“เซี่ยเจิง? ” ชวีเสี่ยวปอนึกไม่ถึงว่าเขาจะตอบตกลง แต่สิ่งที่ชวีเสี่ยวปอสนใจในตอนนี้คือ ั้แ่ออกจากห้องพักครูมาสีหน้าของเซี่ยเจิงก็ดูไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่เลย
“หืม” เซี่ยเจิงเดินลงบันไดไป ทั้งยังไม่ได้หันกลับมามองเขา
“ช่างเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว” ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกไม่อยากพูดขึ้นมาแล้ว ไม่ใช่เพราะเขารู้สึกอึดอัดใจอะไร แต่กลับเป็เพราะเขารู้สึกว่าในใจของเซี่ยเจิงมีเื่บางอย่างเก็บซ่อนเอาไว้อยู่ ทว่าเซี่ยเจิงไม่ได้อยากจะพูดมันออกมา ถึงแม้ว่าชวีเสี่ยวปอจะผ่านสถานการณ์เช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง เขาก็ยังคงรับมือกับมันได้ไม่ดี เขาจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบ ดีกว่าอารมณ์เสียออกไป
ทั้งสองคนเดินกลับมาอย่างเงียบสงัดตลอดทาง เซี่ยเจิงไปสูบบุหรี่ หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอไปเข้าห้องน้ำกลับมาแล้ว ซือจวิ้นก็เดินเข้ามาหาเขา พร้อมทั้งเอ่ยถามขึ้นมาว่า : “โหยวเจียเรียกนายสองคนไปหามีเื่อะไรเหรอ? ”
“ลีกบาสเกตบอลมอปลาย” ชวีเสี่ยวปอปกปิดความกลัดกลุ้มเอาไว้ไม่อยู่
“ฮะ? นายไม่อยากเข้าร่วมก็ไม่ต้องไปสิ” ซือจวิ้นรู้สึกคาดไม่ถึงเป็อย่างมาก แต่ก็ยังดีดนิ้วขึ้นมาอย่างไม่ได้สนใจเลยสักนิด “เื่เล็กแค่นี้เอง”
“แต่ว่าเซี่ยเจิงอยากเข้าร่วมอะ” ชวีเสี่ยวปอเงยหน้าขึ้นไปมองซือจวิ้น “อีกอย่างดูเหมือนว่าเขาก็อยากให้ฉันเข้าร่วมมากเหมือนกัน”
ในตอนที่ใกล้จะถึงเวลาเข้าเรียน เซี่ยเจิงก็เดินเข้ามาในห้องเวลาฉิวเฉียดกับเสียงกริ่งที่ดังขึ้นพอดี
ชวีเสี่ยวปอชำเลืองมองเขาไปครั้งหนึ่ง แล้วจึงพบว่าบนใบหน้าของเซี่ยเจิงมีหยดน้ำที่เช็ดออกไม่หมดติดอยู่
“ไปล้างหน้ามาเหรอ? ” คุณครูในคาบเรียนนี้ค่อนข้างที่จะอารมณ์ร้อนอยู่พอสมควร ว่ากันว่าเสียงะโถึงระดับขั้นทำลายล้าง ในตอนที่ด่าขึ้นมาแทบจะทำให้ไฟตรงทางเดินบนอาคารสั่นะเืจนแตกกระจายออกมาได้เลยทีเดียว ชวีเสี่ยวปอไม่กล้าที่จะทำตามอำเภอใจ จึงได้ถามออกไปเสียงเบา
“อืม ให้รู้สึกสดชื่นขึ้นหน่อย” เซี่ยเจิงตอบ
ชวีเสี่ยวปอไม่ได้พูดอะไรอีก ในขณะที่เรียนอยู่เขาแอบพูดกระซิบกับเซี่ยเจิงไปเพียงแค่สองประโยคก็ถือว่าสุดขีดแล้วจริงๆ ตัวเขาเองยอมนอนหลับไปดีกว่า ถ้าจะทำให้เซี่ยเจิงต้องเสียการเรียน อีกอย่างหนึ่งการมองเซี่ยเจิงขีดๆ เขียนๆ เช่นนี้ก็ถือได้ว่าเป็เื่ที่เพลินตามากเลยทีเดียว
ซึ่งเื่นี้เมื่อก่อนเขาก็รู้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้กลับแน่ใจยิ่งกว่าเดิม
หลังจากที่เลิกเรียนในตอนดึก ชวีเสี่ยวปอ เซี่ยเจิง และซือจวิ้นทั้งสามคนออกไปทานข้าวด้วยกัน ในขณะที่เดินออกมาจากร้านซี่โครงแกะ ซือจวิ้นก็พูดทิ้งไว้หนึ่งประโยคอย่างรู้ตัวว่า “พวกนายสองคนคุยกันไปนะ ฉันขอตัว” จากนั้นก็หายวับไปในทันที ปล่อยให้พวกเขาสองคนยืนอยู่ตรงทางแยก มองหน้ากันและกันอย่างทำตัวไม่ถูก
“รีบกลับบ้านไหม? ” เซี่ยเจิงถาม
“ไม่อยู่แล้ว” ชวีเสี่ยวปอตอบออกมาหนักแน่น “เดินไปกัน”
อันที่จริงตรงนี้ก็ไม่ได้น่าเดินสักเท่าไหร่ ร้านอาหารที่พวกเขามาทานกันไม่ได้ห่างจากโรงเรียนมาก บริเวณนั้นล้วนมีแต่อาคารร้านค้าเรียงรายอยู่เป็แถว ในเวลานี้ร้านค้าก็ปิดไฟปิดร้านกันแทบจะหมดแล้ว และที่บอกว่าเดินก็คือเดินจริงๆ ถือว่าเดินย่อยก็แล้วกัน
แต่ที่ชวีเสี่ยวปอเสนอความคิดนี้ออกมา เป็เพราะเขารู้สึกว่าเซี่ยเจิงเหมือนมีอะไรอยากจะพูดกับตัวเองอยู่
เป็เช่นนั้นจริงๆ ทั้งสองคนเดินออกมาอย่างเงียบๆ ไม่ถึงสองร้อยเมตร เซี่ยเจิงก็หยุดฝีเท้าลงพร้อมทั้งถามขึ้นมาว่า : “เดี๋ยวฉันพานายไปที่ที่หนึ่ง? ”
เมื่อเดินมาถึงตรงนี้ก็ไม่มีแสงไฟจากข้างทางแล้ว ที่นี่เป็อาคารเก่า บนผนังกำแพงที่หลุดลอกจนเห็นเป็รอยด่างมีไม้เลื้อยที่จะตายแหล่ไม่ตายแหล่ฝังรากเอาไว้อยู่เต็มไปหมด ทั้งยังมีกระจกแตกอยู่บานหนึ่ง ดูท่าแล้วคงจะยังไม่ได้รับการซ่อมแซม เพราะช่องกระจกที่แตกออกมาถูกใช้เพียงแค่เทปกาวปิดเอาไว้อย่างลวกๆ อยู่หลายชั้น ชวีเสี่ยวปอยืนอยู่ด้านล่างของตึก เขาได้กลิ่นผัดกับข้าวอันหอมฉุยซึ่งไม่รู้เลยว่าโชยมาจากบ้านของใคร ทั้งยังได้ยินเสียงแหลมของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังด่าใครบางคนอยู่ มีทั้งเสียงสบถด่าและเสียงร้องไห้ผสมรวมกันจนฟังไม่ได้ศัพท์
สถานที่แห่งนี้ตั้งปะปนอยู่ตรงกลางระหว่างอาคารที่พักอาศัยใหม่ทั้งสองฝั่งซึ่งห่างจากตรงนี้ไปไม่ไกล ราวกับว่าที่นี่คือหนองน้ำที่เป็แอ่งเว้าลงไปของเมืองเมืองนี้
“เดินระวังหน่อย” เซี่ยเจิงหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดไฟฉายส่องไปยังพื้นด้านล่างให้ชวีเสี่ยวปอที่เดินตามหลังมา “แย่กว่าเมื่อก่อนนี้เยอะเลย”
เมื่อก่อน?
ชวีเสี่ยวปอเดินหลบเลี่ยงพื้นที่เป็หลุมเป็บ่อเ่าั้ แล้วเดินตามรอยเท้าของเซี่ยเจิงไป เขาไม่รู้เลยว่าเขาเดินเลี้ยวขดไปขดมาแล้วกี่รอบ แต่สุดท้ายเซี่ยเจิงก็หยุดฝีเท้าลง เขาจึงหยุดตามไปด้วย
เซี่ยเจิงเงยหน้าขึ้นมามองตึกเก่าที่อยู่ด้านหน้า ส่วนชวีเสี่ยวปอก็จ้องมองเขาเพราะกำลังหอบหายใจ หน้าอกขยับขึ้นลงเล็กน้อย อันที่จริงทั้งสองคนเดินมาไม่ไกลมาก และไม่ได้รู้สึกเหนื่อยอะไรเช่นกัน ดังนั้นความไม่สงบในใจเช่นนี้ ล้วนส่งออกมาจากอารมณ์ความรู้สึกทั้งนั้น
“นายดูนี่” เซี่ยเจิงยื่นมือชี้ไปยังตึกที่อยู่ตรงหน้า
ชวีเสี่ยวปอมองตามไปยังทางที่นิ้วของเซี่ยเจิงชี้ออกไป ห้องที่เขาชี้ไปนั้นไม่ได้เปิดไฟ แทรกอยู่ตรงกลางระหว่างห้องชั้นบนและห้องชั้นล่างที่เปิดไฟสว่างโร่ จึงทำให้ดูมืดยิ่งขึ้นไปอีกอย่างเห็นได้ชัด
“นั่นคือบ้านเดิมของฉัน” เซี่ยเจิงลดแขนลง พร้อมทั้งพูดออกมาด้วยเสียงอันแ่เบา
“ฮะ” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่ามันกะทันหันเกินไป “ทำไมถึงพาฉันมาที่นี่ล่ะ? ”
เพราะอะไรกัน?
เซี่ยเจิงไม่ได้ตอบกลับมา แต่กลับดึงมือของชวีเสี่ยวปอเข้ามาในตึกโดยไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ
ที่นี่เป็ตึกพักอาศัยที่เก่ามาก อีกทั้งกลอนล็อกประตูตรงทางเดินก็มีเอาไว้แค่ประดับมาตั้งนานแล้ว ในตอนที่เซี่ยเจิงดึงประตูใหญ่ตรงทางเดินออก ประตูที่ชำรุดทรุดโทรมบานนี้ก็ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแสบแก้วหูออกมา ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอก็ใจนตัวสั่นขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่าด้านนอกจะไม่มีไฟถนน แต่กลับไม่ได้มืดสนิทจนมองไม่เห็น ทว่าทางเดินในตึกนี่สิถึงจะเรียกได้ว่ามืดสนิทของจริง หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอเดินเข้ามาเขาก็ยืนนิ่งอยู่หลายวินาที ก่อนที่ดวงตาจะปรับรับกับแสงในนี้ได้
“ตามฉันมา” เขาได้ยินเสียงเซี่ยเจิงพูดขึ้น
ทั้งสองคนค่อยๆ ขยับก้าวขึ้นไปทีละก้าวภายใต้ความมืดมิด ในแต่ละชั้นจะมีบันไดขั้นเล็กๆ เพียงประมาณสิบกว่าขั้น แต่ชวีเสี่ยวปอกลับรู้สึกเดินได้ยากกว่าปกติมาก ไม่ใช่เพราะตกอยู่ในความมืดอันเงียบงัน แต่เป็เพราะความรู้สึกอึดอัดใจที่ปะทะเข้ามา ในทางเดินอันคับแคบนี้ ในโพรงจมูกของเขาได้กลิ่นของสิ่งต่างๆ มากมายหลายหลากอย่างผสมปนเปกันไปหมด ทั้งยังเป็กลิ่นทำให้รู้สึกคลื่นไส้จนอยากอาเจียน ชวีเสี่ยวปอรู้ว่าเซี่ยเจิงเองก็รู้สึกสะอิดสะเอียนกับสถานที่แห่งนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงทำให้เขาอยากรู้ยิ่งขึ้นไปอีกว่าทำไมเซี่ยเจิงถึงต้องพาเขามาที่แห่งนี้
“ถึงแล้ว” แม้ว่าเซี่ยเจิงจะพูดออกมาเสียงเบา แต่เสียงขณะที่พูดขึ้นมาในตึกกลับดึงขึ้นมาหลายเท่า
“ที่นี่? ” ชวีเสี่ยวปอมองไปยังประตูกันขโมยที่อยู่ด้านหน้าในความมืด ประตูบานนี้เป็ประตูกันขโมยแบบเก่าที่ไม่มีคนติดตั้งมานานมากแล้ว และที่บอกว่ากันขโมย แต่กลับใช้การไม่ได้ตามชื่อที่ตั้งไว้เลย
“อืม” เซี่ยเจิงวางมือลงไปบนประตู แล้วจู่ๆ เขาก็ยิ้มขึ้นมา : “นายดูนี่สิ”
ชวีเสี่ยวปอก้มหน้าลงตามแสงไฟจากโทรศัพท์มือถือ แล้วจึงเห็นตัวการ์ตูนเล็กๆ ตัวหนึ่งวาดอยู่บนประตูบานนี้ ซึ่งน่าจะใช้ลูกกุญแจวาดมันขึ้นมา ทันทีที่เห็นก็รู้ได้เลยว่าเป็เด็กวาด เพราะดูเหมือนว่าเด็กน้อยล้วนเป็เช่นนี้เหมือนกันหมด มักจะชอบวาดขีดๆ เขียนๆ ลงบนพื้นที่ว่างอย่างมีความสุข ทว่าความแตกต่างของตัวการ์ตูนตัวนี้ก็คือ ด้านหลังของตัวการ์ตูนยังมีตัวอักษรคำว่าตรง [1] เขียนอยู่เต็มไปหมด ชวีเสี่ยวปอกวาดสายตามองไป ตัวอักษรตัวสุดท้ายกลับยังเขียนไม่เสร็จ
“นายเขียนเองเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอเอ่ยขึ้นมาอย่างรู้สึกสงสัย “แล้วทำไมถึงต้องเขียนตัวอักษรคำว่าตรงไว้เยอะขนาดนี้ด้วย? นายกำลังนับจำนวนอยู่เหรอ? ”
“เป็จำนวนครั้งที่ฉันถูกขังเอาไว้ข้างนอก” เซี่ยเจิงพูดขึ้น “นึกไม่ถึงว่าจะเยอะขนาดนี้เลยนะเนี่ย”
ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอก็จับมือของเซี่ยเจิงให้แน่นขึ้น
ความจริงแล้ว ั้แ่ที่เดินเข้ามาตรงทางเดิน จนกระทั่งถึงตอนนี้ มือของทั้งสองคนไม่ได้ปล่อยออกจากกันเลย
ชวีเสี่ยวปอไม่อาจที่จะอธิบายความรู้สึกนี้ออกมาได้
หรือบางทีนี่อาจจะเป็ความแตกต่างของภาษากับการเห็นภาพจริงตรงหน้า เพราะเซี่ยเจิงเคยเล่าถึงวันเวลาที่อยู่ที่นี่ให้เขาฟังแล้ว แต่เมื่อสิ่งของเหล่านี้ซึ่งมีร่องรอยในอดีตฝังไว้อยู่ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของชวีเสี่ยวปอ ปะทะเข้ามา ทั้งยังขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้งไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
“นายรู้ไหม? ” เซี่ยเจิงลูบลงไปบนประตูอย่างเบามือ “ในตอนที่อยู่ที่นี่ ความหวังอันสูงสุดของฉันก็คือต้องออกจากที่นี่ไปให้ได้ ยิ่งไกลยิ่งดี”
ความสว่างของโทรศัพท์ค่อยๆ ดับลง แต่ชวีเสี่ยวปอกลับจับเสียงถอนหายใจของเซี่ยเจิงที่แทบจะไม่ได้ยินได้เป็อย่างดี ดวงตาของเขากำลังจ้องมองเซี่ยเจิงในความมืด จากนั้นจึงได้ยินอีกฝ่ายถามขึ้นมาว่า :
“อยากออกจากที่นี่ไหม? ทั้งนายและฉัน”
.............................
เชิงอรรถ
[1] ตัวอักษรคำว่าตรง ( 正 ) เนื่องจากเป็อักษรที่มีจำนวนห้าขีด คนจีนจึงใช้ตัวอักษรนี้เพื่อขีดนับจำนวน