ออกจากหมู่บ้านไป๋กู่ได้ไม่นาน ก็มาถึงอำเภอิเหอ
เพียงเพิ่งจะเข้าเมือง ก็มีดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วนถูกโยนมา
ด้วยเป็โอกาสที่หาได้ยากที่บุรุษตระกูลลู่จะปรากฏตัวพร้อมกัน
อีกทั้งพวกเขากำลังจะไปเข้าเรียนในสำนักเชินอีกด้วย
เหล่าแม่นางบนถนนเฟิงเยว่จึงได้รีบมาเฝ้าประตูเมืองั้แ่เนิ่นๆ เพื่อจะได้ร่วมส่งเหล่าหนุ่มๆ ออกเดินทาง
ทว่าท่ามกลางดอกไม้ที่โปรยปรายมากมาย กลับมีดอกไม้ดอกหนึ่งที่ต่างจากดอกอื่นปะปนมา ดอกไม้ทั้งใหญ่ทั้งหนัก จงใจโยนมาให้อาลู่โดยเฉพาะ มันเกือบจะกระแทกโดนหัวอาลู่แตก
ดอกไม้สีแดงดอกใหญ่นี้ทำจากผ้าทอสีแดง ด้านในยังยัดไส้หินก้อนใหญ่ไว้
เมื่อกระแทกโดนอาลู่ เด็กหนุ่มก็พลันหน้าแดงราวกับกุ้งต้ม
“พี่ชายตระกูลลู่ ท่านต้องจำข้าให้ได้นะ ชื่อที่ข้าใช้ยามแสดงคือฝูหรง”
“พี่ชายตระกูลลู่ ยังมีข้าอีกๆ ชื่อของข้ายามแสดงคือซงฮวานะเ้าคะ”
“พี่ชายตระกูลลู่…”
สตรีเหล่านี้ทำอาลู่ใเสียจนต้องรีบหลบเข้าไปแอบในรถ เขาไม่เคยลงมือทำอะไรแท้ๆ เพียงแค่ในอดีตยามอยู่ในหน่วยลาดตระเวนจะต้องคอยสืบข่าวต่างๆ จึงต้องใกล้ชิดกับแม่นางบนถนนเฟิงเยว่บ้างเป็ธรรมดา
ความจริงเขายังเป็เพียงเด็กหนุ่มที่อยู่กับร่องกับรอยคนหนึ่ง
อาลู่ริมฝีปากเรียวบาง ดวงตาดอกท้อแฝงแววเ้าชู้ ทว่าเขาล้วนปฏิบัติกับเหล่าสตรีอย่างซื่อตรงมาโดยตลอด บางคราก็ดูไร้ไมตรี แต่ก็ไม่รู้เพราะเหตุใด ไฉนเหล่าพี่สาวจึงต้อนรับขับสู้เขาถึงเพียงนี้
นายท่านสามเห็นเช่นนั้นก็นึกริษยา
เสี่ยวอู่ก็ได้แต่ช่วยบังดอกไม้เ่าั้ เขามือไม้คล่องแคล่ว ดอกไม้ที่ถูกโยนเข้ามาล้วนถูกเขาปัดออกไปได้หมด เสียงร้องอุทานจึงแว่วดังมาเป็ระยะ เสี่ยวอู่รู้ว่าเหล่าพี่สาวที่แสนจะกระตือรือร้นรอบกายช่างน่ากลัวนัก สตรีก็ล้วนแล้วแต่เป็เช่นนี้หรือ หากเป็เช่นนั้นน้องสาวของพวกเราเฉินโย่วก็ดีกว่าพวกนางเป็ไหนๆ
นางทั้งมีชีวิตชีวา ทั้งน่ารัก
อาสวินฉลาดกว่าใคร จึงได้รีบเข้าไปหลบในรถเสียั้แ่คราแรก จะเป็จะตายอย่างไรก็ไม่ยอมออกมา เพราะถ้าว่ากันแล้วชื่อเสียงของเขาน่าจะเลื่องลือยิ่งกว่าอาลู่กระมัง
อาลู่เพิ่งจะโดนดอกไม้หนักหนึ่งจินกระแทกมา เดาว่าหากเป็เขาเองก็อาจจะโดนดอกไม้หนักสองจินก็เป็ได้ ตัวเขาก็ไม่ได้คล่องแคล่วถึงเพียงนั้น
เมื่อเห็นอาลู่ที่โดนบีบคั้นจนต้องเข้ามาหลบอยู่ในรถม้าข้างๆ ตน ก็รู้สึกว่าน่าขันเสียจนหยุดหัวเราะไม่ได้
ราวกับว่าความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่อหมู่บ้านไป๋กู่ ก็ถูกเสียงหัวเราะนี้ทำให้เจือจางลงเช่นกัน
รอจนท่านข้าหลวงจ้งออกหน้า เหล่าแม่นางจึงได้พาหันหยุดโยนดอกไม้ใส่เหล่าเด็กหนุ่ม
เพราะไม่รู้ว่าพี่สาวคนใดกันที่ไม่ทันระวังโยนดอกไม้กระแทกใส่ท่านข้าหลวงจนเขาดูมีท่าทีมึนงง เมื่อเหตุการณ์เป็เช่นนี้เหล่าพี่สาวก็พากันสลายหายไปราวกับนกแตกรังก็ไม่ปาน
เมื่อสองพ่อลูกตระกูลจ้งเห็นว่าท่านผู้าุโจะเดินทางกลับเมืองหลวงก็ตื่นเต้นนัก
แม้ท่านผู้าุโจะกล่าวว่าเขาเพียงจะไปส่งเด็กๆ ให้เข้าเรียนเท่านั้น ทว่าตราบใดที่ท่านผู้าุโเดินทางเข้าเมืองหลวง ข่าวลือใส่ร้ายจำพวกนั้นย่อมจะไม่มีทางได้แพร่ต่ออีก อีกทั้งครานี้ตระกูลจ้งก็คงจะได้ฟื้นคืนความรุ่งโรจน์กลับไปเหมือนในวันวาน
อีกทั้งจ้งหรู บุตรชายของจ้งจื๋อก็เรียนอยู่ที่สำนักเชิน คิดแล้วก็ช่างประจวบเหมาะนัก
ข้าหลวงจ้งพลันตบอกรับประกันว่าเขาจะดูแลพื้นที่ห่างไกลแห่งนี้และหมู่บ้านไป๋กู่เป็อย่างดี
จะรอจนท่านผู้าุโมารับพวกเขากลับเมืองหลวง
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็ออกเดินทางตลอดทั้งวันทั้งคืนไม่มีหยุดพัก
เขาเดินทางเพียงลำพัง ไม่คิดจะรั้งอยู่ที่อำเภอิเหอต่อ
เมื่อผ่านพ้นอำเภอิเหอไปแล้ว ถนนที่ทอดยาวก็ดูอ้างว้างขึ้นมา
เมื่อครู่เป็เพราะเหล่าพี่สาวบนถนนเฟิงเยว่แสดงออกอย่างอบอุ่นเกินไป ดังนั้นนอกจากเสี่ยวอู่ที่แสนทึ่มทื่อแล้ว คนอื่นๆ ล้วนแต่หลบอยู่ในรถม้า
ยามนี้ในรถม้าจึงมีทั้งเฉินโย่ว อาสวิน และอาลู่นั่งรวมกันอยู่
มีเพียงเสี่ยวอู่ที่ขี่ม้าอยู่นอกรถม้า
เมื่อม่านบนรถม้าเปิดออก
ภาพของเฉินโย่วที่กำลังจับเ้าลูกหมาป่าของตนพลิกไปซ้ายทีขวาทีจึงปรากฏขึ้น
ประเดี๋ยวก็จับมันม้วนเป็ก้อน บางครั้งก็จับมันกดเสียจนตัวแบนราบ ส่วนเ้าลูกหมาป่าก็ได้แต่ทำท่าทุกข์ระทมอย่างสุดแสน
อาสวินยังคงหยิบหนังสือออกมาเป็นิสัย แล้วแสร้งว่าตนกำลังขะมักเขม้นอ่านตำรา
อาลู่มองออกไปนอกหน้าต่าง ทุ่งหญ้ากว้างนอกหน้าต่างเป็สถานที่ที่เขาอาศัยอยู่ั้แ่เล็กจนโต บัดนี้เมื่อจำเป็ต้องจากมันไปจริงๆ คราแรกก็ยังไม่รู้สึกอันใด ทว่าบนเส้นทางที่ทอดยาว เมื่อหันมองกลับไปก็เห็นอำเภอิเหอกลายเป็แค่จุดเล็กๆ จึงได้ตระหนักอย่างแท้จริงว่า เขาได้จากพื้นที่รกร้างแห่งนั้นมาแล้ว
ยามยังเล็กท่านพ่อเคยเล่าให้ฟังว่านอกทุ่งหญ้ามีูเามากมาย
บนูเาก็ยังมีเมืองอีกมากมาย
เมืองก็ช่างใหญ่โตนัก ทั้งยังมีกำแพงสูงลิ่วล้อมรอบ
เมืองแห่งนั้นยังมีทะเล
ริมทะเลก็ยังมีเมืองอีกเมืองหนึ่ง
เมืองเ่าั้ยิ่งใหญ่เพียงใด เมื่อก่อนกระทั่งจินตนาการของอาลู่ก็ยังคิดภาพไม่ออก
ทว่ายามนี้เขากลับกำลังเดินทางไปยังที่แห่งนั้น
อาลู่รู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก
ทว่าอาลู่แต่ไหนแต่ไรมาก็มีท่าทีราวกับผู้ใหญ่ ยามอยู่บ้านเขาก็ต้องเป็พี่คนโต ในฐานะที่เป็พี่เขาจึงต้องสุขุมรอบคอบ
ทว่ายามนี้เขากลับกระวนกระวายร้อนรน
เมื่อคิดว่าจะต้องเข้าเรียนด้วยเช่นกัน เขาก็พลันรู้สึกอึดอัดขึ้นมา
แม้ว่าเขาจะคิดว่าถึงอย่างไรตนก็ยังจะเรียนต่อ แต่ก็ไม่คาดคิดว่าตนจะได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาเช่นนี้ ทั้งยังเป็ถึงสำนักเชิน
เพื่อดูแลน้องชายน้องสาว เขาจึงได้เริ่มรับภาระของครอบครัวั้แ่เนิ่นๆ ทั้งยังทำเื่มากมายมาั้แ่ไหนแต่ไร จนบัดนี้เขาเพิ่งจะจำได้ว่าเขาก็ยังเป็เพียงเด็กคนหนึ่ง เขาเองก็สามารถเข้าเรียนได้
เมื่อเห็นว่าอาลู่กำลังมองไปทางอำเภอิเหออย่างเลื่อนลอย อาสวินก็ปิดตำราในมือลงแล้วคลานไปข้างกายพี่ชาย กล่าวอย่างยินดี “พี่ลู่ ข้าจะต้องสอบเข้ายี่สิบอันดับแรกของสำนักเชินได้อย่างแน่นอน เช่นนั้นข้าเองก็สามารถเข้าวังหลวงได้ ต่อไปข้าจะเป็ขุนนางใหญ่ให้ได้”
ดวงตาของเด็กหนุ่มสว่างไสว และเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน
เขายังอยากกล่าวอีกว่าต่อไปก็ให้เขารับหน้าที่ดูแลน้องสาวและครอบครัวเอง
อาลู่ไม่ได้ตอบอะไร เพียงตบบ่าอาสวินเบาๆ
อาสวินมีปัญญาล้ำเลิศ ฉลาดราวกับปีศาจ แม้จะเห็นเพียงครั้งเดียวก็ไม่ลืมเลือน แต่ความคิดของเขาช่างยึดมั่นนัก เพราะชีวิตยังไม่เคยผ่านความล้มเหลว
ทว่าเขากลับชอบแววตาทะเยอทะยานของอาสวิน หากเป็ไปได้ เขาก็หวังให้อาสวินทะเยอทะยานเช่นนี้ตลอดไป เขาเองก็จะคอยยืนอยู่ข้างหลังตลอดไปเช่นกัน
เฉินโย่วรีบปรี่มาเบียดอีกข้างหนึ่งของพี่ชาย จากนั้นจึงเริ่มยียวนกวนใจอาสวิน
“ข้าก็จะเข้าวังหลวงเหมือนกัน ข้าก็อยากเป็ขุนนางใหญ่”
เสี่ยวอู่ที่อยู่นอกรถม้าเมื่อได้ยินคำพูดของพี่น้องในรถก็กล่าวขึ้นพร้อมน้ำเสียงเจือความขบขัน “ข้าไม่อยากเป็ขุนนางใหญ่ ข้าขอเป็เพียงผู้คุ้มกันก็พอ ต่อไปข้าจะเป็คนปกป้องพวกเ้าเอง”
ราชครูนั่งอยู่ในรถม้าคันหลัง เส้นทางข้างหน้าทำเขารู้สึกประหม่าไม่น้อย ไปเมืองหลวงครั้งนี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะดีหรือร้าย เพราะยามที่ตัวเขาเองต้องอยู่ในสถานการณ์นั้นด้วย เขาไม่อาจคาดเดาหรือทำนายสิ่งใดได้
ทว่ายามที่ได้ยินเสียงเด็กๆ สนทนากัน ในใจเขาก็พลันรู้สึกเบาลง
เมื่อรถม้าเคลื่อนไปอีกระยะหนึ่ง เฉินโย่วก็ไม่อาจนั่งติดที่ได้อีกต่อไป
นางมีพลังเหลือล้นโดยกำเนิด จึงไม่อาจหยุดยั้งตัวเองได้แม้แต่น้อย
นางจึงได้อ้างว่าเ้าลูกหมาป่าดูเซื่องซึม นางเองก็พลางวิ่งออกมาจากรถม้าด้วยเช่นกันแล้วะโขึ้นหลังเ้ามืดทันที
นางวางเ้าลูกหมาป่าลง ให้มันออกวิ่งเอง ส่วนนางก็ขี่หลังเ้ามืดวิ่งไล่กวดมัน
ทักษะการขี่ม้าของเฉินโย่วนับว่าเป็เลิศ บนฟ้าก็ยังมีเ้าอินทรีเสี่ยวอวี้คอยเฝ้าดูนางอยู่ ทุกคนจึงมิได้บังคับนาง
อีกทั้งเส้นทางสู่เมืองหลวงก็ปลอดภัยกว่าเส้นทางในพื้นที่ห่างไกลมากนัก
กระนั้นยามที่เฉินโย่วยังอยู่บนทุ่งหญ้าก็ยังเอาแต่วิ่งเล่นได้ตามใจ เมื่ออยู่ที่นี่จึงยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง
อีกอย่างหากเมื่อถึงเมืองหลวงแล้วก็มีกฎระเบียบมากมายนัก
แคว้นเชินมีเหล่าบัณฑิตคร่ำครึมากมายที่เอาแต่จะคอยควบคุมความประพฤติของสตรี
เช่นนั้นยามนี้กระทั่งแม่นางหลัวก็ไม่ได้เอ่ยปากห้ามปรามเฉินโย่ว
เฉินโย่วขี่ม้าไปไม่นานก็ไปถึงหัวขบวน
ทุ่งหญ้ารกร้างล้อมรอบด้วยทะเลทราย
ราวกับเป็อุปสรรคที่ธรรมชาติสร้างขึ้น
หาก้าจะเดินทางไปจากทุ่งหญ้ารกร้างแห่งนี้ จำเป็ต้องผ่านเส้นทางทะเลทราย
ทว่าเส้นทางนี้ก็ไม่ได้ยาวไกลมากนัก เพียงแค่เดินทางให้ถูกทิศ ไม่นานก็ย่อมจะออกจากทะเลทรายได้
เฉินโย่วบนหลังเ้ามืดราวกับโบยบิน เ้ามืดของนางยามที่ต้องห้อตะบึงร่างสีนิลของมันก็จะกลายเป็สีแดงขึ้นมา เ้าลูกหมาป่าด้านหน้าที่เกือบจะถูกเฉินโย่วจับได้อยู่แล้ว ก็ถูกเฉินโย่วยกแส้สะกิดให้มันกลับมาบนเส้นทางเพื่อวิ่งต่อ
ไม่นานนักก็มาถึงกลางทะเลทราย สายตาของเฉินโย่วยอดเยี่ยม ดังนั้นยามที่ออกวิ่งไปพร้อมเ้ามืดจึงได้ผ่อนคลายนัก ทว่าก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยามที่นางหันกลับไปมองจึงไม่เห็นน้าหลัวของนางและคนอื่นๆ ในขบวนแล้ว ราวกับว่าอยู่ดีๆ นางก็มาโผล่อยู่กลางทะเลทรายอันอ้างว้างสุดลูกหูลูกตาแล้ว
ยามนี้รอบกายนางนอกจากทรายก็มีเพียงทราย
ยามลมพัดผ่านก็ม้วนเอาผงทรายไปกับสายลม ก่อนจะตกลงสู่เบื้องล่างดังเดิม
ผงทรายที่รวมตัวกันทอดยาวเป็ทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา
เฉินโย่วมองลมที่กำลังพัดแรง ทว่านางกลับไม่เป็อะไร กระทั่งทรายจะพัดเข้าตาก็ยังไม่มี
เมื่อลมที่กระโชกเข้ามาพัดผ่านไป นางก็เห็นหมาป่าฝูงหนึ่งกำลังเฝ้าตอไม้เก่าๆ เอาไว้
ตอไม้นั้นมียอดอ่อนแตกออกมาสองกิ่ง กิ่งหนึ่งเป็สีเขียวสดใส ส่วนอีกกิ่งกลับเป็สีดำมืดมิด
กิ่งสีเขียวขจี ยามต้องลมก็โบกไหวต้อนรับสายลม
ส่วนกิ่งสีดำกลับไม่หยุดงอกขึ้นสูงราวกับเสาสีดำสนิทต้นหนึ่ง
ฝูงหมาป่าจึงพากันล้อมรอบต้นไม้ใหญ่
เฉินโย่วอุ้มลูกหมาป่าน้อยของตนไว้แล้วปีนขึ้นหลังเ้ามืด ยามมองไปที่กิ่งสีดำก็รู้สึกว่าคุ้นเคยกับมันจนอยากลองััมันสักครา
