เมื่อวานหวังกุ้ยถูกฟาดไปสิบแส้ เวลานี้เขายังคงนอนอยู่บนเตียงไม่อาจลุกขึ้นได้ คนที่คุยกับผู้ใหญ่บ้านคือเฉินต้าฮวา นางกำลังนั่งโวยวายอยู่บนพื้น "ผู้ใหญ่บ้าน เอ้อร์โก่วของข้ายังเล็ก พวกท่านขับไล่พวกเราออกไปเช่นนี้จะให้เราอยู่อย่างไร เป็การให้พวกเราไปตายไม่ใช่หรือ?"
ผู้ใหญ่บ้านขมวดคิ้วเป็ปม ดูออกว่าเขารังเกียจการกระทำของเฉินต้าฮวา
"เฉินต้าฮวา ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ครอบครัวของพวกเ้าก่อเื่วุ่นวายในหมู่บ้านเสี่ยวหนิวมาโดยตลอด ทว่าเพราะเอ้อร์โก่วพวกเราจึงให้อภัยพวกเ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็เ้าหรือหวังกุ้ยก็ล้วนทำเกินไป หมู่บ้านเสี่ยวหนิวของเราไม่อาจให้คนเช่นพวกเ้าอยู่ในหมู่บ้านต่อไปได้!”
หน้าประตูบ้านของเฉินต้าฮวามีคนรวมตัวกันเป็กลุ่มเพื่อดูเื่ครึกครื้น ถึงแม้พวกเขาจะสงสารเฉินต้าฮวาเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีผู้ใดลุกขึ้นมาพูดแต่อย่างใด โดยมากล้วนมาดูเื่ครึกครื้นเท่านั้น
ผู้ใหญ่บ้านจึงหันไปขับไล่ผู้คนเ่าั้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม "มายืนมุงอะไรที่นี่ ไม่มีงานการให้ทำหรือ? วันๆ เอาแต่ดูเื่ครึกครื้น วันใดถึงคราวพวกเ้า ข้าจะดูสิว่าพวกเ้าจะยังมีอารมณ์ดูเื่ครึกครื้นหรือไม่!”
ชาวบ้านได้ยินเช่นนี้ก็รีบแยกย้าย หน้าประตูบ้านของเฉินต้าฮวากลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
บางทีอาจจะเป็เพราะที่นี่เป็หมู่บ้านเล็กๆ ดังนั้นจึงเห็นความอบอุ่นและความเ็าชัดเจนยิ่งขึ้น ซ่งอวี้หัวเราะสองครั้ง ไม่ได้สนใจเฉินต้าฮวาอีก
เ้าของร่างเดิมไปสู่สุขติแล้ว หวังกุ้ยและนางไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก นางไม่อยากเปลืองเรี่ยวแรงกับคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตนเอง มีเวลาว่างเช่นนั้น สู้เอาเวลาไปเก็บสมุนไพรสักสองต้นบนูเายังจะดีเสียกว่า นางยังต้องทำมาหากินแล้วออกไปดูโลกภายนอก จะมีเวลาว่างมาเสวนากับพวกเขาได้อย่างไร
น่าเสียดาย นางคิดเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจะคิดเหมือนนาง
หลังจากผู้ใหญ่บ้านออกไป เฉินต้าฮวาก็บ่นพึมพำแล้วลุกขึ้นจากพื้น นางลูบหน้าของตนเอง แล้ววิ่งมาที่หน้าบ้านของซ่งอวี้ ด่าทอเสียงดังด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย
บอกว่าตนไร้ยางอาย แล้วยังจะกล่าวหาว่าผู้อื่นป้ายสีตน สตรีในหมู่บ้านเสี่ยวหนิวมีตั้งมากมาย เหตุใดสตรีผู้อื่นจึงไม่ถูกครหา
ซ่งอวี้สีหน้าเคร่งขรึม เปิดประตูแล้วสาดน้ำออกไปหนึ่งกะละมัง พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
คนเช่นนี้ ไม่มีเหตุผล ผู้ใดดีมาดีกลับ ผู้ใดร้ายมานางย่อมร้ายกลับยิ่งกว่า ซ่งอวี้ไม่อยากพูดกับเฉินต้าฮวาอีก จึงสาดน้ำให้นางหนึ่งกะละมัง
ชาวบ้านที่ลอบดูเื่ครึกครื้นส่งเสียงหัวเราะ เมื่อมีคนหัวเราะหลายคนจึงรู้ว่าไม่ได้มีเพียงตนเองเท่านั้นที่กำลังแอบดู ทันใดนั้นเองเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นติดต่อกัน ไม่ใช่เื่ที่ดีงามเท่าใดนัก
"ฮ่าๆๆ!” แม้กระทั่งหลี่เฉิงยังกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เขายืนพิงประตูเงยหน้าขึ้นหัวเราะ
"เ้า...เ้า...นางแพศยา ไปตายซะ!” เฉินต้าฮวาโมโหจนดวงตาแดงก่ำ อยากจะกระโจนเข้าหาซ่งอวี้ ทว่าซ่งอวี้มือไวตาเร็ว นางปิดประตูทันที ร่างอ้วนท้วมของเฉินต้าฮวาจึงชนเข้ากับประตูกลายเป็ดั่งขนม
"พู่ ฮ่าๆๆ..."
เมื่อครู่ชาวบ้านยังสงวนท่าทีเล็กน้อย แต่เวลานี้กลับไม่สงวนแล้ว พวกเขาหัวเราะจนหน้าแดงก่ำ บางคนหัวเราะหนักถึงขั้นลงไปกลิ้งบนพื้น
อีกด้านหนึ่ง ถึงวันนัดหมายกับท่านจ้าวแล้ว เวลาเพียงไม่นานซ่งอวี้ก็ลืมเื่ของเฉินต้าฮวาแล้ว นางและหลี่เฉิงเดินทางไปยังร้านยาถงอัน เปลี่ยนยาให้สุนัขสองตัวนั้นด้วยตนเอง
นี่เป็การเปลี่ยนยาครั้งแรก ใช้เวลาไม่มาก ผลลัพธ์ของยาก็ยังไม่ชัดเจน แต่ไม่รู้ว่าท่านจ้าวรู้สึกไปเองหรือไม่ เขารู้สึกว่าสุนัขตัวที่ซ่งอวี้รับผิดชอบคล้ายจะแข็งแรงกว่าสุนัขตัวที่เขารับผิดชอบเล็กน้อย
เมื่อมีความสงสัย ท่านจ้าวจึงเอ่ยถาม ทว่าซ่งอวี้เพียงบอกเขาสั้นๆ ว่า "เฝ้ามองสถานการณ์แล้วเตรียมการรับมือ"
เวลาเพียงสามวัน ท่านจ้าวก็ดูออกว่าสุนัขตัวที่ใช้ยาแปรรูปแข็งแรงกว่าสุนัขของเขาที่ใช้สมุนไพรทั่วไป? เกรงว่าคงไม่ได้พูดเล่นกระมัง แม้แต่ซ่งอวี้ก็ยังดูไม่ออก
ท่านจ้าวพูดพึมพำกับตนเอง เดินวนรอบกรงสุนัขซ้ำแล้วซ้ำเล่า คล้ายอยากจะหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าตนไม่ได้ตาฝาด
ซ่งอวี้ก็ไม่ได้สนใจเขา สุนัขทั้งสองตัวอยู่ที่ร้านยาถงอัน ท่านจ้าวอยากจะศึกษา เช่นนั้นก็ปล่อยให้เขาศึกษาไป
หลังจากจัดการเื่ที่ร้านยาถงอันเสร็จ ซ่งอวี้ก็พาหลี่เฉิงไปยังร้านตีเหล็ก
นายช่างหันกำลังร้องะโอยู่ในร้านบอกให้ลูกศิษย์เผาไฟ ให้ลูกศิษย์ตีเหล็ก บรรยากาศการตีเหล็กครึกครื้นยิ่งนัก ไม่รู้เลยว่าซ่งอวี้ยืนมองอยู่หน้าร้านสักพักหนึ่งแล้ว
สุดท้าย ตอนที่ภรรยาของนายช่างหันยกน้ำมาให้ทุกคน จึงพบว่าซ่งอวี้ยืนอยู่ตรงนั้น ภรรยานายช่างหันกล่าวทักทาย จากนั้นเชิญซ่งอวี้และหลี่เฉิงเข้าไปนั่งในห้องโถง แล้วค่อยไปตามนายช่างหันมาพูดคุย
เมื่อนายช่างหันเห็นซ่งอวี้และหลี่เฉิง เขาดีใจยิ่งนัก
เขาทำตามคำแนะนำของหลี่เฉิง ขายพลั่วให้กับตระกูลที่มีฐานะมั่งคั่งแล้ว พวกคนที่มีฐานะร่ำรวยเ่าั้ต่างให้ความสนใจ ทั้งยังไม่เห็นแก่กำไรอันน้อยนิดของพลั่ว ไม่คิดจะยื่นมือมายุ่งกับการค้านี้ การค้าในครั้งนี้จึงพูดคุยกันด้วยดี ผู้คนส่วนมากให้เงินมัดจำทันทีที่เห็นประโยชน์ของพลั่ว รอนายช่างหันทำเสร็จแล้วส่งไปให้พวกเขาเท่านั้น
ที่ดินของพวกคนรวยมีมากมาย พวกเขามีความ้าพลั่วเป็อย่างมาก ต่างไม่เกี่ยงเื่ราคา เพียงแค่รีบตีพลั่วออกมาก็พอแล้ว
พูดจากใจจริง ั้แ่นายช่างหันเปิดร้านมา นี่เป็ครั้งที่เขาทำเงินได้มากขนาดนี้
ในยุคสมัยนี้ไม่มีพลั่ว ดังนั้นพลั่วจึงเป็ที่้าอย่างมาก แม้จะเป็การสั่งซื้อที่น้อยที่สุด ก็มากกว่าหนึ่งร้อยเล่ม
"พลั่วเป็ที่ต้องมากเช่นนี้ ลำบากนายช่างหันแล้ว" ซ่งอวี้กล่าวขอบคุณด้วยความถ่อมตน เพราะถึงอย่างไรนางเพียงวาดภาพและแสดงความคิดเท่านั้น ด้านการตีพลั่วต่างๆ ที่ต้องใช้เวลาและเปลืองแรงมากที่สุด นายช่างหันล้วนเป็คนรับผิดชอบ นางเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกลำบากใจ
แม้จะเป็ภาพวาดและความคิด ก็ไม่ใช่ของนาง นี่คือผลึกแห่งความชาญฉลาดของยุคสมัยที่นางอยู่ นางเพียงนำแิเ่าั้มาใช้ แต่กลับถูกเรียกว่าเป็คนมีพร์
พูดตามความจริง ซ่งอวี้หน้าแดงหลายครั้งแล้ว
นายช่างหันที่เป็ชายชาตรีจะเข้าใจความรู้สึกของนางในตอนนี้ได้อย่างไร นายช่างหันโบกมือ "เพียงเื่เล็กน้อย คนทำงานหาเงินเลี้ยงชีพอย่างเราๆ สิ่งที่กลัวที่สุดคือไม่มีงานทำ แม้จะมีคำสั่งซื้อมากมาย แต่เมื่อคิดถึงเงินที่จะได้รับก็ไม่รู้สึกลำบากแล้ว"
ซ่งอวี้และนายช่างหันพูดคุยกันถูกคอ หลี่เฉิงพูดบ้างบางครั้ง ทั้งสามคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พอซ่งอวี้และหลี่เฉิงขอตัวกลับไป นายช่างหันก็พยายามรั้งทั้งสองคนเอาไว้ ถึงขั้นให้ทั้งสองอยู่ทานมื้อเย็นด้วยกัน
ซ่งอวี้กล่าวปฏิเสธ บอกว่าทางกลับบ้านนั้นไกลยิ่งนัก หากร่วมรับประทานมื้อค่ำด้วยต้องเดินทางตอนฟ้ามืดแล้ว นายช่างหันจึงทำได้เพียงยอมแพ้ด้วยความเสียใจ
ระยะเวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็วคล้ายเพียงกะพริบตาเท่านั้น
หลี่เฉิงนั่งอยู่ใต้ต้นหลิวทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเรือนของซ่งอวี้เท่าใดนัก ซ่งอวี้ที่อยู่ในเรือนเดินเข้าเดินออก เป็ภาพที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกของครอบครัว
ครอบครัว...คำนี้ ั้แ่เล็กจนโตเป็สิ่งที่ห่างไกลจากเขามาก ห่างไกลจนเขาคิดว่าชีวิตนี้ตนคงไม่อาจได้ แต่สุดท้ายเขากลับััได้ถึงคำว่าครอบครัวในหมู่บ้านเล็กๆ เช่นนี้
ความคิดลอยล่อง ความรู้สึกอาลัยอาวรณ์บางอย่างที่เรียกว่ายากจะจากลาแล่นเข้ามา แววตาของหลี่เฉิงเหม่อลอยอย่างไม่อาจหักห้าม เขาไม่อาจละสายตาจากซ่งอวี้ได้
"ท่านกำลังคิดสิ่งใด?" ซ่งอวี้สังเกตเห็นแววตาของหลี่เฉิงจากที่ไกลๆ ไม่ว่านางจะอยู่แห่งหนใดก็ไม่อาจหนีพ้นจากความรู้สึกนี้ ด้วยเหตุนี้จึงเดินเข้าไปถามด้วยความจนปัญญา
หลี่เฉิงหลุดจากภวังค์ ถอนสายตากลับ ส่ายหน้าช้าๆ "ไม่มีอะไร"
เสียงหยุดชะงัก หลี่เฉิงถามอย่างไม่ใส่ใจ "แม้ว่าข้ากับเ้าจะเป็สามีภรรยากัน แต่คล้ายว่าพวกเรายังไม่เคยกราบไหว้ฟ้าดิน ไม่เคยแลกจอกสุรากระมัง?"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้