ภายในรถม้าที่ประดับตกแต่งอย่างวิจิตรด้วยเครื่องยศ เคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า ออกจากตำหนักหานเยี่ย มุ่งหน้าสู่พระราชวังหลวง ร่างของหญิงสาวในชุดขาวสะอาด บนศีรษะปักด้วยปิ่นไม้แกะสลักอย่างเรียบง่าย สะท้อนฐานะอันต่ำต้อยของนางในยามนี้มิใช่ชนชั้นสูง หากเพียงบ่าวรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น
“ข้ารู้... ว่าเ้าครั้งหนึ่งเคยอยู่ในจวนสกุลหลี่” เขาเอ่ยพลางมองใบหน้างดงาม ที่บัดนี้ราบเรียบ ดวงตาว่างเปล่าไร้ความรู้สึก แน่นอนว่าพิษรักในอดีต ได้แปรเปลี่ยนหญิงสาวผู้เคยอุทิศชีวิตให้ชายผู้หนึ่ง ให้กลายเป็คนละคนโดยสิ้นเชิง
“แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเ้าเคยเป็ฮูหยินของสกุลหลี่ ด้วยเพราะเ้าหมกตัวอยู่แต่ในจวน ไม่เคยออกหน้าออกตา เช่นนั้นเ้าคงไม่รู้ธรรมเนียมในวังหลวงนัก... เ้าเป็เพียงสามัญชน จงเดินตามหลังข้า ข้าพูดสิ่งใด เ้าจงเชื่อฟัง” หญิงสาวเลื่อนสายตามองเขาอย่างนิ่งงัน แม้เขาจะเป็ถึงอ๋องผู้ทรงอำนาจ นางกลับไม่เคยได้ยินขุนนางผู้ใดกล่าวถึงเขาเลยสักครั้ง
“มองหน้าข้าเช่นนี้ คิดสิ่งใดอยู่” เขาถามเสียงเรียบ นางเอียงศีรษะเล็กน้อย ก่อนตอบกลับอย่างสงบ
“หญิงงามในใต้หล้ามีอยู่มากมาย ท่านจะเลือกบุตรีขุนนางผู้ใดก็ย่อมได้ เหตุใดจึงเลือกข้าเป็พระชายา? หรือแท้จริงแล้ว... ท่านเองก็ไม่มีทางเลือกมากนัก” เขาเพียงยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก
“เหตุผลของเ้า...ข้ายังไม่อยากรู้ ส่วนเหตุผลของข้า...เ้าก็ไม่จำเป็ต้องรู้เช่นกัน” นางยิ้มบาง ๆ
“แม้มิได้อยู่ในฐานะพระชายา...ท่านก็ยังใช้ประโยชน์จากข้าได้อยู่ดี” หญิงสาวกล่าว ขณะก้มมองอุปกรณ์วาดภาพที่เขามอบให้
“เหตุใดเ้าจึงพูดราวกับข้าเป็คนเห็นแก่ตัวเช่นนั้น? ทั้งที่เ้าเองก็ได้ประโยชน์มิใช่หรือ?เ้าวาดภาพ เ้าก็ได้ค่าตอบแทน รถม้าที่เ้านั่ง ก็เป็ของข้า อุปกรณ์วาดภาพก็เป็ของข้า เราต่างฝ่ายต่างก็ได้ประโยชน์ พูดเช่นนี้จึงจะถูกต้อง” จางเหยียนหลิงละสายตาจากใบหน้าหล่อเหลาของเขา แล้วหันมองทางอื่น
ในใจลึก ๆ นางเคยเกลียดคนประเภทนี้ที่สุด คนที่เห็นทุกอย่างเป็ผลประโยชน์แลกเปลี่ยน ก่อนเขาจะยื่นหน้ามาใกล้แล้วยิ้มมุมปาก
“บนโลกนี้ ไม่ใช่ข้าเพียงคนเดียวที่คิดเช่นนั้น สามีเก่าของเ้าก็เช่นกัน” ยังไม่ทันจบคำพูดเขา
“หยุดพูดถึงเขา...” นางหันกลับมาจ้องหน้าเขา มือบางกำแน่น ดวงตากลมแดงระเรื่อขึ้นมา เมื่อนึกถึงการกระทำของหลี่เทียนจิน
“หากวันนั้นเ้ายอมรับตำแหน่งชายาของข้า... อย่างน้อย ลูกของเ้าก็คงไม่ต้องพบจุดจบที่น่าสงสารเช่นนั้น” จางเหยียนหลิงหลับตาลงอย่างช้า ๆ เพื่อสงบอารมณ์
“โลกนี้ก็เป็เช่นนั้น... คนดี กับคนเขลา มีเพียงเส้นบาง ๆ คั่นไว้เท่านั้น” เขากล่าวปิดท้าย ก่อนเอนกายกลับไปนั่งที่เดิม สายตาเ็าเพียงมองหยดน้ำตาที่ไหลรินจากดวงตาของนาง แม้นางจะพยายามเช็ดมันกี่ครั้ง... มันก็ยังไหลไม่หยุด
เขานั่งมองอย่างเงียบงัน เช่นเดียวกับหญิงสาวที่ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ทั้งสองจมอยู่ในความเงียบตลอดเส้นทาง กระทั่งรถม้าแล่นเข้าสู่เขตพระราชวัง และหยุดลง
จางเหยียนหลิงค่อย ๆ ลงจากรถม้าแล้วเดินตามหยวนเฟิงอ๋อง สายตาของนางมองไปรอบ ๆ ภายในวังหลวงใหญ่โตกว้างขวาง ตำหนักและจวนต่าง ๆ ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็ระเบียบ ผู้คนในนั้นแต่งตัวด้วยชุดที่ทอจากผ้าเนื้อดี มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เวลาเดินผ่าน นางหันมองคนพวกนั้นและค่อย ๆ เข้าใจสัจจะความจริงบางอย่าง ที่ทำให้อดีตสามีของนางเปลี่ยนไปราวคนละคน ก่อนหยวนเฟิงอ๋องจะเอ่ยขึ้น
“พร้อมแล้วหรือไม่”
“ข้าพร้อมแล้ว” เสียงตอบเรียบสงบ ขณะสายลมพัดผ่านมาอีกระลอกราวเป็สัญญาณบางอย่าง เขาเดินนำหญิงสาวก้าวตรงไปด้านใน ก่อนหัวใจของนางหล่นวูบ เมื่อเห็นป้ายหน้าจวนขนาดใหญ่แกะสลักไว้อย่างสวยงาม
‘จวนสกุลไป๋’ นางหยุดชะงักทันที สายตากลมโตจับจ้องไปยังแผ่นป้ายตรงหน้า ความรู้สึกหนาวเหน็บแผ่ซ่านเข้าจับขั้วหัวใจ
“กลัวเหรอ?” สุรเสียงเยียบเย็นเอ่ยถาม เมื่อเห็นนางยืนนิ่งไม่ไหวติง หญิงสาวได้สติ ละสายตาจากป้ายจวน ผลักความรู้สึกหวาดหวั่นออกจากใจอย่างรวดเร็ว แล้วก้าวเข้าไปหาเขา สบตาอย่างหนักแน่น
“ส่วนแบ่งคนละครึ่ง...ท่านรับปากแล้ว อย่าได้คืนคำ” เขาไม่ตอบ เพียงหันกายเดินนำเข้าไปในจวนสกุลไป๋ เพียงแค่ทางเข้า ก็บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ จวนหลักสูงใหญ่โอ่อ่า รายล้อมด้วยเรือนแยกอีกหลายหลัง บ่าวไพร่นับร้อยคนคอยรับใช้จัดการทุกอย่างเป็ระเบียบ
สายตาหญิงสาวกวาดมองไปรอบด้าน ยิ่งตอกย้ำความจริงจวนสกุลไป๋ใหญ่โตกว่าตำหนักหานเยี่ยของหยวนเฟิงอ๋องหลายเท่าตัว ทั้งที่ตำแหน่งของเขาสูงกว่าขุนนางพวกนี้ด้วยซ้ำ
ขณะนั้นเอง จิ้นหาน องครักษ์คนสนิทของหยวนเฟิงอ๋อง น้อมกายลงเล็กน้อย พลางเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่ไว้ใจ
“จะให้ข้าน้อยติดตามเข้าไปด้านในด้วยหรือไม่” หยวนเฟิงอ๋องนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนตอบกลับเรียบเย็น
“ไม่ต้อง เ้าไปรออยู่ด้านนอกเถอะ” จิ้นหานพยักหน้ารับคำ น้อมกายถอยหลังแล้วเดินออกไป หญิงสาวที่เดินตามมาห่างราวห้าก้าว ค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้
“ไม่มีจิ้นหานคอยคุ้มกัน ก็อย่าเพ่นพ่านตามลำพัง”
“ข้าไม่ใช่เด็ก ที่จะทำตามอำเภอใจ” นางตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง ก่อนเขาสบสายตานางนิ่ง
“เป็เพียงบ่าว พูดกับข้าเช่นนี้ได้เหรอ?”
“แต่ข้าไม่ใช่บ่าวธรรมดา ข้าคือคน...ที่ท่านเห็นว่ามีประโยชน์บางอย่างไม่ใช่เหรอ?” เป็ครั้งแรกที่เขานิ่งเงียบ ไม่ย้อนคำกลับ เพราะทุกถ้อยคำของนางล้วนเป็ความจริง เขาเบือนหน้าออก แล้วเดินนำเข้าไปด้านใน
‘สกุลไป๋ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้… ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลี่เทียนจินถึงกล้าทิ้งสัญญาที่เคยให้ไว้ ยิ่งไม่แปลกใจว่าทำไมหลี่ชิงหลีถึงรังเกียจข้านัก เพราะข้าไม่มีสิ่งใดเทียบกับไป๋หลานเสวี่ยได้เลย…’
ความคิดยังไม่ทันสิ้นสุด บ่าวรับใช้คนหนึ่งก็เหลียวมาเห็นหยวนเฟิงอ๋อง รีบน้อมกายเคาพด้วยท่าทีลนลาน
“ไม่ต้องมากพิธี ข้ามาตามประกาศใบนี้” เขากล่าว พลางยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ บ่าวรับใช้ก้มลงอ่านแล้วอึกอัก พลันหันซ้ายหันขวา ราวกับหาคนตัดสินใจแทน
“วันนี้... มีผู้ใดมาวาดภาพแล้วหรือยัง?”
“เอ่อ....” บ่าวรับใช้ก้มหน้างุด ไม่กล้าตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ทันใดนั้น ร่างของไป๋เซิ่นเยว่จึงก้าวเข้ามา เมื่อเห็นผู้มาเยือนคือหยวนเฟิงอ๋อง เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนปรับสีหน้าให้สงบ แล้วค้อมกายเคารพ
“ท่านอ๋องมาถึงจวนสกุลไป๋ มีเื่อันใดงั้น” หยวนเฟิงอ๋องไม่ได้ตอบในทันที เขาหันไปดึงกระดาษจากมือบ่าว ก่อนยื่นให้เ้าของจวน ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่ใส่ใจมารยาทเท่าใดนัก
“ข้าเห็นประกาศหาคนวาดภาพ พอดีในจวนข้ามีบ่าวผู้หนึ่งฝีมือดี อยากให้นางมาลองวาดดู ผู้เป็ต้นแบบเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง?”
ทันดใดนั้น เสียงแหลมของไป๋ฮูหยินดังแทรกขึ้น ทุกสายตาหันไปตามเสียง พบหญิงกลางคนถือพัดลายหงส์ เดินเข้ามาอย่างสง่างาม นางปรายตามองหยวนเฟิงอ๋องจากศีรษะจรดปลายเท้า แล้วแค่นยิ้มอย่างเย้ยหยัน
“ภาพบุตรสาวกับบุตรเขยของข้า...มีคนรับหน้าที่วาดเรียบร้อยแล้ว” หยวนเฟิงอ๋องปรายตามองเข้าไปด้านในเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงราบเรียบ
“ไหน ๆ ข้าก็มาแล้ว ขอเข้าไปชมหน่อย ว่าฝีมือดีเพียงใด ถึงได้รับความไว้วางใจจากไป๋ฮูหยิน” เขาก้าวไปข้างหน้า ทว่าหญิงกลางคนเอ่ยขัดทันที
“จวนสกุลไป๋ เป็พื้นที่ส่วนตัว แม้ท่านจะเป็อ๋อง หากเ้าของจวนไม่อนุญาต ใครก็เข้าไปมิได้ ท่านอ๋องโปรดกลับไปเถิด พวกเราไม่ข้องเกี่ยวกัน” นางเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี
“ถ้าเช่นนั้น...ข้าคงต้องขออนุญาตเ้าของจวน” เขาหันไปทางไป๋เซิ่นเยว่ ชายกลางคนลังเลครู่หนึ่ง ก่อนน้อมกายตอบ
“ท่านอ๋องกรุณามาถึงจวนทั้งที ข้ามิอาจปฏิเสธ เชิญท่านอ๋องด้านใน” สิ้นคำพูด สีหน้าของไป๋ฮูหยินเปลี่ยนทันใด นางขมวดคิ้ว แล้วปรายตามองสามีอย่างขุ่นเคือง จางเหยียนหลิงยังคงสงบนิ่ง ก้าวตามหยวนเฟิงอ๋องไปเงียบ ๆ มือบางกอดอุปกรณ์วาดภาพไว้แน่น
“ท่านอ๋องเชิญเข้าไปด้านในได้เลย ข้าขอไปเตรียมชาต้อนรับก่อน” ไป๋เซิ่นเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ พร้อมส่งสัญญาณให้บ่าวรับใช้นำทาง ก่อนเร่งไปจัดแจงเตรียมชาและอาหารว่างต้อนรับผู้มาเยือน
“เขามาคราวนี้ต้องมีแผนแน่ เหตุใดท่านไม่รีบไล่เขาไปเสีย” เสียงของไป๋ฮูหยินเอ่ยด้วยความกังวล ทำให้ชายกลางคนหันกลับมามองภรรยา พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เ้าลืมแล้วหรือ ว่าเขามีฐานะเป็อ๋อง ตามธรรมเนียมเราย่อมต้องให้เกียรติ ยิ่งไล่กลับยิ่งเป็ที่ครหา หากผู้ใดรู้เข้า จะหาว่าจวนสกุลไป๋ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
“ก็แค่อ๋องตกต่ำคนหนึ่งเท่านั้น เหตุใดเราต้องใส่ใจด้วย อยู่ ๆ ก็โผล่มา ไม่เห็นหรือว่ามันผิดปกติ? ข้าว่าเขาต้องมีแผนร้ายแน่” นางพูดพลางเหลือบตามองเข้าไปในเรือนรับรองด้วยความไม่ไว้ใจ
“เ้าเลิกระแวงเสียที จะยิ่งเป็พิรุธ” เขาพูดพลางส่ายศีรษะ ก่อนไป๋ฮูหยินจะดึงมือสามีไว้ แล้วถามด้วยความไม่พอใจ
“ท่านพูดเช่นนี้ หมายความว่าจะให้หยวนเฟิงอ๋อง เป็คนจัดการเื่ภาพวาดลูกเรางั้นเหรอ? ข้าไม่ยอมหรอกนะ” ชายกลางคนหันมายังภรรยาแล้วตอบกลับ
“แล้วจะให้ทำเช่นไร? ก็ไม่ใช่เพราะประกาศของเ้าเหรอ เขาถึงได้ตามมาที่นี่ แล้วที่บอกว่าหาคนวาดภาพได้แล้ว ไหนล่ะ?” เขาทำท่าหันมองไปรอบ ๆ ก่อนหญิงกลางคนจะนิ่งเงียบ
“ก็ต้องเป็ข้า ที่ต้องบากหน้าไปแก้ตัวใหม่” ชายกลางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงหน่ายใจ
“ท่านว่า เขาจะยังจำเื่นั้นได้หรือไม่?”
“เ้าอย่าได้วิตกนักเลย เื่นั้นมันก็ผ่านมานานแล้ว ตอนนั้นหยวนเฟิงอ๋องยังเด็ก เขาจำอะไรไม่ได้หรอก!” พูดจบ ชายกลางคน ก็เบี่ยงตัวเดินจากไป ทิ้งให้ไป๋เจินหนานยืนอยู่กับความร้อนรุ่มในใจอย่างบอกไม่ถูก หากบอกว่าเขาจำเื่ราวต่าง ๆ ไม่ได้ แต่สายตาเขา กลับคล้ายแฝงอะไรบางอย่างไว้ตลอดเวลา หากบอกว่าเขาจำอดีตได้อย่างแม่นยำ ก็แทบเป็ไปไม่ได้เช่นกัน เพราะตอนนั้นหยวนเฟิงอ๋องยังเยาว์มาก ไม่ว่าจะเหตุผลใด ก็ไม่อาจทำให้ไป๋ฮูหยินวางใจลงได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้