ซ่งอี้เฉินนิ่งเงียบไม่ไหวติง
“ทูลฝ่าา วันนี้ซูเฟยทรงปกป้องหม่อมฉันต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮา” เหยียนอู๋อวี้เอียงศีรษะเอ่ยถามอย่างไร้เดียงสาว่า “หม่อมฉันยังอยากจะแสดงความขอบคุณนางให้ถูกต้องตามธรรมเนียมเพคะ!”
“เช่นนั้นก็ให้นางเข้ามาตามที่เ้า้าเถิด!” ดวงตาซ่งอี้เฉินยังคงสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลงและยังคงใช้น้ำเสียงที่แ่เบา
เสียงที่ไม่ดังไม่เบาลอดไปถึงหูของนางกำนัลที่อยู่นอกประตูของตำหนัก ฮ่องเต้ปฏิบัติต่อสนมเหยียนไม่ธรรมดาจริงๆ
ขณะที่ฮวารั่วซีได้เตรียมขนมอบชั้นเลิศไว้ หลังจากได้ยินเสียงเรียกจากนางกำนัลในตำหนัก นางจึงเงยหน้าขึ้นด้วยความทะนงตน ค่อยๆ เดินนวยนาดเข้าไปในตำหนักอีหลวน โดยไม่คิดสนใจเหยียนอู๋อวี้ที่ยืนโค้งคำนับอย่างสุภาพ
เหยียนอู๋อวี้จะต้องคำนับฮวารั่วซีตามกฎระเบียบอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามมือของซ่งอี้เฉินยังคงประสานกอดนางอยู่ในอ้อมแขน ซึ่งเขาไม่ยอมปล่อยให้นางลุกขึ้น ก่อนพระองค์จะเหลือบมองฮวารั่วซีพร้อมเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ร่างกายนางยังไม่ค่อยแข็งแรง คงไม่จำเป็ต้องทำความเคารพตามกฎระเบียบกระมัง ซูเฟยคงไม่ว่าอันใด?”
ฮวารั่วซีก้มหน้าระงับความขุ่นเคืองในแววตาของตน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพร้อมเอ่ยพลางแย้มยิ้ม “น้องหญิงไม่ต้องมากพิธี”
“เช่นนั้น หม่อมฉันน้อมรับคำสั่งเพคะ! ซูเฟยโปรดอย่าได้ถือสา” ใบหน้าที่งดงามของเหยียนอู๋อวี้เริ่มเปลี่ยนเป็สีแดงระเรื่ออีกครั้ง
ซ่งอี้เฉินอยากให้นางเป็เกราะกำบังและเหยียนอู๋อวี้ก็้า ‘ความรักและความโปรดปราน’ จากซ่งอี้เฉินเช่นกัน ไทเฮาหรือฮ่องเต้ ไม่ว่าฮวารั่วซีจะอยู่ฝ่ายใด เกรงว่าล้วนจะต้องทนทุกข์ทรมานมากทั้งสิ้น
ฮวารั่วซีระงับความโกรธราวไฟสุมอยู่ภายในใจ ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “หม่อมฉันได้ยินมาจากห้องเครื่องในวังหลวงกล่าวว่า ่นี้ฝ่าาไม่ค่อยเจริญอาหาร หม่อมฉันจึงทำอาหารมาถวายเพื่อให้ฝ่าาได้เปลี่ยนรสชาติเพคะ สำรับอาหารในวังหลวงนั้นพิถีพิถัน หม่อมฉันจึงได้ตั้งใจทำสำรับอาหารอย่างสุดฝีมือเพคะ”
ทันทีที่พระสนมเอ่ยจบ นางกำนัลในวังต่างพากันเข้าแถวเดินเข้ามาเพื่อถวายขนมอบในมือให้ซ่งอี้เฉิน
ซ่งอี้เฉินเหลือบมองและไม่ได้ดำเนินการใดๆ เพียงใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามกลับไปยังเหยียนอู๋อวี้ในอ้อมกอดของตนว่า “เ้าคิดเห็นเป็อย่างไร?”
เหยียนอู๋อวี้รู้ว่าครั้งนี้เป็เหมือนเผือกร้อนที่อยู่ในมือ เป็ปัญหาที่ยุ่งยากนัก หากนางตอบไปไม่ดี ก็อาจจะติดกับกลอุบายของฮวารั่วซีที่อาจตามมาภายหลังได้
หลังจากถูกวางยาพิษเมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่รู้ว่าฮวารั่วซีจะมีลูกไม้ใหม่อันใดมาอีก?
“ซูเฟยทั้งมากฝีมือและมีทักษะที่ยอดเยี่ยม หม่อมฉันไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอันใดเพคะ” เหยียนอู๋อวี้ก้มศีรษะอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
ซ่งอี้เฉินยกยิ้มเล็กน้อยพลางหยิกแก้มเหยียนอู๋อวี้ด้วยความรักใคร่พร้อมกล่าวว่า “ไม่กล้าพูดหรือ? หรือต้องลองชิมดูก่อนจึงจะรู้ใช่หรือไม่?”
เขาเอ่ยพลางยื่นมือเอื้อมไปหยิบขนมอบบนจานที่ตกแต่งอย่างพิถีพิถัน หลังหยิบขนมขึ้นมาแล้วจึงค่อยๆ ป้อนเข้าปากให้เหยียนอู๋อวี้
สายตาของซ่งอี้เฉินจับจ้องไปที่ตัวนาง ทว่าเหยียนอู๋อวี้ยังคงสงบนิ่งไม่ขยับ
“ฝ่าา หม่อมฉันตั้งใจทำเองกับมือ ฝ่าาไม่ลองชิมดูก่อนหรือเพคะ?” ฮวารั่วซีกล่าวด้วยน้ำเสียงแ่เบา
หากเป็เมื่อก่อนนี้บางทีซ่งอี้เฉินอาจทำตามใจนาง ทว่าวันนี้นิ้วมือของเขาแตะอยู่ที่แก้มของเหยียนอู๋อวี้แล้ว พร้อมดวงตาที่เ็าและเสียงที่อ่อนโยนของเขา “สนมที่รักของข้าลองชิมดูก่อนเถิด”
เหยียนอู๋อวี้อ้าปากเรียวบางกัดขนมอบชิ้นนั้นเข้าปาก
ขนมอบชิ้นนี้มีสีขาวนวล รสััหวาน กลมกล่อม ฝีมือของฮวารั่วซีพัฒนาขึ้นมากจริงๆ
เพียงแต่ก็ใช่ เพราะนางอยู่ในวังหลวงย่อมมีเวลาว่างมากมาย เนื่องจากในยามนั้นซ่งอี้เฉินกับอวิ๋นอู๋เหยียนฮองเฮาองค์ก่อนใกล้ชิดสนิทสนมกันยิ่งนัก
“หม่อมฉันรู้สึกว่ารสชาติดียิ่งเพคะ ฝ่าาทรงชิมดูเพคะ” เหยียนอู๋อวี้ยื่นมือเรียวเล็กของตนเองออกมาหยิบขนมชิ้นหนึ่งป้อนเข้าปากของซ่งอี้เฉิน ทว่าเขากลับจับมือนางแล้วเอาขนมที่เหลือใส่ปากนางแทน
หากกล่าวว่าฮวารั่วซีในอดีตสามารถอดกลั้นได้ ทว่าการกระทำที่อยู่ตรงหน้านี้กระทบกระเทือนจิตใจของนางมากเหลือเกิน
นางไม่มีวันลืมวันนั้น วันที่ซ่งอี้เฉินถือขนมอบและเอ่ยวาจาอ่อนหวานว่าจากนี้ไปจะแบ่งขนมอบกับนางเพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทว่าวันนี้กลับเป็สตรีนางอื่นที่นั่งอยู่ในอ้อมกอดของเขาและเป็สตรีนางอื่นที่กำลังกินขนมอบกับเขาอีกด้วย!
ความโกรธที่กำลังปะทุออกมาไม่อาจระงับได้ในทันที และมันไหลทะลักออกมาจากหัวใจของนางอย่างต่อเนื่อง
ซ่งอี้เฉินคล้ายจะสังเกตเห็นว่าอารมณ์ของฮวารั่วซีมีความผิดปกติ กระนั้นยังคงทำเพียงเหลือบมองนางเล็กน้อย
มีเพียงเหยียนอู๋อวี้ที่กำลังพิงแขนของเขาเท่านั้นที่สามารถรับรู้อารมณ์ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนนั้นได้
“เมื่อวานเพิ่งถูกลงโทษ วันนี้กลับออกมาแล้ว” ทันทีที่เอ่ยจบเสียงของซ่งอี้เฉินพลันหยุดชั่วขณะ ก่อนจะลุกขึ้นกล่าวต่อไปว่า “เ้าไม่เห็นเจิ้นอยู่ในสายตาแล้วใช่หรือไม่?”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยทำให้ทุกคนต่างพากันคุกเข่าลงกับพื้นทันที
มีเพียงฮวารั่วซีเท่านั้นที่ยืนนิ่งอย่างมั่นอกมั่นใจ มองซ่งอี้เฉินด้วยดวงตาคู่สวยเป็ประกายประหนึ่งดวงดาวสุกสกาว
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแ่เบาว่า “วันนี้องค์ไทเฮาทรงทราบเื่นี้และตรวจสอบพบว่าไม่เกี่ยวอันใดกับหม่อมฉัน ลี่เจาอี๋มีสุขภาพไม่ค่อยดี ไทเฮาจึงมีรับสั่งให้หม่อมฉันช่วยงานในตำหนักหลังต่อเพคะ” นางเอ่ยจบจึงคุกเข่าพร้อมกล่าวต่อไปว่า “เป็หม่อมฉันที่ละเลย ขอฝ่าาโปรดทรงลงโทษหม่อมฉันด้วยเพคะ”
ซ่งอี้เฉินจะไม่รู้เื่เหล่านี้ได้อย่างไร? สีหน้าของเขาดูสงบนิ่งทั้งมองฮวารั่วซีอย่างไม่มีความรู้สึกอันใด จากนั้นครู่หนึ่งเขาพลันโบกมือขึ้นพร้อมกล่าวว่า “ในเมื่อไทเฮาขอให้เ้าจัดการเื่ตำหนักหลังต่อ เช่นนั้นเื่โทษกักบริเวณก็ยกเลิกไปเถิด!”
ฮวารั่วซีขอบพระคุณในพระเมตตา ก่อนจะยืนขึ้นอย่างมีความสุข ความโกรธที่มีอยู่แต่เดิมพลันจางหายไป
ราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นแม้แต่น้อย และแม้ผู้อื่นจะเห็นว่าซ่งอี้เฉินมีท่าทีประนีประนอม ทว่าในความเป็จริงไม่มีผู้ใดเหนือกว่าผู้ใด
มีเพียงเหยียนอู๋อวี้ที่กำฝ่ามือแน่นเท่านั้น นางเสี่ยงชีวิตของนางเพื่อสร้างแรงกระเพื่อมครั้งนี้ แต่กลับเพียงแค่ทำให้ฮวารั่วซีหุบปากเพียงครึ่งวันและทำร้ายนางกำนัลไปผู้หนึ่งเท่านั้น ทว่ายังนับว่าโชคดีที่การลงทุนลงแรงครั้งนี้ยังถือว่าไม่เสียเปล่าเสียทีเดียว อย่างน้อยก็สามารถเจาะรูให้รั่ว แม้จะเล็กเพียงรูเข็ม ทว่านางย่อมมีวิธีที่จะฉีกออกให้เป็ชิ้นๆ!
“ฝ่าา เดิมทีพระองค์ทรงชอบฟังหม่อมฉันเล่นพิณมากที่สุด ไม่นานมานี้หม่อมฉันแต่งเพลงบทใหม่ ให้หม่อมฉันเล่นให้พระองค์ฟังเพื่อความสุนทรีย์ดีหรือไม่เพคะ”
ฮวารั่วซีเอ่ยพลางก้าวไปข้างหน้าด้วยดวงตาที่เปล่งประกายเต็มไปด้วยความหวัง ในเวลานี้นางคล้ายจะเป็สตรีที่อ่อนต่อโลก หวังว่าคนรักของตนจะหยุดและพร้อมที่จะฟังตนเองร้องเพลงให้เขาฟัง
สีหน้าของซ่งอี้เฉินพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหยียนอู๋อวี้เองก็สมควรที่จะลุกขึ้นพร้อมกับยืนแสดงความเคารพอย่างสุภาพอยู่ด้านข้าง “ในเมื่อซูเฟยเชิญชวนด้วยความจริงใจ เช่นนั้นขอเชิญฝ่าาทรงชื่นชมด้วยความสุนทรีย์เพคะ”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกจากปาก แววตาที่ไร้จุดหมายของซ่งอี้เฉินพลันชัดเจนขึ้นทันที เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นเว่ยหรูไห่ซึ่งได้รับคำสั่งให้นำฎีกามาที่ตำหนักแห่งนี้กำลังเดินนำหน้ากลุ่มขันทีเข้ามา
ทันทีที่เว่ยหรูไห่เห็นเหตุการณ์ภายในตำหนัก เขาพลันแอบสำนึกผิดในใจ จึงทำได้เพียงรีบออกไปจากตรงนั้นพร้อมกราบทูลว่า “ฝ่าา ฎีกาที่พระองค์ทรงรับสั่งให้กระหม่อมไปนำมาอยู่ที่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าา้าไปตำหนักิ่ซิ่วกับเรา ดังนั้นเ้าก็ส่งฎีกาพวกนี้ไปที่ตำหนักเราเถิด!”
ฮวารั่วซีเอ่ยขึ้นก่อน
เว่ยหรูไห่ยังคงสงบนิ่งและรอให้ซ่งอี้เฉินออกคำสั่ง
ไม่ว่าซูเฟยจะมีอำนาจมากเพียงใดก็ไม่อาจเทียบเท่าฮ่องเต้ได้ ทว่าก็ไม่อาจล่วงเกินได้เช่นกัน และด้วยสถานการณ์เช่นนี้ในฐานะขันทีไม่อาจมีสิทธิ์มีเสียงอันใดได้
ก่อนหน้านี้ฝ่าาเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยทำเช่นนี้ เพียงแต่ยามนี้มีสนมเหยียนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ดังนั้นคาดว่าคงจะเป็อีกเื่หนึ่งไปแล้ว
อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็ทรงโปรดปราน รักและเอ็นดูสนมเหยียน ฮ่องเต้สามารถลงโทษอย่างไร้ความเมตตาต่อซูเฟย ผู้ซึ่งเคยได้รับความโปรดปรานมาระยะเวลาหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าฝ่าานั้นให้ความสำคัญต่อนางมากเพียงใด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้