กู่หังจิ่นมองไปยังหนีเจียเอ๋อร์ แล้วคลี่ยิ้ม “นั่นเป็ไข่มุกในฝ่ามือ[1]ของนายท่านหนี เสนาบดีกรมพิธีการ นามว่าหนีเจียเอ๋อร์ สตรีผู้เก่งกาจอันดับหนึ่งของเมืองหลวงเรา”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของมู่หรงจิ่งหลีก็เป็ประกายวาววับ ก่อนหันไปมองเสนาบดีที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เยื้องไปเล็กน้อย พลางพูดด้วยรอยยิ้ม “บุตรสาวของเสนาบดีหนี ช่างมีพร์ในการกล่อมจิตใจผู้คน ถือเป็บุคคลยอดเยี่ยมในรอบร้อยปี”
นายท่านหนีลุกขึ้นยืน แม้จะเอ่ยอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนแต่ก็ไม่อาจปกปิดความภาคภูมิใจได้ “องค์ชายสามยกย่องเกินไปแล้ว ความสามารถเล็กๆ น้อยๆ ของบุตรสาวกระหม่อม ไม่ควรค่าพอให้พูดถึง ต่างจากความสามารถในการบรรเลงกู่ฉินขององค์หญิงใหญ่”
มู่หรงจิ่งหลีดูเหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ว่าตนละเลยน้องสาวของฮ่องเต้ ดังนั้นจึงหันไปทางกู่หังจิ่น “ฝ่าา ขนิษฐาของพระองค์ช่างมากความสามารถยิ่งนัก โดยเฉพาะการใช้นิ้วบรรเลงกู่ฉิน นับว่ามีเอกลักษณ์จนไม่อาจหยุดมองได้”
พอกู่อวี่เสวียนได้ยินคำชมขององค์ชายสาม ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็เพียงการชื่นชมตามมารยาทเท่านั้น จึงยากที่ซุกซ่อนอารมณ์มิให้ปรากฏบนสีหน้า
ขณะเดียวกัน สวีเพ่ยหรานก็ถือกระบี่ยาว เดินผ่านผู้บรรเลงดนตรีทั้งสามไป ทุกการเคลื่อนไหวของเขา ดูสง่างามเพลิดเพลินตา สร้างความครื้นเครงให้กับงานเลี้ยงต้อนรับได้เป็อย่างดี
ด้านโจวชิงหวา กลับคล้ายจะถูกบังตา มองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากหนีเจียเอ๋อร์
ส่วนหนีเจียเอ๋อร์ หลังสบตาสวีเพ่ยหรานเพียงชั่วครู่ ก็หันกลับไปยังโจวชิงหวา
... เหมือนที่นางเคยมองตนเมื่อก่อน แต่บัดนี้ ไม่ว่าจะเป็กู่อวี่เสวียนหรือตัวเขา ล้วนเป็ดั่งอากาศธาตุ!
ความริษยาในใจของสวีเพ่ยหรานเติบโตอย่างรวดเร็ว และลุกลามประหนึ่งเปลวเพลิงที่ล้างผลาญจนไม่อาจควบคุม ส่งผลไปยังกระบี่ ซึ่งกวัดแกว่งแทงเข้าไปที่ข้างหลังของโจวชิงหวา...
ผู้คนพากันส่งเสียงอุทาน แต่โจวชิงหวาไม่ทันได้สังเกตเห็น เพราะกำลังจดจ่ออยู่กับหนีเจียเอ๋อร์และการเป่าขลุ่ย
ดวงตาของหญิงสาวหรี่ลง เมื่อเห็นแสงวาววับจากคมกระบี่ ก็รีบดึงปิ่นปักผมออกมา ขว้างไปเบี่ยงวิถีกระบี่เอาไว้ได้อย่างทันท่วงที
ตอนนั้นเอง โจวชิงหวาก็หันกลับมา เขาเลิกคิ้วมองไปยังสวีเพ่ยหราน พลางพูดอย่างเยือกเย็น “คุณชายสวี กระบี่ไร้ตา หากแทงถูกข้าย่อมไม่เป็ไร แต่หากพลาดไปโดนฮ่องเต้ องค์ชายสาม หรือขุนนางคนอื่น เื่คงไม่จบง่ายเป็แน่”
หลังแทงกระบี่ใส่อีกฝ่ายด้วยสติอันเลอะเลือน สวีเพ่ยหรานก็เพิ่งรู้สึกตัว
พอได้ยินเสียงเตือนของโจวชิงหวา ชายหนุ่มถึงกับหน้าถอดสี รีบ ทิ้งกระบี่ แล้วคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว “ฝ่าา กระหม่อมมิได้เจตนา โปรดลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
กู่หังจิ่นมองไปยังทุกคน และกล่าวอย่างใจเย็น “เกิดเหตุโดยมิได้ตั้งใจ หากชิงหวาไม่ถือสา ก็ช่างมันเถิด”
สวีเพ่ยหรานคุกเข่าคำนับ “ขอบพระทัยฝ่าา”
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้น เดินไปตรงหน้าโจวชิงหวา “ต้องขออภัยด้วย ที่ข้ารำกระบี่จนเกือบจะทำร้ายคุณชายโจวอย่างมิได้ตั้งใจ”
โจวชิงหวายิ้ม “ข้าน้อยไหนเลยจะกล้าตำหนิคุณชายสวี”
ว่าแล้ว ก็ก้มลงหยิบปิ่นทองขึ้นมา ยกยิ้มมุมปาก พลางเดินไปหาหนีเจียเอ๋อร์ ก่อนจับมือนางขึ้นมารับเอาไว้ “คุณหนูรองหนี ขอบคุณมาก”
หนีเจียเอ๋อร์คว้าปิ่นปักผมขึ้นมา ปักเข้าไปที่มวยผมตามเดิม แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “เ้ามิได้ฝึกยุทธ์หรอกหรือ? เหตุใดถึงไม่ระวังตัวเล่า! รู้หรือไม่ว่าอันตรายเพียงใด?”
โจวชิงหวากระซิบตอบ “ตายใต้ดอกโบตั๋น แม้เป็ผีก็ยังสุขสำราญ[2]”
หนีเจียเอ๋อร์รู้สึกทนมิได้กับความไร้ยางอายของเขา อยากบันดาลโทสะแต่ก็ทำมิได้ ด้วยสถานการณ์ที่เป็อยู่ จึงทำให้นางถึงกับหัวเราะมิได้ร้องไห้ไม่ออก
สวีเพ่ยหรานก้าวไปข้างหน้า “เสี่ยวเอ๋อร์ ข้า...”
หญิงสาวเปลี่ยนท่าทีในทันใด “คุณชายสวี ท่านคงจะดื่มมากไปแล้ว นี่หาใช่สถานที่ซึ่งท่านจะมากวัดแกว่งกระบี่อย่างคึกคะนอง จนอาจทำร้ายผู้คนได้เช่นนี้”
เสียงสนทนาของคนทั้งสอง ได้ยินไปทั่วห้องโถง
รอยยิ้มของชายหนุ่มแข็งทื่อ ทั้งอับอายและขุ่นเคือง ที่หนีเจียเอ๋อร์พูดเช่นนั้น
นายท่านหนีจึงเป็ฝ่ายออกหน้าหาทางลงให้ โดยการไกล่เกลี่ยสองสามคำ เื่จึงจบลง จากนั้นสวีเพ่ยหรานก็ออกจากงานเลี้ยง
หลังจบงาน กู่หังจิ่นก็ลุกขึ้นเดินออกจากตำหนัก
ส่วนมู่หรงจิ่งหลี อ้างว่า้าจะไปส่งองค์หญิงกู่อวี่เสวียน เพื่อมาสนทนากับโจวชิงหวา
ขณะที่นายท่านหนีเดินไปพร้อมเหล่าขุนนาง เพื่อหารือเกี่ยวกับกิจการบ้านเมือง
ด้านหนีเจียเอ๋อร์ ก็ปลีกตัวออกมารอโจวชิงหวาที่หน้าประตูวัง ตามที่ได้ตกลงกันไว้
...
ระหว่างทางเดินอันคดเคี้ยวในพระราชวัง มู่หรงจิ่งหลีเป็ฝ่ายเอ่ยขึ้นว่า “พี่ชิงหวา ข้านับถือท่านดุจพี่น้อง อีกทั้งท่านก็ดูจะสนิทสนมกับคุณหนูเจียเอ๋อร์มาก ดังนั้น เราทั้งสามย่อมถือว่ามีชะตาต้องกัน เช่นนั้นแล้ว ท่านพอจะแนะนำนางให้ข้ารู้จักได้หรือไม่?”
โจวชิงหวาชะงัก หันไปมององค์ชายสาม ก่อนปฏิเสธ “จิ่งหลี แคว้นฉีเหลียนของเราต่างจากแคว้นจิวอวี่ สตรีที่ยังมิได้ออกเรือน ไม่อาจพูดคุยกับชายหนุ่มแปลกหน้าได้ตามอำเภอใจ นอกจากนี้ เ้ายังมีสนมถึงสามคนแล้ว การคบหากับเ้า รังแต่จะทำให้ชื่อเสียงของนางมัวหมอง”
มู่หรงจิ่งหลีมองไปยังสีหน้าเคร่งเครียดของพี่ชายร่วมสาบานอย่างแปลกใจ และกระตุกยิ้มมุมปากอย่างไม่เห็นด้วย
“ท่านคิดมากไปแล้ว ข้าหาได้อยากแต่งงาน แล้วพานางกลับจิวอวี่เสียหน่อย เพียงชื่นชมในความงามก็เท่านั้น แต่หากข้าแต่งงานกับนางขึ้นมาจริงๆ เราสองคนก็จะสนิทสนมกันมากขึ้น ไม่ดีหรอกหรือ?”
ดวงตาของโจวชิงหวาฉายแววมึนตึง “เลิกคิดเสียเถอะ... ในแคว้นฉีเหลียน เ้าจะเลือกสตรีคนใดก็ได้ ยกเว้นหนีเจียเอ๋อร์!”
มู่หรงจิ่งหลีขมวดคิ้ว พลางพูดเสียงหงุดหงิด “ท่านดูแปลกๆ นะ หรือจะคิดกับนางเกินพี่น้อง?”
โจวชิงหวาไม่อยากพูดถึงอีก จึงเปลี่ยนเื่ “เท่าที่ข้ารู้ องค์หญิงใหญ่มีความรักลึกซึ้งต่อเ้า ข้าว่าเ้าน่าจะลองคิดดู การแต่งงานกับองค์หญิงแห่งฉีเหลียนในตอนนี้ นับเป็เื่ดี ที่สามารถสร้างความมั่นคงให้เ้าได้”
มู่หรงจิ่งหลีตัวสั่น เมื่อนึกถึงใบหน้าของกู่อวี่เสวียน ที่ดูมีจริตราวกับเสแสร้งแกล้งทำ รวมถึงสายตาของอีกฝ่าย ซึ่งจับจ้องตนอย่างไม่ลดละ
“ข้าทนองค์หญิงใหญ่มิได้หรอก อีกทั้งไม่อยากพึ่งพิงภรรยาเพื่อสร้างความมั่นคงด้วย”
โจวชิงหวาจึงหยุดพูด แล้วเดินไปส่งมู่หรงจิ่งหลีที่ตำหนักอวี้อวิ๋น ก่อนหันหลังผละจากมา
...
อีกด้านหนึ่ง หนีเจียเอ๋อร์ยืนอยู่หน้าประตูวังมาพักใหญ่
แต่แล้วจู่ๆ สวีเพ่ยหรานก็เดินตรงมาหา “เสี่ยวเอ๋อร์”
“ไปเถอะ ข้าไม่อยากพบท่าน” หนีเจียเอ๋อร์ไล่อย่างไม่ไว้หน้า
ชายหนุ่มจึงรีบพูดอย่างร้อนรน “เสี่ยวเอ๋อร์ เื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็อุบัติเหตุจริงๆ ข้าไม่โง่พอที่จะทำเื่ร้ายแรง อย่างการแทงโจวชิงหวาต่อหน้าฮ่องเต้และแขกจากจิวอวี่หรอก”
คำพูดของอีกฝ่าย เป็ดั่งคมมีดที่กรีดผ่านขีดจำกัดของหนีเจียเอ๋อร์ เมื่อนึกย้อนไปถึงชาติก่อน ซึ่งอยู่ด้วยกันมาเป็สิบปี กินนอนร่วมเตียงเดียวกันทุกวัน แต่ชายผู้นี้กลับไม่เคยแสดงพิรุธให้เห็น จนกระทั่งนางถูกอีกฝ่ายบีบคอตาย จึงได้เห็นธาตุแท้ของปีศาจตนนี้
จิตใจของเขา... ยากแท้หยั่งถึง!
ดังนั้น ตนจะต้องตัดขาดความสัมพันธ์ อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกันอีกเลย มิฉะนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาจะจัดการกับตระกูลหนีและโจวชิงหวาอย่างไร
-------------------------------------
[1] ไข่มุกในฝ่ามือ หมายถึง ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน
[2] ‘ตายใต้ดอกโบตั๋น แม้เป็ผีก็ยังสุขสำราญ’ เป็สำนวน แปลว่า การสละชีพเพื่อสตรีอันเป็ที่รัก ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้