขาไป
“พอเ้ากลับไปในอำเภอก็ต้องไปแจ้งคุณชายรองฉีว่าข้าย่อมจะเอาใจใส่เื่ของเขา รอให้ข้าได้หยุดกลับบ้านสิ้นเดือนแล้ว จะต้องไปคารวะถึงบ้านด้วยตนเอง!”
คุณชายรองฉีล่วงเกินนายน้อยอย่างเหี้ยมโหดแล้วสินะ
เมื่อซือโม่คิดเช่นนี้ก็รู้สึกว่าคุณชายรองฉีไม่น่าคิดจะสอบเข้าสถานศึกษาหนานอี๋ตลอดชีวิตแล้ว ส่วนเฉิงชิงจะทำสำเร็จหรือไม่นั้น—— ซือโม่เชื่อมั่นอย่างไม่ลืมหูลืมตา
เมื่อซือโม่ไปแล้ว เ้าอ้วนชุยก็วิ่งเข้ามาหา
“เฉิงชิง ครอบครัวเ้าส่งของดีอะไรมา?”
เฉิงชิงเปิดฝากล่องออก “หากเ้าไม่รังเกียจก็มากินด้วยกันสิ”
นางหลิ่วซื้อปลาน้ำจืดในแม่น้ำ แต่ละตัวถูกชะล้างจนสะอาด ตัดหัวทิ้งแล้วก็เอาไปคลุกเคล้ากับแป้งและไข่ไก่ ทอดแบบกรอบนอกนุ่มใน พอเอาออกจากกระทะแล้วก็เอาไปคลุกกับงา กลิ่นหอมเตะจมูก
ปลาน้ำจืดขายไม่แพง สิบอีแปะก็ซื้อได้กองหนึ่ง เป็ของที่ชาวบ้านธรรมดาสามารถกินได้
แต่นางหลิ่วยังต้องควักไส้ขอดเกล็ด ทั้งต้องตัดหัวเองด้วย เรี่ยวแรงที่ใช้ไปไม่น้อยเลย เฉิงชิงมองดูแล้วมีมูลค่ามากกว่าตัวปลานัก
หากไม่ใช่ว่าสนิทกับเ้าอ้วนชุย นางก็ทำใจชวนเ้าอ้วนชุยมากินปลาทอดไม่ได้
อืม อย่างนี้แหละ ไม่ได้เกี่ยวกับที่เพิ่งได้กำไรสองร้อยตำลึงเงินจากมือเ้าอ้วนชุยเสียหน่อย
เพียงเ้าอ้วนชุยได้กลิ่นก็น้ำลายไหล ก้อนเนื้อบนตัวเขาก็ล้วนเกิดมาจากของที่เขากิน คนผู้นี้ชื่นชอบการกิน แต่ไม่พิถีพิถันเลือกว่าวัตถุดิบจะถูกหรือแพง ขอเพียงอร่อย เ้าอ้วนชุยล้วนกินหมด!
“ไม่รังเกียจ ไม่รังเกียจ… หอม ถ้ากินคู่กับเหล้าล่ะก็ ปลาหนึ่งตัวเหล้าหนึ่งคำ รสชาติเช่นนั้น จุๆ !”
พอกินปลาทอดตัวน้อยเข้าไปในปากแล้ว เ้าอ้วนชุยก็ทำทีวิพากษ์วิจารณ์อย่างจริงจัง
ภายในสถานศึกษาห้ามดื่มสุรา น่าเสียดายเหลือเกิน ปลาทอดเหมาะจะเป็กับแกล้มเหล้ามาก เ้าอ้วนชุยเอ่ยชื่อเหล้าแต่ละชนิดออกมาด้วยค่อนข้างให้ผลลัพธ์แบบมองลูกบ๊วยดับกระหาย[1]
เฉิงชิงพลันใจเต้น
“พี่ชุย เ้าดูเหมือนจะรู้เกี่ยวกับเหล้าทุกชนิดในตลาด แล้วรู้หรือไม่ว่าเหล้าอะไรแพงที่สุด”
เ้าอ้วนชุยคิด “ที่แพงย่อมเป็เหล้าชื่อดัง เหล้าในวัง แล้วก็มีพวกเหล้าหายาก อย่างเช่นเหล้าองุ่นที่ส่งมาจากฝั่งตะวันตก ไหเล็กๆ ไหเดียวก็หลายสิบตำลึงเงินแล้ว แต่ข้าไม่ค่อยชินกับการดื่มของพวกนั้น ที่มันสามารถขายได้ราคาแพงก็เพื่อให้บัณฑิตขึ้นราคาค่าตัว เหล้าองุ่นชั้นดีในแก้วเยวี่ยกวง[2]หรือ ถุย หากไม่เทใส่แก้วหลิวหลี[3]มันก็คือของธรรมดาทั่วไป!”
เหล้าองุ่นไม่ได้หายากมากมายอะไร
ก่อนหน้านี้นางมีร้านเหล้าเล็กๆ อยู่ร้านหนึ่งที่ประเทศฝรั่งเศส แม้ว่าจะเทียบกับเหล้าดังไม่ได้ แต่คุณภาพของเหล้าที่ผลิตนั้นไม่เลวเลย ในฐานะเ้าของร้านเหล้า ทุกปีนางจะเชิญเพื่อนบางคนกับคู่ค้าธุรกิจมาเป็แขกที่ร้าน หลายคนสนใจศิลปะการบ่มเหล้า เฉิงชิงต้องนำผู้อื่นพาชม ฟังมาเยอะมองก็แยะ นางจึงรู้ว่าเหล้าองุ่นควรจะบ่มอย่างไร
คนที่บอกว่ายากทำไม่เป็ แต่คนที่ทำเป็บอกว่าไม่ยาก หากนางสามารถบ่มเหล้าองุ่นออกมาได้ เหล้าองุ่นจากฝั่งตะวันตกที่ว่าไหหนึ่งกี่สิบตำลึงนั้น จะมีคนมาซื้อเหล้าองุ่นของนางที่ต้องจ่ายแค่เพียงสิบตำลึงไหมนะ?
แก้วหลิวหลีนับว่าเป็อันใด หลิวหลีก็คือแก้วที่มีค่าความไม่บริสุทธิ์มากเกินไป ในฐานะคนที่เกิดมาในยุควิทยาศาสตร์ นางก็หลอมแก้วเป็นะ นางพยายามไม่โอ้อวดอยู่!
ไม่ได้การ ธุรกิจที่ทำเงินเช่นนี้ นอกเสียจากนางยินยอมมอบให้คนในตระกูล ให้ตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋ออกหน้าดำเนินงาน หากพึ่งพาแค่พละกำลังของตนเองย่อมรักษาไว้ไม่ได้
ตัวนางเองอยากไปทำการค้า ไม่คิดเื่การสอบเข้ารับราชการแล้ว
สภาพอากาศของหนานอี๋ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกองุ่น เงื่อนไขแสงอาทิตย์ก็ไม่ถึงขั้น ปลูกองุ่นดีไม่ได้
ความ้าหลักของเฉิงชิงคือการใช้ประโยชน์เนินเขารกร้างแห่งนั้น
“กินปลาหนึ่งตัวแล้วจะได้เป็เทพ?”
เ้าอ้วนชุยพึมพำกับตนเองหลายประโยค เฉิงชิงไม่กิน งั้นเขาก็กินเพิ่มอีกหลายตัวหน่อย
ความคิดปลูกองุ่นบ่มเหล้านี้ถูกตัวเฉิงชิงเองปัดตกไปแล้ว นางไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้วจะเป็ฉีเหยียนซงที่ทำให้นางเกิดแรงบันดาลใจในการบุกเบิกเนินเขารกร้างแห่งนั้น
ผ่านไปสิบวันก็ถึงวันหยุดประจำเดือนของสถานศึกษาอีกครั้ง เมิ่งไหวจิ่นกล่าวว่าควรรักษาสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อนจึงไม่สนับสนุนให้นางเร่งทำบัญชีต่อ เฉิงชิงเก็บของแล้วกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านจึงรู้ว่าฉีเหยียนซงไม่ได้ซื่อบื้อ ทั้งยังมาตรอกหยางหลิ่วอีกสองครั้ง ทั้งสองครั้งมาอย่างมีเป้าหมาย ส่งเครื่องสำอางและเสื้อผ้าสตรีงดงามด้วยวางแผนจะให้บุตรสาวคนโตชื่นชอบ
เฉิงชิงหัวเราะหึๆ “ญาติผู้พี่ฉีย่อมไม่ได้จงใจลืมแน่ว่าพวกเรายังอยู่ใน่ไว้ทุกข์”
เดิมทีบุตรสาวคนโตไม่เคยใช้เครื่องประทินโฉมเหล่านี้ เสื้อผ้าสตรีที่สวยสดงดงามก็ยิ่งไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถสวมใส่บนตัวได้ใน่ไว้ทุกข์ พอถูกเฉิงชิงเอ่ยถึงขึ้นมาก็ไม่ยินยอมจะจับต้องแล้ว
เฉิงชิงรู้ถึงความใจร้อนของฉีเหยียนซง เมื่อมองกองสิ่งของก็ลอบโมโห เห็นบุตรสาวคนโตเป็นางคณิกาของหอิเยวี่ยแล้วหรือ?
ท่ามกลางสิ่งของกองนั้นมีน้ำดอกกุหลาบหนึ่งขวด เป็ขวดเล็กๆ ซือโม่กล่าวว่ามีค่าสองตำลึงเงิน นี่ยังคงเป็สินค้าทั่วไป ร้านค้านำเครื่องหอมและกลีบดอกกุหลาบแช่ไว้ด้วยกัน กลิ่นแรงแต่อยู่ได้ไม่นาน
หากเป็น้ำดอกกุหลาบชั้นดีที่ทั้งกลั่นทั้งบ่มหลายรอบของจริง สามารถใช้ได้ทั้งภายในภายนอก หนึ่งขวดต้องจ่ายหลายสิบตำลึงเงิน!
น้ำดอกกุหลาบอะไร นี่ก็คือน้ำหอมที่กินได้ไม่ใช่หรือ?
สิ่งนี้น่าสนใจเล็กน้อย
อย่างที่คิดไว้ ไม่ว่าจะยุคสมัยใด หาเงินจากสตรีดีที่สุด
เฉิงชิงนึกถึงเนินเขาเล็กนั่น ไม่ปลูกองุ่นก็เปลี่ยนไปปลูกกุหลาบแทนได้ไหมนะ?
ปลูกดอกไม้ทั้งไม่เสียหน้า ชื่อเสียงบัณฑิตโดดเด่นขจรไกล ชมดอกไม้ผสมเครื่องหอมถือเป็เื่ที่มีความสุนทรีย์ คนนอกก็ไม่อาจมาด่าว่านางเหม็นเงิน[4]!
เมื่อมีหนทางแล้ว อารมณ์ของเฉิงชิงก็ผ่อนคลาย หยอกล้อกับซือโม่
“ไม่คิดเลยว่าเ้าจะรู้เกี่ยวกับเื่น้ำดอกกุหลาบอย่างถ่องแท้ด้วย!”
สุดท้ายแล้วซือโม่จึงเลือกที่จะกล่าวความจริง “นายน้อย เหล่าฮูหยินของบ้านห้าไม่ชอบใช้น้ำหอมฟุ่มเฟือยเช่นนี้ เดิมข้าน้อยก็ไม่รู้ ท่านสั่งให้ข้าจับตามองคุณชายรองฉี เขาส่งน้ำดอกกุหลาบชั้นดีให้แก่ซือซือแห่งหอิเยวี่ยขอรับ…”
ซือโม่ยิ่งพูดก็ยิ่งเสียงเบาลง
เพล้ง เฉิงชิงเขวี้ยงน้ำดอกกุหลาบลงกับพื้นแตกเป็ผุยผง
ผิดไปแล้ว!
เดิมรู้สึกว่าที่ฉีเหยียนซงส่งเครื่องประทินโฉมกองนี้มาเป็เพราะลักษณะนิสัยเดิมที่มีสติปัญญาความรู้แต่ชอบอิสระอันยากจะปิดบังได้ ใช้ลูกไม้ที่ใช้เอาใจสตรีหอโคมเขียวมาซื้อใจบุตรสาวคนโต ผลสุดท้ายฉีเหยียนซงส่งของแท้ไปให้ซือซือแห่งหอิเยวี่ย ส่งของเลียนแบบมาให้บุตรสาวคนโต... บัดนี้เฉิงชิงอยากจะะเิหัวสุนัขของฉีเหยียนซงให้กระจุย!
[1] นึกถึงลูกบ๊วยดับกระหาย หมายถึงเมื่อสิ่งที่หวังไม่เป็ดังใจจึงใช้จินตนาการมาปลอบใจตนเอง มีที่มาจากตอนโจโฉเคลื่อนทัพในวันที่อากาศร้อนแล้วหาแหล่งน้ำไม่เจอ เหล่าทหารอ่อนแรงและกระหายน้ำมาก โจโฉจึงให้เหล่าทหารคิดกันว่าเบื้องหน้ามีป่าบ๊วยขนาดใหญ่ที่มีลูกบ๊วยลูกใหญ่และหวาน ให้เร่งเดินทาง เหล่าทหารเมื่อคิดว่าข้างหน้ามีลูกบ๊วยรออยู่จึงกระปรี้กระเปร่า หายกระหายน้ำ และมีเรี่ยวแรงเดินทางทันที
[2] แก้วเยวี่ยกวง คือแก้วที่ทำจากหยก กล่าวกันว่าสามารถเรืองแสงในที่มืดได้
[3] หลิวหลี คือคริสตัลที่หลอมด้วยเทคนิคโบราณของจีน
[4] เหม็นเงิน หมายถึงเห็นแก่เงิน
