่ที่หลินหร่านกลับเข้ามาในห้องโถงใหญ่อีกครั้ง เขาถือตำราหนาเล่มหนึ่งติดมือมาด้วย
เพียงแค่มองเห็นก็รู้สึกได้ว่าเป็ตำราที่แปลกตา ดูเก่าแก่ยิ่งนัก
เมื่อหลินหร่านได้รับสัญญาณจากอวี้ฉู่จาว เขาจึงวางตำราลงตรงหน้าหรงจิ่ง
ก่อนที่หลินหร่านจะเดินกลับไปนั่งข้างกายอวี้ฉู่จาวดังเดิม แล้วหรงจิ่งก็ยื่นมือไปหยิบตำเล่มนั้นขึ้นมาเตรียมเปิดอ่าน
หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง
“นี่…” หรงจิ่งแสดงสีหน้าตกตะลึงกับสิ่งที่ได้อ่าน
“นี่คือตำราเล่มหนึ่งของหนานเจียง ที่มารดาของหลินหร่านนำติดตัวมาที่นี่ด้วย”
“จากที่กระหม่อมลองดูคำอธิบายที่เขียนเอาไว้ มันค่อนข้างสอดคล้องกับโรคระบาด ณ ตอนนี้นัก ไม่แน่ว่าตำราเล่มนี้อาจมีวิธีรักษาโรคระบาดก็เป็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ” สีหน้าของหรงจิ่งยังคงตะลึงงัน
ของสิ่งนี้ แม้จะดูลึกลับซับซ้อนและยากที่จะทำความเข้าใจ แต่อย่างไรสิ่งนี้จะต้องเป็ประโยชน์มากแน่
“ไม่ผิด เปิ่นหวังคิดว่าจะนำตำราเล่มนี้ไปให้ซูชิงเฟิง ให้เขากับอวิ๋นซีศึกษาตำราที่มารดาของอวิ๋นซีนำมาแล้วทำการเทียบยาเสีย” อวี้ฉู่จาวกล่าวออกมา
วันนี้ทำให้เขารู้ว่า โรคระบาดที่เกิดขึ้นอาจมีความเกี่ยวข้องกับหนานเจียงก็เป็ได้ แต่เื่ทหารปลอมในชาติภพก่อนนั้น มีเพียงเขาที่รับรู้เื่นี้
ดังนั้น เขาจึงสงสัยแค่อวี้ฉู่ซวน คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพหนานเจียง
ทว่าสิ่งที่สำคัญในตอนนี้ คือการเทียบยาเพื่อหาวิธีการรักษาและหยุดการแพร่ระบาดของโรคนี้ให้จงได้
หลังจากนั้น เขาต้องพยายามหาโอกาสเพื่อตรวจสอบว่าโรคระบาดในครั้งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอวี้ฉู่ซวนมากน้อยเพียงไหน
“อืม เท่าที่กระหม่อมลองอ่านก็รู้สึกได้ว่า บันทึกในตำราเล่มนี้มีความคล้ายกับโรคระบาดครั้งนี้ยิ่งนัก หากลองคิดดูง่ายๆ โรคระบาดนี้อาจแพร่กระจายมาจากหนานเจียง ถ้าหากเป็เช่นนั้นจริง นี่จะเป็ประโยชน์ต่อพวกเรา แต่ว่า…”
หรงจิ่งมองเนื้อหาในตำราก่อนครุ่นคิดอีกครู่หนึ่ง “แต่กระหม่อมกลับรู้สึกว่าตำราเล่มนี้ปกปิดบางอย่างอยู่ ราวกับว่าผู้คนที่กำลังทำบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับบันทึกในตำรานี้มีแผนการ”
อวี้ฉู่จาวอดถอนหายใจภายในใจไม่ได้
สมแล้วที่เป็หรงจิ่ง แม้กระทั่งตำราเพียงเล่มเดียวก็ทำให้ค้นพบจุดที่น่าสงสัย ตัวเขายังไม่ต้องออกแรงอะไร อีกฝ่ายก็สามารถแยกแยะสิ่งที่ชวนให้สงสัยได้ในทันที
“อันที่จริงแล้ว เื่โรคระบาดนี้คงไม่ใช่เื่ธรรมดานัก เื่นี้ต้องมีคนวางแผนอะไรอยู่อย่างแน่นอน” อวี้ฉู่จาวเอ่ย
“ผู้ที่อยู่เื้ัเื่นี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับหนานเจียง ทั้งยังต้องมีจุดเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่มีเงื่อนงำในเขตผิง และสิ่งนี้ทำให้กระหม่อมสงสัยเป็อย่างมาก หรือมีใครในราชสำนักที่สมรู้ร่วมคิดกับหนานเจียง พวกเขากำลังคิดจะทำการใด...ก็มิอาจทราบได้ชัด”
หรงจิ่งวางตำราลงแล้วกล่าวต่อ “ตอนนี้องค์ชายก็ติดโรคระบาดแล้ว อย่างไรเสีย ฝ่าาคงจะต้องทรงสืบหาเบาะแสของโรคระบาดนี้ต่อไป หากเป็เช่นนั้นเื่ราวในเขตผิง….ท่านอ๋อง คนที่รู้เื่ราวเกี่ยวกับเขตผิงมีไม่มากนัก กระหม่อมมีความเห็นว่าเราควรนำตัวคนเ่าั้ที่รู้เื่นี้มา เพื่อจะได้ให้พวกเขามีส่วนร่วมในการจุดชนวนไฟครั้งนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ทุกวันนี้ แม้ว่าเื่ในเขตผิงจะเงียบไปแล้ว แต่ถ้าคนเ่าั้มีอะไรปิดบังอยู่ เช่นนั้นก็ต้องไม่ยอมให้พวกเขาสืบค้นเื่ราวต่อเป็แน่ แล้วก็คงจะเอาเื่ในเขตชานเมืองที่อวี้ฉู่หลิงมักไปสำรวจบ่อยๆ มาเป็หลักฐานในการติดโรคระบาดครั้งนี้ขององค์ชาย
“เ้าจะทำอย่างไร” อวี้ฉู่จาวมองไปทางหรงจิ่งที่แสดงท่าทีมั่นใจ นี่ทำให้เขารู้ได้โดยพลัน
อีกฝ่ายคงกำลังมีแผนการบางอย่าง
หรงจิ่งเผยรอยยิ้มที่มุมปาก
แน่นอนอยู่แล้ว ตอนนี้เขากำลังวางกลยุทธ์อยู่
………
รอจนเวลาเย็นย่ำ ซูชิงเฟิงก็กลับมาถึงโรงยา
“ชิงเฟิง ชิงเฟิง” ด้านหลังของซูชิงเฟิงตามมาด้วยศิษย์น้องของเขาหรือจวินเชียนโม่ “ข้ารู้แล้วว่าข้าผิด”
จวินเชียนโม่เดินไล่ตามซูชิงเฟิงพร้อมกับสารภาพผิดมาตลอดทาง
ซูชิงเฟิงไม่ปริปากเอ่ยตอบ เขาไม่สนใจคำพูดของจวินเชียนโม่ ทำเพียงเดินตรงเข้าไปในโรงยา
เมื่อมาถึงหน้าประตูของโรงยา เขาก็พบกับหรงจิ่งที่กำลังยืนรออยู่
ซูชิงเฟิงจึงรีบก้าวเข้าไปหาทันที “เ้ามาได้อย่างไร”
ซูชิงเฟิงกับหรงจิ่งนั้นเปรียบเสมือนมือซ้ายและมือขวาของอวี้ฉู่จาว ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาเสมอ
เมื่อพบหรงจิ่ง สีหน้าของซูชิงเฟิงกลับเปลี่ยนเป็อ่อนโยนขึ้นมาโดยพลัน
“ข้ามีเื่จะปรึกษาเ้า”
“เข้ามาเถิด” ซูชิงเฟิงเปิดประตูโรงยา แล้วเชื้อเชิญหรงจิ่งเข้าไป
ส่วนจวินเชียนโม่นั้นยืนมองอยู่ด้านหลัง
ท่าทีที่ซูชิงเฟิงแสดงออกต่อหรงจิ่งทำให้ในใจของเขารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรนัก แต่เขาก็ทำได้เพียงเดินตามเข้าไปเงียบๆ
หลังจากที่หรงจิ่งเข้าไปด้านใน เขาก็เดินไปยังที่นั่งราวกับคุ้นเคยกับที่นี่เป็อย่างดี
ซูชิงเฟิงวางกล่องยาในมือลงก่อนจะนั่งลงตรงข้ามหรงจิ่ง
หลังจากซูชิงเฟิงนั่งลงเรียบร้อย เขาจึงได้เอ่ยถาม “มีเื่อันใด”
“โรคระบาด…” หรงจิ่งกล่าวออกมาเพียงแค่นั้น เพราะเขาพลันสังเกตเห็นจวินเชียนโม่ที่แฝงตัวอยู่โดยไม่ได้เอ่ยอะไร อย่างกับว่าอีกฝ่ายกำลังทำเหมือนตนเองไร้ซึ่งตัวตน
หรงจิ่งไม่ได้มีความสามารถด้านวิทยายุทธ์ หากจวินเชียนโม่ตั้งใจที่จะปกปิดลมปราณ หรือหากหรงจิ่งไม่ได้หันไปเห็นจวินเชียนโม่ก็คงไม่รู้ว่ามีคนมาอยู่ข้างๆ แน่นอน
ซูชิงเฟิงหันไปมองตามสายตาของหรงจิ่ง ก่อนจะหันไปมองจวินเชียนโม่
ในแววตาเขายังคงแฝงไปด้วยความโกรธจางๆ “คนผู้นี้คือศิษย์น้องของข้า มีนามว่าจวินเชียนโม่ เ้าไว้ใจได้”
ถ้อยคำของซูชิงเฟิงที่เอ่ยออกมาทำให้จวินเชียนโม่รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
อันที่จริง เขาอยู่ตรงนี้มาครู่หนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะเข้าไปขัดบทสนทนา
หรงจิ่งรีบแจ้งเื่โรคระบาดให้ซูชิงเฟิงรับรู้ และเมื่อส่งมอบสิ่งของบางอย่างให้เป็ที่เรียบร้อย เขาถึงเดินออกจากโรงยา
โดย่เวลาที่หรงจิ่งเดินออกมาจากโรงยานั้น เขาหันไปสบตากับจวินเชียนโม่พักหนึ่งอย่างมีนัย
ถึงอย่างนั้น จวินเชียนโม่กลับคิดว่าเขา้ายั่วยุ จึงได้ยกมือขึ้นโอบไหล่ซูชิงเฟิงแล้วดึงอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมกอด จากนั้นเริ่มแผ่รังสีของปีศาจเืเย็นอย่างทรงพลัง
หรงจิ่งระบายยิ้มที่มุมปากพลางเอ่ย “ชิงเฟิง ศิษย์น้องของเ้าแสดงท่าทีเป็เ้าของเช่นนี้ ดูท่าทางเ้าคงต้องระวังตัวแล้วกระมัง”
หรงจิ่งเอ่ยจบก็หันหน้ากลับมาแล้วก้าวออกไป
แววตาคู่นั้นของหรงจิ่งช่างเฉียบคมเป็อย่างยิ่ง คนรอบตัวเขาไม่ว่าใครก็รอดพ้นไปจากสายตาเขาไม่ได้
ทั้งซูชิงเฟิงและจวินเชียนโม่ต่างตะลึงงันทั้งคู่ โดยเฉพาะซูชิงเฟิงที่เอาแต่จ้องหรงจิ่งซึ่งเดินห่างออกไปแล้วไม่วางตา
“ชิงเฟิง” กระทั่งจวินเชียนโม่ที่ไม่ค่อยสนใจอะไรนัก ก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่ถูกผู้อื่นมองความรู้สึกของตนเองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ครู่ต่อมาเขาพลันกลับมาแสดงท่าทีดังเดิม
สำหรับซูชิงเฟิง หลังเขาถูกจวินเชียนโม่ช่วยเรียกสติกลับมาก็รีบผลักอีกฝ่ายออกไปให้ห่างจากตนเอง ก่อนจะเดินเข้าห้องไปทันที
จวินเชียนโม่ที่ถูกผลักจนร่างเซเล็กน้อยยังคงไล่ตามซูชิงเฟิงไปโดยที่ไม่ได้รู้สึกรำคาญใจแม้แต่น้อย
ซูชิงเฟิงหยิบตำราเล่มนั้นขึ้นมาก่อนเดินไปนั่งยังโต๊ะศึกษาตำราของตน จากนั้นไม่นาน เขาจึงก้มหน้าก้มตาศึกษาสิ่งที่อยู่ในมืออย่างตั้งใจ
จวินเชียนโม่นอนคว่ำหน้าพลางชันขาขึ้นบริเวณโต๊ะอ่านตำรา พร้อมกับเฝ้ามองซูชิงเฟิง “ชิงเฟิง เ้ายังไม่หายโกรธอีกหรือ? ข้าก็ยอมรับผิดแล้วนะ”
ซูชิงเฟิงยังคงนิ่งเงียบไม่เอ่ยปาก แต่จวินเชียนโม่ก็ยังพยายามแสดงท่าทีออดอ้อนต่อไป “ข้าผิดไปแล้ว ชิงเฟิง เ้าตอบข้าหน่อยเถิด ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว…”
จวินเชียนโม่วางศีรษะของตนลงบนไหล่ของซูชิงเฟิง เลือกที่จะตอแยอีกครั้ง
ท่าทีเช่นนี้ของจวินเชียนโม่เป็สิ่งที่ซูชิงเฟิงยากที่จะรับมือมากที่สุด เพราะเมื่อผ่านไปสักพัก ตัวเขาเองจะเริ่มรู้สึกรำคาญและทนไม่ได้
ซูชิงเฟิงวางตำราในมือลงแล้วถอนหายใจออกมา จากนั้นเอ่ยถาม “เ้าผิดอะไรหรือ?”
ซูชิงเฟิงหันไปจ้องอีกฝ่าย
จวินเชียนโม่ยังคงอยู่ในท่าเดิม เขาสบตาซูชิงเฟิงพร้อมกับทำตาโต อ้าปากเล็กน้อย แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
เขาจะไปรู้ได้อย่างไรกันว่าตนเองผิดเื่อะไร เพราะเห็นว่าซูชิงเฟิงกำลังโกรธ เขาถึงได้รีบเอ่ยขอโทษไปก่อน
ผู้เป็สามีจะต้องมีความยืดหยุ่น การยอมรับความผิดพลาดของตนเองต่อภรรยาก็ถือเป็หลักการที่ถูกต้อง
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของจวินเชียนโม่ ซูชิงเฟิงก็รู้ชัด
อีกฝ่ายยังไม่รู้ว่าตนเองผิดเื่อะไรเลย
“วันนี้เ้าเกือบจะตีคนผู้นั้นตาย เ้ารู้ตัวหรือไม่?”
“แต่นางขโมยของของเ้า นางก็ควรได้รับโทษมิใช่หรือ?”
“นางผิดที่ขโมยของ แต่นางเป็เพียงเด็กสาวไร้ซึ่งวิทยายุทธ์ เหตุผลที่นางต้องขโมยอาจเป็เพราะโชคชะตาบีบบังคับให้ต้องทำเช่นนั้นก็เป็ได้…”
ยังไม่ทันที่ซูชิงเฟิงจะเอ่ยจบ เขากลับถูกจวินเชียนโม่เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน “เช่นนั้นถือว่าไม่ผิดอย่างนั้นหรือ?”
จวินเชียนโม่ไม่เข้าใจในจุดนี้
“...แน่นอนว่านางทำผิด แต่หากเป็อย่างนั้น เราแค่ไปแจ้งทางการหรือตักเตือนนางก็พอแล้ว เหตุใดเ้าถึงคิดจะเอาชีวิตนางเล่า”
บัดนี้ แววตาของจวินเชียนโม่ที่มองซูชิงเฟิงกลับไม่ใช่แววตาที่แสนจะออดอ้อนอ่อนโยนเฉกเช่นก่อนหน้านี้อีกต่อไป
-----------------------------------------------
