“การทำลายสถิติมันไม่ง่ายขนาดนั้น บันไดเทียนเซียงอยู่มานานนับพันปี สถิติที่ดีที่สุดเกิดขึ้นเมื่อ 500 ปีก่อน ซึ่งผู้ทำสถิตินั้นได้คืออัจฉริยะคนหนึ่งจากราชวงศ์แห่งจักรวรรดิจิ่วโยว เขาใช้เวลาทั้งหมดสามชั่วยามในการขึ้นบันไดเทียนเซียง และตอนนั้นยังสร้างความสั่นะเืไม่น้อย แม้ซวนหยวนจวิ้นจะโดดเด่น แต่ไม่มีทางทำลายสถิติได้แน่”
หนิงเซียงได้ยินคำพูดของหญิงผู้นั้น ดวงตาของนางพลันไหววูบ ก่อนจะกล่าวเช่นนั้น นี่ทำให้หลาย ๆ คนในที่แห่งนั้นตะลึงเล็กน้อย
ด้วยระดับความยากในการขึ้นบันไดเทียนเซียง การใช้เวลาสามชั่วยามนั้นช่างน่าแปลกพิลึกอย่างมาก แม้อัจฉริยะในปัจจุบันมีฝีมือที่ค่อนข้างร้ายกาจ แต่สถิติที่ดีที่สุดอยู่ที่ 15 ชั่วยามขึ้นไป
ซึ่งเทียบกับสถิติสามชั่วยามไม่ติดเลยสักนิด แม้ซวนหยวนจวิ้นจะเก่งกาจ แต่ก็ไปไม่ถึงระดับนั้นแน่นอน เพราะฉะนั้นหนิงเซียงจึงคิดว่าซวนหยวนจวิ้นไม่มีทางทำลายสถิตินั้นได้ แม้แต่คนอื่น ๆ ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย การจะขึ้นบันได 99,999 ขั้นในเวลาสามชั่วยามถือว่าน้อยเกินไป สถิติจึงหยุดอยู่แค่นี้โดยที่ไม่มีผู้ใดทำลายลงได้
“คุณชายซวนหยวนเก่งกาจเพียงนั้น แม้ทำลายสถิติไม่ได้ แต่ข้าเชื่อว่าคุณชายซวนหยวนจะต้องทำคะแนนได้ดี” หญิงสาวเทียนเซียงหลินอีกคนกล่าวขณะมองซวนหยวนจวิ้นด้วยสายตาเลื่อมใสศรัทธา
เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนั้นต่างก็พยักหน้า ซวนหยวนจวิ้นเป็คนเก่งกาจ แต่สถิติขึ้นบันไดเมื่อ 500 ปีก่อนไม่ใช่เื่เล็ก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดทำลายสถิติที่น่าสะพรึงกลัวนี้ได้ กระทั่งสถิติที่ใกล้เคียงก็ยังไม่มี เห็นได้ชัดว่าภารกิจนี้มันช่างยากเย็นนัก
อย่างไรก็ตามเสียงพูดคุยของผู้คนดังเข้าไปในหูของซวนหยวนจวิ้น ทำให้ซวนหยวนจวิ้นที่อยู่บนบันไดอดเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่งไม่ได้
ขณะนั้นร่างซวนหยวนจวิ้นเปล่งแสงจ้า ผ่านไปไม่นานเขาก็เดินสองก้าว ทุกก้าวล้วนมั่นคง แม้มีแรงกดดันจู่โจมเขาก็ไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้ นี่ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึง ทั้งยังมีเสียงโห่ร้องแสดงความดีใจกับซวนหยวนจวิ้นไม่หยุดหย่อน
ผ่านไปหลายสิบลมหายใจ ซวนหยวนจวิ้นเดินขึ้นบันไดหลายขั้น จนทิ้งห่างไปไกลกลายเป็คนที่เฉิดฉายที่สุด
หลังซวนหยวนจวิ้นมีผู้ฝึกยุทธ์เดินขึ้นบันไดอย่างต่อเนื่อง แต่มีน้อยคนที่อาเจียนออกมาเป็เืเพราะถูกแรงกดดันโจมตีอย่างคนแรก
แม้พวกเขาไม่ผ่อนคลายเหมือนซวนหยวนจวิ้น แต่กลับเดินขึ้นบันไดอย่างมั่นคง กระทั่งมีสองสามคนที่มีความเร็วพอ ๆ กับซวนหยวนจวิ้น
“ไม่คิดว่าจะยังนิ่งเฉย ข้าว่าเ้าคงกลัวแรงกดดันนั่น ช่างขี้ขลาดยิ่งนัก!”
ขณะนั้นหลิวหยางที่อยู่บนบันไดขั้นที่ 3 ยังคงดูถูกเย่เฟิงไม่หยุดหย่อน คนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนี้ต่างก็มองเย่เฟิงด้วยสายตาดูแคลน
โดยเฉพาะหญิงสาวสองสามคนที่อยู่ข้างกายหนิงเซียง จากนั้นหญิงผู้หนึ่งพูดขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าหมอนี่ผ่านด่านแรกมาได้ยังไง? ตอนนี้เขากระทั่งไม่มีความกล้าขึ้นบันไดเทียนเซียง ช่างน่าขายหน้านัก!”
หญิงผู้นั้นกล่าวอย่างไม่เกรงใจ ทำให้หลันเซียงที่อยู่ข้าง ๆ หันมามองทางนี้ด้วยสายตาเย็นเยียบ นางไม่ชอบให้ใครพูดจาดูถูกเย่เฟิง
“บันไดเทียนเซียงมีชื่อเสียงเช่นนี้แล ไม่เหมาะกับผู้มีตบะต่ำต้อย เขาอยู่แค่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ต่อให้ขึ้นบันไดไปได้ ก็คงจะทนได้ไม่นานหรอก เขาอาจรู้จักตัวเองดีก็เลยไม่ขึ้น!”
หนิงเซียงกล่าวเสียงเฉยชาขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาดูแคลน
เย่เฟิงได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนเหล่านี้ก็เหยียดยิ้มเ็า ซึ่งขณะนั้นเขาเอาสองมือไพล่หลัง เสื้อคลุมสีขาวพลิ้วไหวตามสายลม ทั้งยังมีพลังฟ้าดินแผ่ออกจากร่าง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็พลังฟ้าดินไร้ที่สิ้นสุด
“สวบ!”
ในขณะเดียวกันเย่เฟิงก็เริ่มเคลื่อนไหว โดยก้าวขึ้นบันไดเทียนเซียงอย่างเชื่องช้า
“วูบ!”
แรงกดดันมาเยือน แต่อำนาจฟ้าดินที่แผ่ออกจากร่างเย่เฟิงราวกับสื่อสารกับแรงกดดันของยอดเขาเทียนเซียงได้ ทั้งยังมีภาวะเป็กลาง กระทั่งดูดซับแรงกดดันเ่าั้มาเป็พลังส่วนหนึ่งของตัวเอง
ก้าวที่หนึ่ง... ยืนอย่างมั่นคง!
ผู้คนต่างประหลาดใจเมื่อพบว่าเย่เฟิงที่นิ่งเฉยมาตลอดก็ได้เคลื่อนไหวแล้ว เขาเดินขึ้นบันไดขั้นที่หนึ่งได้อย่างมั่นคง แม้แต่แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวยังหยุดยั้งเย่เฟิงไม่ได้ ซึ่งเย่เฟิงไม่ได้ต่อต้านแรงกดดันที่เกิดจากพลังฟ้าดินราวกับมีพลังที่ทรงพลานุภาพนั้นพกติดตัว นี่มันช่างน่าเหลือเชื่อ
“หมอนี่ยืนได้อย่างมั่นคง!”
ผู้คนเห็นเย่เฟิงขึ้นบันไดขั้นที่หนึ่งได้ต่างก็ประหลาดใจ พวกเขาไม่คิดว่าเย่เฟิงที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 จะผ่านไปได้อย่างราบรื่น กระทั่งไม่ด้อยไปกว่าซวนหยวนจวิ้น
หลิวหยางที่นำหน้าเย่เฟิงไปหนึ่งขั้นอยากพูดบางอย่าง ทว่ายังไม่ทันเอ่ยปาก ก็เห็นเย่เฟิงเคลื่อนไหวอีกครั้ง นาทีต่อมาเย่เฟิงเดินขึ้นบันไดขั้นที่สองจนเสมอภาคกับหลิวหยาง
ตอนนี้ร่างเย่เฟิงรายล้อมไปด้วยแสงแห่งอำนาจอันทรงพลัง อำนาจฟ้าดินของเขาบรรลุขั้นกายา่กลาง แม้บนบันไดเทียนเซียงจะมีพลังแก่กล้าและแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัว แต่กลับทำอะไรเย่เฟิงไม่ได้
หากเย่เฟิงปลดปล่อยอำนาจฟ้าดินขั้นกายา่กลาง เขาจะสามารถเดินขึ้นบันไดเทียนเซียงได้อย่างง่ายดายราวกับเดินเล่นก็ไม่ปาน ข้อได้เปรียบเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้อื่นจะทัดเทียมได้
เมื่อพูดถึงทั่วทั้งจักรวรรดิจิ่วโยว มีผู้ใดในขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ที่มีอำนาจฟ้าดินขั้นกายา่กลางบ้าง? เกรงว่าจะมีเพียงเย่เฟิงคนเดียว
“สวบ ๆ ๆ ๆ!”
จากนั้นได้ยินเสียงฝีเท้าดังต่อเนื่อง เย่เฟิงเดินขึ้นบันไดด้วยย่างก้าวสบาย ๆ พลางเอาสองมือไพล่หลัง ซึ่งเขาจงใจรักษาความเร็วที่ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป แต่การกระทำของเขาถือว่าสัมพันธ์ได้อย่างคล้องจองกัน ราวกับไม่มีวันหยุดตลอดกาล
เย่เฟิงไม่สนใจแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวจากยอดเขาเทียนเซียง แต่ปล่อยให้จู่โจมไปเรื่อย ๆ แน่นอนว่าพลังนี้ทำอะไรเขาไม่ได้แม้แต่นิดเดียว เพียงเวลาห้าถึงหกลมหายใจ เย่เฟิงก็เดินไปหลายสิบก้าวแล้ว กระทั่งฝีเท้าของเขาไม่มีทีท่าจะหยุด
“10 ก้าว… 20 ก้าว… 30 ก้าว… 50 ก้าว...!”
เย่เฟิงเดินด้วยย่างก้าวเช่นนี้ไม่หยุด จนไม่นานเขาก็ขึ้นนำทุกคน รวมทั้งซวนหยวนจวิ้นก็ถูกเย่เฟิงทิ้งห่าง
“นี่...”
เมื่อผู้คนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่างก็ตกตะลึง ทั้งยังมองเงาร่างที่ขึ้นบันไดไม่หยุดด้วยใจสั่นระรัว
ก่อนหน้านี้ซวนหยวนจวิ้นเดินหลายก้าว และใช้พลังอันแกร่งกล้าของตนเข้าต้านทานแรงกดดันที่จู่โจมมา จึงนำพาความตกตะลึงมาสู่เหล่าผู้คน แต่บัดนี้เห็นเย่เฟิงขึ้นบันไดด้วยวิธีแปลกพิลึก พวกเขาจึงตระหนักได้ว่าซวนหยวนจวิ้นนั้นด้อยกว่าเย่เฟิงมาก
เย่เฟิงใช้เวลาห้าถึงหกลมหายใจก็สร้างความตกตะลึงให้ผู้คนได้แล้ว อีกอย่างย่างก้าวยังนำหน้าซวนหยวนจวิ้นหลายสิบก้าว ความห่างชั้นนี้มิอาจอธิบายด้วยคำพูดได้
“ได้ยังไง? มันจะเป็ไปได้ยังไง? เขาทำแบบนี้ได้ยังไงกัน?”
ซวนหยวนจวิ้นเห็นเย่เฟิงเดินขึ้นบันไดไม่หยุดยั้งก็ใเช่นกัน กระทั่งลืมว่าตัวเองต้องเดินขึ้นบันไดต่อ แต่เขายืนตัวแข็งทื่ออยู่บนขั้นบันได ในหัวก็ยังขาวโพลน
ก่อนหน้านี้ซวนหยวนจวิ้นคิดว่าตัวเองเก่งกาจที่สุด และต่อต้านแรงกดดันด้วยพลังอันแกร่งกล้าของตน ตามความเร็วในการขึ้นบันได แม้ไม่สามารถทำลายสถิติในรอบพันปีได้ แต่ก็ทำคะแนนได้ดีแน่นอน อย่างน้อยเวลานี้เขาควรเป็คนที่โดดเด่นที่สุด โดยไม่มีผู้ใดแข่งกับเขาได้
กระทั่งซวนหยวนจวิ้นคิดว่า การที่เย่เฟิงชิงที่หนึ่งในด่านแรกมาได้เป็เพราะดวงดี ส่วนในด่านที่สองบันไดเทียนเซียง เย่เฟิงอาจขึ้นบันไดไม่ถึงสิบขั้นก็ตกรอบแล้ว ทว่าบัดนี้ซวนหยวนจวิ้นตระหนักได้ว่าตนเองคิดผิดมหันต์ เย่เฟิงอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ไม่เพียงแต่นำหน้าเขา แต่ความเร็วยังห่างชั้นกันมาก เทียบกับเย่เฟิงแล้ว เขาซวนหยวนจวิ้นไม่นับว่าเป็สิ่งใด จนไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึงด้วยซ้ำ
หนิงเซียงมองเงาร่างเย่เฟิงพลางกะพริบตาปริบ ๆ นางนั้นใมากกว่าใคร ๆ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว นางไม่รู้ว่าเหตุใดผู้มีตบะต่ำต้อยอย่างเย่เฟิงถึงแข็งแกร่งเพียงนี้? เดินขึ้นบันไดเทียนเซียงด้วยย่างก้าวสบาย ๆ เช่นนี้ ความรู้ที่เขามีต่ออำนาจฟ้าดินต้องแกร่งกล้ามากแค่ไหน?
“สวบ ๆ ๆ!”
เสียงฝีเท้ายังคงดังต่อเนื่อง เย่เฟิงเดินขึ้นบันไดอย่างไม่หยุดยั้งจนในเวลาสั้น ๆ เขาก็ขึ้นบันไดได้ร้อยขั้น
ซึ่งผู้คนในสำนักเทียนเซียงหลินเห็นฉากนี้เช่นกัน พวกเขาเองก็ตกตะลึงกับภาพฉากที่ฉายอยู่บนม่านแสงนั้น
“เป็ไปได้ยังไงกัน? มันช่างน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว เด็กคนนี้อยู่แค่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 แต่กลับมีอำนาจฟ้าดินที่ทรงพลังเพียงนี้ หรือนี่ข้ากำลังฝันไป!” ผู้าุโหญิงเทียนเซียงหลินผู้หนึ่งกล่าวด้วยความใ
