ชายหนุ่มปลดปล่อยแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวออกมา เสื้อคลุมสีดำที่ดูลึกลับทำให้ตัวเขามีกลิ่นอายไม่ต่างจากเทพเซียนบน์ ดวงตาของเขาไม่มีร่องรอยความอบอุ่นแม้แต่น้อย
‘หญิงสาวผู้นี้ไม่ได้มีลักษณะท่าทางเหมือนหญิงสาวในหอคณิกา โดยปกติแล้วเมื่อสาวงามเจอเื่เช่นนี้ย่อมต้องกรีดร้องให้คนช่วยหรือไม่ก็ยอมรับชะตากรรมโดยไม่ขัดขืน นี่คือธรรมชาติของผู้คน แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่เพียงไม่หวาดกลัวเขาเท่านั้น คำพูดของนางยังบ่งบอกว่าไม่สนใจทรัพย์สมบัติของเขาอีกด้วย นางไม่เหมือนสตรียากไร้ ทั้งยังมีลักษณะท่าทางของชนชั้นสูง เป็ไปได้หรือไม่ว่านางจะเป็หยกงามที่ตระกูลใหญ่ทอดทิ้ง?’
ชายหนุ่มครุ่นคิดอย่างรอบคอบ
อวิ๋นจื่อไม่ได้มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย นางกะพริบตาราวกับกำลังสับสน “เื่นี้สำคัญกับเ้ามากหรือ? เป็ไปได้หรือไม่ว่าข้าอาจเป็เพื่อนเก่าของเ้า?”
เมื่อเห็นดวงตาที่งดงามของหญิงสาวตรงหน้า ชายหนุ่มกลับรู้สึกขนลุกขนพองโดยไม่ทราบสาเหตุ บางทีเขาอาจคิดมากไป ท้ายที่สุดหญิงสาวคนนี้ก็เป็เพียงสตรีในหอคณิกาเท่านั้น เขาไม่ตอบคำถามของนาง ตอนนี้ความโกรธของเขาลดลงเล็กน้อยแล้ว เขาถามด้วยเสียงแ่เบาว่า “เ้าไม่ได้ไปที่นั่นจริงหรือ?”
อวิ๋นจื่อมองไปที่แอ่งน้ำเล็กๆ รอบตัวชายหนุ่มและกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส “ข้าเติบโตมาในศาลาฉีอวิ๋นและไม่เคยย่างกรายออกจากหอจุ้ยฮวนเลย ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าูเาจิ่วอี๋ไปทางไหน!”
ดวงตาของชายผู้นั้นทอประกายลึกล้ำก่อนจะกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าเสียมารยาทแล้ว แม่นางโปรดอภัยด้วย”
มุมปากของอวิ๋นจื่อยกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มของนางสดใสนุ่มนวล เมื่อพบเจอกับหญิงงามที่น่ารักเช่นนาง บุรุษย่อมยากที่จะหักใจได้
และก็เป็เช่นนั้นจริงๆ ในขณะนี้หัวใจของชายหนุ่มกำลังเต้นระรัวโดยไม่ทราบสาเหตุ
อวิ๋นจื่อยิ้ม “เช่นนั้นขอบังอาจถามคุณชาย เ้าจะชดเชยให้ข้าอย่างไร?”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ไม่คิดว่าแม่นางจะอาศัยอยู่ในหอจุ้ยฮวน ตอนที่ข้าช่วยเ้าไว้ ข้ายังไม่ได้ถามชื่อของเ้าเลย”
‘สุดท้ายเขาจำข้าได้จริงๆ?’
นางประสบอุบัติเหตุเกือบตายใต้กีบเท้าม้า ชายหนุ่มตรงหน้าเป็คนช่วยชีวิตนางไว้
หากเขาไม่เอ่ยเื่นี้ อวิ๋นจื่อคงลืมไปแล้ว
ต่อมาด้วยความช่วยเหลือจากหญิงวัยกลางคนจากจวนผู้ว่าการ นางจึงได้เข้ามาอยู่ที่ศาลาฉีอวิ๋น
เมื่อชายหนุ่มยกเื่นี้ขึ้นมาพูด อวิ๋นจื่อก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย นางควรขอบคุณที่เขาช่วยชีวิตนางไว้หรือไม่?
หรือแสร้งทำเป็ลืมไป?
ทางเลือกทั้งสองแตกต่างกันมาก แต่ท้ายที่สุดแล้วนางต้องเลือกสักทาง
เขาช่วยนางไว้ เขาย่อมสมควรได้รับคำขอบคุณจากนาง
ส่วนเื่ที่เขาหยาบคายกับนาง แน่นอนว่าเขาต้องให้คำอธิบาย
อวิ๋นจื่อยังคงเงียบ
ชายหนุ่มมองอวิ๋นจื่อด้วยดวงตาที่ลุกโชน “ข้าได้ยินมาว่าวันนั้นนายน้อยตระกูลมู่แต่งงาน หากข้าเดาไม่ผิดเ้าคงเป็คนของตระกูลมู่ใช่หรือไม่?”
เหตุใดเขาจึงพูดถึงตระกูลมู่?
หลังจากสงบสติอารมณ์ได้เล็กน้อย ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้อวิ๋นจื่อสับสนอีกครั้ง
อวิ๋นจื่อยิ้มบางๆ และกล่าวว่า “นายน้อยมู่ดีกับข้ามาก”
อวิ๋นจื่อตอบได้อย่างชาญฉลาด ชายหนุ่มจึงหัวเราะเบาๆ ด้วยความพอใจ
“แม่นางมาที่หอจุ้ยฮวนเพราะเขาใช่หรือไม่?”
อวิ๋นจื่อไม่หลงกลแต่เลือกที่จะถามกลับ “เหตุใดคุณชายจึงคิดเช่นนั้น?”
ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อย “เอาล่ะ บอกเ้าตามตรงแซ่ของข้าคือเย่ แล้วแม่นางมีชื่อแซ่ใด?”
อวิ๋นจื่อกล่าวเบาๆ ว่า “ปี้เหยียน”
ชายหนุ่มถอดจี้หยกออกจากเอวและกล่าวว่า “เป็ชื่อที่ดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้เป็ข้าแซ่เย่ที่เสียมารยาท มันเป็อุบัติเหตุที่ข้าไม่้าให้เกิดขึ้น แม่นางโปรดอย่าขุ่นเคืองเลย ในเมื่อแม่นางเป็สตรีพรหมจรรย์ข้าคงไม่อาจปัดความรับผิดชอบได้ แต่ในระหว่างนี้มีเื่ยุ่งยากหลายอย่างทำให้ข้าต้องไปจากหยงโจวสองสามวัน ซูเจินจากจวนผู้ว่าการเป็สหายของข้า ข้าจะฝากฝังให้เขาดูแลแม่นางในระหว่างนี้”
อวิ๋นจื่อตกตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน นางถึงกับลืมยื่นมือไปรับจี้หยกที่ชายหนุ่มยื่นให้ด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มแซ่เย่หรี่ตาลงและกล่าวด้วยความสงสัย “หรือแม่นางไม่้า?”
อวิ๋นจื่อเรียกสติของตัวเองกลับมา “คุณชายไม่คิดว่านี่กะทันหันเกินไปหรือ?”
ใช่ เขารู้ดีว่ามันกะทันหันเกินไป
ท้ายที่สุดตระกูลของเขาไม่มีทางอนุญาตให้หญิงคณิกาคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในจวนอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าหญิงสาวผู้นี้จะงดงามมากแค่ไหน ตระกูลเย่จะไม่มีวันทำให้ชื่อเสียงของตัวเองแปดเปื้อนอย่างแน่นอน
เกรงว่าแม้แต่แม่ทัพเจิ้นหนานซึ่งเลี้ยงดูเขามาั้แ่เด็กก็คงไม่เห็นด้วยในเื่นี้เช่นกัน
สตรีที่ไร้หัวนอนปลายเท้าไม่มีทางที่จะแต่งเข้าตระกูลขุนนางได้
และตอนนี้เขามีเื่เร่งด่วนต้องทำ เขาต้องออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุดไม่เช่นนั้นชีวิตของเขาจะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง เขาไม่้าแสดงความเมตตาแก่นาง แม้ว่านี่จะเป็ดอกท้อดอกแรกที่เขาได้ััก็ตาม
ทว่าชายหนุ่มก็จะไม่ยอมเป็เหมือนบิดาของเขาที่แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางบุปผานับพันแต่กลับไม่มีโอกาสได้ดอมดมสักครั้ง
ต่อให้แม่น้ำรั่วจะทอดยาวถึงสามพันลี้ แต่เขาก็้าแค่น้ำหนึ่งจอกเพื่อดับกระหาย[1]
“มันค่อนข้างกะทันหันไปก็จริง แต่ข้าไม่้าเป็หนี้เ้า อีกอย่างเื่วันนี้เป็ความผิดของข้า เ้ารับจี้หยกของข้าไปเถอะ ข้าสัญญาว่าจะแต่งงานกับเ้า จี้หยกนี้เป็หลักฐานการหมั้นหมายของเรา อย่างไรก็ตามหากเ้าพึงใจที่จะแต่งงานกับคนอื่น โปรดคืนจี้หยกนี้ให้ข้า”
นี่เป็คำพูดที่รอบคอบไร้ช่องทางให้ปฏิเสธ!
อวิ๋นจื่อชะงักเล็กน้อยก่อนจะรับจี้หยกด้วยรอยยิ้มและกล่าวอย่างเข้าอกเข้าใจว่า
“ในเมื่อคุณชายให้สัญญา เช่นนั้นปี้เหยียนก็วางใจ แต่ไม่ทราบว่าคุณชายกำลังประสบปัญหาใด?”
คุณชายเย่ถอนหายใจยาว “เื่ภายในครอบครัว เ้าไม่ต้องกังวล อีกไม่นานข้าจะกลับมารับเ้าแน่นอน”
หลังจากที่ชายหนุ่มพูดจบเขาก็ลุกจากเก้าอี้และจากไปอย่างรวดเร็ว
อวิ๋นจื่อตกตะลึง
ห้องของนางกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
มีเพียงแอ่งน้ำเล็กๆ บนพื้นที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อครู่มีคนนั่งอยู่ตรงนี้
ทันใดนั้นอวิ๋นจื่อก็รู้สึกโดดเดี่ยวมาก
นางหยิบจี้หยกขึ้นมาและพินิจดูอย่างระมัดระวัง ภายใต้แสงสีเหลืองนวล จี้หยกนั้นดูแวววาวและงดงามเป็พิเศษ สมัยอยู่ในวังนางเคยเห็นหยกเนื้อดีมามาก อย่างไรก็ตามจี้หยกชิ้นนี้มีลักษณะเฉพาะที่แสดงถึงสถานะของผู้สวมใส่ เพียงแวบเดียวอวิ๋นจื่อก็สามารถบอกได้ว่านี่คือหยกอุ่นอันเป็เอกลักษณ์ของูเาจิ่วอี๋
ว่ากันว่าหยกที่ได้จากูเาจิ่วอี๋มีขนาดเล็กมาก แม้กระทั่งองค์หญิงใหญ่อย่างนางก็ยังเคยเห็นหยกแบบนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น จี้หยกในมือของอวิ๋นจื่อมีลวดลายที่เป็เอกลักษณ์ซึ่งดูเหมือนจะเป็ตราประจำตระกูลของตระกูลเย่ ส่วนอีกฝั่งมีร่องตื้นๆ ดูเหมือนจะสลักเป็ตัวอักษรเล็กๆ
อวิ๋นจื่อพลิกเพ่ยอวี่[2]กลับด้านและเห็นตัวอักษร “เช่อ” ถูกสลักอยู่กลางหยก
เป็เย่เช่อ!
เป็เย่เช่อจริงๆ!
นี่คือโอกาสครั้งใหญ่ที่สุดของอวิ๋นจื่อ
‘ดูสิ แม้แต่์ก็ยังอยู่ข้างข้า’
น้ำตาของอวิ๋นจื่อไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
‘สิ่งที่์้าให้ข้าทำคือใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ชายคนนี้หลงใหลในตัวข้าใช่หรือไม่?’
เมื่อคิดได้เช่นนั้น อวิ๋นจื่อก็เกิดความเศร้าโศกเป็อย่างมาก
------------------------
[1] ประโยคนี้มีที่มาจาก “แม่น้ำรั่วสามพันลี้ เพียงหนึ่งจอกดับกระหาย” แปลว่าต่อให้คนบนโลกนี้มีมากมายแค่ไหน ก็้าเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
[2] เพ่ยอวี่ เป็สัญลักษณ์บ่งบอกสถานะ ในจีนยุคโบราณผู้คนถือว่าหยกเป็วัตถุล้ำค่าระดับสูงสุด และมีเพียงผู้สูงศักดิ์เท่านั้นที่มีสิทธิ์สวมใส่หยก