ซีมู่เซียงทำงานคล่องแคล่วยิ่ง วันที่สอง่บ่าย ชุดใหม่ของเซวียเสี่ยวหรั่นก็เสร็จเรียบร้อย
เสื้อตัวสั้นสีแดงดอกกุ้ย [1] กับกระโปรงสีเหลืองอ่อน ล้วนเป็แบบธรรมดาที่สุด เสื้อไม่มีลวดลายและไม่เพิ่มขอบ แขนเสื้อหลวมระดับปานกลาง แม้ไม่กว้างมากแต่ก็ไม่เล็กแคบ ชายกระโปรงสีเหลืองอ่อนค่อนข้างกว้าง
ฤดูกาลนี้สวมเสื้อผ้าฝ้ายตัวเดียวยังหนาวเกินไป เซวียเสี่ยวหรั่นสวมเสื้อคอกลมสีขาวมอมแมมไว้ด้านใน และสวมกางเกงเก้าส่วนหลวมโพรกซ้อนใต้กระโปรงได้พอดี
สวมเสื้อผ้าแบบนี้จะรู้สึกชอบกล แต่เพราะตอนนี้เธอผอมมาก แม้จะสวมเช่นนี้ก็ยังคงผอมเพรียวอยู่
กระโปรงยาวถึงหน้ารองเท้า เซวียเสี่ยวหรั่นสวมแล้วอึดอัด พอพลั้งเผลอไม่ระวัง ชายกระโปรงก็จะลากพื้น ไม่สะดวกเอาเสียเลย
"ความยาวของกระโปรงสั้นกว่านี้ได้หรือไม่" เซวียเสี่ยวหรั่นสวมกระโปรงตัวใหม่ ท่าทางแลดูประดักประเดิด
"ต้าเหนียงจื่อ หากสั้นกว่านี้ก็เห็นหมดสิเ้าคะ" ซีมู่เซียงนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องโถง เข็มในมือเคลื่อนไหวรวดเร็วแต่เป็ระเบียบเรียบร้อย
"เห็นรองเท้าก็ไม่ได้หรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นไม่รู้กฎเกณฑ์ของที่นี่ แต่รองเท้าก็ยังเห็นไม่ได้เลยหรือ?
ซีมู่เซียงมองเธอด้วยความประหลาดใจ
หลังคลุกคลีกันมาสองวัน ซีมู่เซียงพบว่าหลายเื่ซึ่งธรรมดามากๆ ต้าเหนียงจื่อสกุลเหลียนผู้นี้กลับรู้เพียงครึ่งๆ กลางๆ ทำให้นางนึกแปลกใจมาก
แต่บิดานางบอกว่า ดูจากการใช้เงินมือเติบของคนทั้งคู่ พวกเขาน่าจะมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลใหญ่โต ดังนั้นก็จึงใช้เงินเป็เบี้ยไม่นึกเสียดายสักนิด
หากเป็เช่นนี้ก็ไม่แปลก สตรีตระกูลสูงศักดิ์ส่วนมากไม่เหยียบย่างออกจากประตูเรือน ไหนเลยจะเคยััชีวิตเยี่ยงสามัญชน หากจะไม่รู้เื่ของคนธรรมดาทั่วไปก็ไม่แปลก
"ต้าเหนียงจื่อ กระโปรงสั้นเกินไปไม่สง่างามเ้าค่ะ" ซีมู่เซียงอธิบายอ้อมๆ
หากเป็เพียงชาวบ้านสามัญชน คงไม่มาใส่ใจเื่ความสั้นยาวของกระโปรง แต่หญิงผู้ดีมีสกุลอย่างต้าเหนียงจื่อ ย่อมพิถีพิถันบ้างเป็ธรรมดา
เซวียเสี่ยวหรั่นทำตาปริบๆ เอาเถอะ คงได้แต่ปรับตัวให้เข้ากับคนส่วนใหญ่
"น้องมู่เซียง ตรงขอบนี่ควรจะเก็บอย่างไร"
ั้แ่เมื่อวาน่บ่าย เซวียเสี่ยวหรั่นเรียนรู้การตัดเย็บเสื้อผ้ากับซีมู่เซียง
อย่างไรเสียผู้อื่นก็ช่วยตัดอาภรณ์ตัวนอกให้พวกเขาแล้ว อาภรณ์ชั้นในก็ควรลงมือด้วยตนเอง
เซวียเสี่ยวหรั่นขอให้ซีมู่เซียงช่วยตัดชุดบังทรงเป็ตัวอย่าง แล้วเธอก็ค่อยๆ ทดลองตัดเย็บตามแบบภายใต้การชี้แนะของซีมู่เซียง
แม้ฝีเข็มของเธอจะยังไม่สม่ำเสมอ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็นับว่าใช้ได้ ชุดบังทรงสีขาวดูเป็รูปเป็ร่างขึ้นมา
แน่นอนว่าก็ยังเป็บังทรงสีขาวบริสุทธิ์ ไม่มีลวดลายใดๆ ้า
ตอนเย็น เซวียเสี่ยวหรั่นต้มน้ำร้อนหม้อใหญ่ เตรียมน้ำอาบให้เหลียนเซวียน
บ้านหลังนี้ของซีหย่วน มีที่อาบน้ำอยู่มุมด้านหนึ่งของห้องครัว มุมนั้นกั้นด้วยแผ่นหินขนาดใหญ่ และมีรางน้ำทิ้ง ปรกติยามล้างผักและซาวข้าวก็จะไปเทน้ำตรงนั้น
เซวียเสี่ยวหรั่นยกม้านั่งเตี้ยสองตัวมาให้เหลียนเซวียนนั่งอาบน้ำ
ซีมู่คุนช่วยเปลี่ยนยาพอกที่ขาขวาข้างที่กระดูกร้าวให้เขาสองครั้ง อาการบวมจึงลดลงมาก แค่เหลียนเซวียนระมัดระวังมากหน่อยก็จะไม่มีปัญหาอะไร
ขณะที่เขาออกมาจากห้องครัว อาภรณ์ตัวยาวสีดำภายใต้แสงตะเกียงสลัวราง ขับเสริมให้ผู้สวมใส่แลดูลึกลับ น่าเกรงขาม
"ว้าว เหลียนเซวียน ท่านสวมชุดนี้แล้วดูดีจริงๆ สีดำเหมาะกับท่านมากเลย" เซวียเสี่ยวหรั่นเดินวนรอบตัวเขารอบแล้วรอบเล่า "ให้ความรู้สึกสูงศักดิ์ และลึกลับ จิ๊ๆ ดูไม่เหมือนท่านเลย"
เหลียนเซวียนปรายตามองเธอปราดหนึ่ง ไม่สะทกสะท้านต่อคำชม เอาไม้เท้ายันพื้นประคองตัวเดินไปห้องปีกตะวันออก
ผมเปียกของเขายังมีน้ำหยดติ๋งๆ เซวียเสี่ยวหรั่นวิ่งไปหยิบผ้าเช็ดตัวของเขาบิดให้แห้ง แล้ววิ่งเข้าไปในห้องของเขา
"คราวหน้าต้องซื้อผ้าเช็ดหน้ามาหลายๆ ผืนหน่อย ครั้งก่อนพวกเราลืมซื้อของตั้งหลายอย่าง" เซวียเสี่ยวหรั่นส่งผ้าที่บิดจนยู่ยี่ส่งให้เหลียนเซวียนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้
นับั้แ่มีโต๊ะเก้าอี้เพิ่มขึ้นมา เหลียนเซวียนก็แทบไม่นั่งข้างเตียงอีกเลย
เขายื่นมือมารับ แล้วค่อยๆ เช็ดเรือนผมสีดำสนิทดั่งหมึก
"หลังของท่านเปียกหมดแล้ว เหตุใดถึงไม่รู้จักเช็ดผมให้แห้งก่อนค่อยออกมา" เซวียเสี่ยวหรั่นมองรอยเปียกชื้นที่หัวไหล่ แล้วบ่นว่าอย่างเหลืออด
เหลียนเซวียนหน้านิ่ง มีภูมิต้านทานต่อเสียงบ่นของเธออยู่บ้างแล้ว
"พรุ่งนี้เช้า ข้าจะไปเดินเล่นในหมู่บ้านกับน้องมู่เซียง ว่าจะแวะซื้อเนื้อกลับมาด้วย แผงขายเนื้อกับแผงขายพวกของใช้จุกจิกอยู่ปากทางเข้าหมู่บ้าน ข้าจะไปดูหน่อยว่ามีอะไรที่พอซื้อได้บ้าง"
เซวียเสี่ยวหรั่นดีใจจนเนื้อเต้น ในที่สุดเธอก็จะไปไหนมาไหนได้เสียที
พอได้ยินน้ำเสียงเริงร่าของเธอ มุมปากของเหลียนเซวียนโค้งขึ้นน้อยๆ
"สองวันนี้ต้องขอบคุณน้องมู่เซียงที่นำไข่ไก่กับผักสดจำนวนไม่น้อยมาให้พวกเรา รอให้ข้าคุ้นเคยกับขู่หลิ่งถุนอีกสักหน่อย พวกเราค่อยเชิญครอบครัวพวกเขามากินข้าวดีหรือไม่" เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มพลางเอ่ยถาม
พอได้ยินนางพูดว่าพวกเรา หัวใจของเหลียนเซวียนพลันว้าวุ่น มือที่ขยี้ผมอยู่หยุดชะงัก
"ถ้าไม่ได้พบกับพวกท่านลุงซี ด้วยขาที่าเ็ของท่าน ต้องอีกหนึ่งถึงสองเดือนเป็อย่างน้อยพวกเราถึงจะสามารถออกจากูเา" เซวียเสี่ยวหรั่นยังคงบ่นต่อไป "แน่นอนว่าเป็เพราะพวกเราปันส่วนแบ่งการขายหมีดำครึ่งตัวให้ ผู้อื่นถึงกระตือรือร้นและมีไมตรีด้วยขนาดนี้ แต่หมูไปไก่มา การเชิญพวกเขามากินข้าวสักมื้อยังเป็เื่ที่สมควรทำ"
"....ดี" เสียงของบุรุษแหบพร่าตอบกลับมาอย่างปุบปับ
ดวงตาของเซวียเสี่ยวหรั่นเบิกกว้างราวกับกระพรวนทองแดง
"ทะ... ทะ... ท่านพูดได้แล้ว?" เธอตกตะลึงถึงขั้นพูดติดๆ ขัดๆ
"แฮ่ม พอฝะ... ฝืนได้อยู่" การพูดค่อนข้างยากลำบาก คอได้รับาเ็มานาน้าเวลาฟื้นฟู ลมหายใจติดขัดอยู่ที่ลำคอ เสียงแหบแห้งราวกับคนป่วยหนัก
เซวียเสี่ยวหรั่นตื่นเต้นแทบไม่ไหว "ไหนบอกว่าต้องกินยาสี่ชุด นี่เพิ่งวันที่สามเอง ก็ดีขึ้นแล้วเหรอ ยานี่ได้ผลชะงัดยิ่งนัก"
"อาเหลย เหลียนเซวียนพูดได้แล้ว" เธอหันไปแบ่งปันความตื่นเต้นกับอาเหลย
อาเหลยหลับปุ๋ยไปนานแล้ว กำลังขดตัวหลับฝันหวานอยู่บนเสื่อฟาง เสียงสนทนาของพวกเขาไม่อาจปลุกให้มันตื่น
"ดะ... ดีใจขนาดนี้เชียว?" เหลียนเซวียนรวบผมไปด้านหลัง สายตาเพ่งมาที่เธอ
"ต้องดีใจอยู่แล้ว จะไม่ดีใจได้อย่างไร เป็เื่ที่สมควรดีใจมากๆ" เซวียเสี่ยวหรั่นพูดอย่างเปิดเผย ตื่นเต้นสุดจะบรรยาย
อารมณ์ยินดีปรีดาของเธอทำให้ดวงตาสงบนิ่งดั่งน้ำบ่อลึกเสมอมาของเหลียนเซวียนอาบย้อมไปด้วยความอบอุ่น
"ท่านพูดได้ั้แ่เมื่อไร หลังดื่มยาถ้วยเมื่อครู่เลยหรือ"
"ทำไมเสียงถึงแหบล่ะ เจ็บคอรึเปล่า"
"ท่านมีเทียบยารักษาดวงตาไหม"
"พิษในตัวท่านล่ะ รักษาได้รึเปล่า มีเห็ดหุยซินแล้วไม่ใช่เหรอ"
เซวียเสี่ยวหรั่นงัดคำถามออกมาเป็กอง รู้สึกว่ามีสิ่งที่อยากรู้ไม่จบไม่สิ้น
เหลียนเซวียนเม้มริมฝีปาก เขาน่าจะพูดให้ช้ากว่านี้สักสองวันจะดีกว่า
...
[1] หมายถึงดอกกุหลาบ
