ช่างไร้ซึ่งมนุษยธรรม!
หอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า เรียกได้ว่าเป็อันดับหนึ่งในใต้หล้าจริงๆ ยิ่งในเมืองอิ๋นเยวี่ยด้วยแล้ว ยิ่งเห็นได้ชัด ว่าสถานที่แห่งนี้คือหอกู่ฉินที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องกลายเป็หัวข้อหลัก ในการพูดคุยหลังอาหารมื้อเย็นของเมืองไปเสียทุกครั้ง
หลานชายของท่านอ๋องลู่หยางใส่ร้ายศิษย์หออี้ผิน และทุกอย่างเกิดขึ้นในหอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า กู่ไห่แห่งหออี้ผินนำหินิญญาระดับสูงนับเจ็ดแสนก้อน มากองตรงหน้าคุณชาย เพื่อแลกกับชีวิตของผู้ใต้บังคับบัญชาระดับก่อกำเนิดเจ็ดสิบคน
เมื่อโดนกระทำเช่นนั้น หออี้ผินไหนเลยจะเก็บงำโทสะได้? เมื่อพ้นกรอบประตูของ ‘หอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ พวกเขาจึงมาเปิด ‘หอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนน’ ทั้งยังตั้งขึ้นในฝั่งตรงกันข้ามถนน ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อจะแข่งขันกับอีกฝ่าย
มันคือการต่อสู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง
ไม่เพียงเหล่าปรมาจารย์กู่ฉิน ที่พากันสนใจเื่นี้ แม้แต่เหล่าผู้ฝึกตน ต่างก็ให้ความสนใจเช่นกัน
สองวันมานี้พวกเขาได้แต่เฝ้ารอ ว่าหอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนน จะสามารถแก้แค้นได้อย่างไร?
ตามที่คาดไว้ สองวันต่อมา ขณะที่เหล่าผู้ฝึกตนกำลังตั้งใจฟังเสียงกู่ฉินของปรมาจารย์ท่านหนึ่ง ที่ด้านนอกของหอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า ก็มีป้ายประกาศถูกนำออกมาติดที่ฝั่งตรงข้าม นั่นก็มากพอที่จะทำให้พวกเขาละความสนใจจากการฟังเสียงกู่ฉิน หันมาห้อมล้อมอ่านป้ายประกาศตรงหน้าแทน
“มาถึงภายในหกเดือน? จ่ายก่อน? กู่ไห่บ้าไปแล้วหรือ? กางฉินอะไรกัน อยากให้ข้าจ่ายก่อนเช่นนั้นหรือ?”
“ข้าได้ยินมาว่า เจียงเทียนอี้ได้ปิดกั้นช่องทางการซื้อขายของหอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนนไปแล้ว”
“ไม่แปลกใจเลย ว่าเหตุใดสินค้าจึงจะมาถึงภายในครึ่งปี แต่ต้องจ่ายก่อน ทั้งยังต้องรอไปอีกหกเดือนเช่นนี้ ใครจะโง่ไปซื้อ?”
“กางฉิน... กางฉินคืออะไรหรือ?”
ทุกคนมองดูป้ายประกาศรับสั่งจองที่เขียนขึ้นโดยกู่ไห่ ด้วยสายตาเหยียดหยาม เ้าทำการค้าแบบไหนกัน?
แต่เนื้อหาในประกาศ กลับทำให้ทุกคนต้องเบิกตากว้าง
“ไม่ได้ทำจากวัสดุิญญา? กางฉิน? หินิญญาระดับสูงหนึ่งร้อยก้อน?”
“ดูสิ! ข้างๆ นั่นคือ ‘กู่ฉินป่านเสี่ยน’ ของหอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า ที่มีราคาเป็หินิญญาระดับกลางหนึ่งร้อยก้อน... แต่กางฉิน กลับมีราคาสูงถึงหนึ่งร้อยหินิญญาระดับสูง ต่างกันหนึ่งร้อยเท่าเลยมิใช่หรือ? นี่มันเป็การหักหน้าอีกฝ่ายชัดๆ”
“ล้อเล่นหรือไร? ข้าไม่ซื้อหรอก เงินมากถึงเพียงนี้ ข้าสามารถซื้อกู่ฉินที่ทำจากไม้ิญญาได้หลายตัวเลยทีเดียว ขนาดกู่ฉินป่านเสี่ยนที่ใช้วัสดุธรรมดานี้ ยังมีราคาแค่หนึ่งร้อยหินิญญาระดับกลางเท่านั้น? กู่ไห่ตั้งใจล้อเราเล่นหรืออย่างไร? ถึงเพิ่มราคาเป็หนึ่งร้อยเท่า? บ้าไปแล้ว!”
“กางฉิน?... กางฉินคืออะไรหรือ?”
เหล่าผู้ฝึกตนต่างก็รู้สึกไม่ชอบใจต่อป้ายประกาศของกู่ไห่ กางฉินที่ไม่ได้ทำจากวัสดุิญญา ทั้งยังได้รับในอีกครึ่งปีให้หลัง? เช่นนี้แล้ว จะมีใครยอมจ่ายหินิญญาระดับสูงหนึ่งร้อยก้อนให้เ้าล่วงหน้าเล่า?
…
ขณะเดียวกัน หอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้าก็ได้รับข่าวร้าย
“่นี้ ดูเหมือนจะมีคนซื้อกู่ฉินไม่มากเท่าแต่ก่อน?” คุณชายอานขมวดคิ้วแน่น
เจียงเทียนอี้เผยรอยยิ้มเศร้า ก่อนตอบ “ขอรับ! คุณชายอาน แม้ว่าไม่กี่วันก่อน คุณชายจะสามารถหาหินิญญาระดับสูงได้ถึงเจ็ดแสนก้อน แต่นั่นกลับต้องแลกมาด้วยชื่อเสียงของหอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า ผู้ฝึกตนหลายคนไม่กล้าที่จะเข้ามาซื้อกู่ฉินในร้านเรา เพราะเกรงว่า...”
“เกรงว่าเป็คือร้านโจร[1]เช่นนั้นหรือ?” คุณชายอานถามอย่างเ็า
“ใช่ขอรับ! แต่คุณชายอานอย่าได้กังวล อีกสักพัก คลื่นลมก็จะผ่านไป อย่างไรเสีย เื่นี้ก็เป็เพราะผู้ใต้บังคับบัญชาของกู่ไห่ละเมิดกฎการค้าก่อน พวกเราถึงได้จับกุม”
“ฮึ่ม! กฎ?” คุณชายอานแค่นเสียง
“คุณชายอาน ไม่กี่วันมานี้ ข้าคิดมาโดยตลอด ว่าเหตุใดกู่ไห่จึง้าซื้อกู่ฉินป่านเสี่ยน ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ว่าที่เขาซื้อกู่ฉินตัวนั้น ก็เพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างหนึ่งร้อยเท่า ระหว่างกู่ฉินและกางฉินของเขา?
เหอะ! แค่้าที่จะประกาศว่า ‘หอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนน’ ของเขานั้น ดีกว่า ‘หอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ ถึงร้อยเท่า” เจียงเทียนอี้กล่าวอย่างเยือกเย็น
“ร้อยเท่า? ฮึ่ม! ข้าคิดว่าเขาคงจะกำลังสร้างความนิยมในผู้คน กู่ฉินที่สร้างจากวัตถุดิบธรรมดา จะมีคนยอมซื้อในราคาหนึ่งร้อยหินิญญาระดับสูงได้อย่างไร?” คุณชายอานพูดเสียงเย็น
“ใช่! ข้าก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน” เจียงเทียนอี้พยักหน้า
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันนั้น จู่ๆ ลูกค้าที่เข้ามาเยือนก็เอ่ยถาม
“ที่นี่มีกางฉินขายหรือไม่? เอามาให้ข้าดูหน่อย”
“กางฉิน?”
“ใช่แล้ว! กางฉินที่อีกฝั่งจะขาย ข้าขอดูหน่อย แล้วเ้าขายในราคาหนึ่งร้อยหินิญญาระดับสูง...”
“เอ่อ! ไม่มี”
“ไม่มี? ที่นี่มิใช่หอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้าหรอกหรือ? มีกู่ฉินทุกประเภทมิใช่หรือ? แล้วเหตุใดจึงจะไม่มีกางฉินเล่า?”
เมื่อเวลาผ่านไป ก็มักจะมีคนมาถามหากางฉินด้วยความสนใจ แต่หอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า กลับไม่มีกางฉินที่ว่าเลยสักตัว
สีหน้าของคุณชายอานบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด เจียงเทียนอี้ก็เอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นกัน
“เถ้าแก่ พวกเราต้องหล่อกู่ฉินเหล็กหรือไม่?” คนใต้อาณัติถามอย่างสงสัย
“ไม่ต้อง!” เจียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ก่อนตอบ
“แต่หลายคนมาถามหากางฉินที่ว่านั่น?”
“คำว่า ‘กางฉิน’ นี้ ผู้ที่ริเริ่มใช้คือกู่ไห่ คนมากมายจึงคิดว่าเขาเป็ต้นแบบ ถึงพวกเราจะสร้างขึ้นมาให้แตกต่างจากเขา แต่ก็ไม่พ้นโดนคนครหาว่าเลียนแบบอยู่ดี” เจียงเทียนอี้กล่าว พลางส่ายหน้าปฏิเสธ
“ขอรับ!” ผู้ใต้บังคับบัญชาตอบรับ
คุณชายอานหรี่ตาลง พลางมองนิ่งไปที่หอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนน ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม
บัดนี้ ‘หอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนน’ กำลังจะเทียบชั้นกับ ‘หอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า’... ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วเมืองอิ๋นเยวี่ยอย่างรวดเร็ว ราวกับติดปีก
ทุกคนที่ได้ยินข่าวต่างก็พูดเป็เสียงเดียวกัน ว่ากู่ไห่ท่าจะบ้าไปแล้ว แต่กลับมีผู้คนนับไม่ถ้วนตั้งตารอ เพราะอยากเห็นว่ากางฉินนั้นเป็อย่างไรกันแน่ และเหตุใดมันถึงทำให้กู่ไห่มีความมั่นใจได้มากถึงเพียงนี้
...
ภายในหมู่บ้าน ท่ามกลางป่าเขาที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก
เสียงกู่ฉินมากมายดังสอดประสานกัน โดยเหล่านักกู่ฉินจากโลกภายนอก ตอนนี้ ยังคงมีการส่งบัตรเชิญอย่างต่อเนื่อง ณ หมู่บ้านอิ๋นเยวี่ย หมู่บ้านที่มากไปด้วยเกียรติยศและศักดิ์ศรี ของเมืองอิ๋นเยวี่ย
ที่ศาลาแห่งหนึ่ง ในหมู่บ้านอิ๋นเยวี่ย
บริเวณรอบศาลา ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกจางๆ พอให้เห็นภาพป่าเขารอบด้าน ที่ดูงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้
ในศาลานั้น มีร่างของชายชราผมขาว กำลังนั่งถือผ้าบรรจงเช็ดกู่ฉินเก่าแก่ในมือตน
“แค่กๆๆ! สหายข้า เ้าก็คงจะเหมือนกับข้าสินะ... พลังชีวิตของพวกเรา คงจะใกล้หมดลงแล้วใช่หรือไม่? แค่กๆๆ!”
ด้านหลัง มีกลุ่มศิษย์หมู่บ้านอิ๋นเยวี่ยในชุดสีเขียวยืนอยู่ พวกเขาต่างเคารพนับถือชายชราตรงหน้ามาก จึงได้แต่ยืนสงบนิ่ง แทบไม่กล้าหายใจ
“่นี้ในเมืองมีเื่อะไรน่าสนใจหรือไม่?” ชายชราผมขาวเอ่ยถาม พลางเช็ดกู่ฉินคู่ใจ
ผู้ที่อยู่ด้านหลัง พลันตอบด้วยสีจริงจัง “เรียนท่านเ้าบ้าน ทุกวันนี้ในเมืองมีเื่ต่างๆ ขึ้นหลายอย่าง แต่ที่แปลกชอบกล ก็คือท่านหัวหน้าสังกัดวารีแห่งหออี้ผิน ได้ท้าทายหอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า โดยการเปิดหอกู่ฉินขึ้นมาประชัน”
“หืม?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เ้าบ้านผมขาวจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แล้วหันไปมองอย่างนึกสนใจในสิ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชารายงาน
ดังนั้น ชายชุดเขียวจึงเล่าทุกอย่างให้ฟังอย่างนอบน้อม
ท่านเ้าบ้านครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้ม “น่าสนใจจริงๆ... กางฉิน? โลหะไม่เหมาะที่จะนำมาทำกู่ฉิน ส่วนใหญ่มักจะเอามาทำเป็สายกู่ฉินมากกว่า แต่เสียงของมันมีเอกลักษณ์ แตกต่างจากสายที่ทำจากเส้นไหมมาก การขายกู่ฉินสายเหล็กนั้นไม่ง่ายเลย เว้นแต่ว่าจะทำขึ้นเป็พิเศษ เพราะ้าใช้เสียงของสายโลหะ ในการประพันธ์เพลง...”
“ประพันธ์เพลง?”
“ใช่! กู่ฉินสายเหล็กสามารถแสดงออกมาได้ดี แต่จะให้เพลงมีชื่อเสียงก็เป็ไปได้ยากมากเช่นกัน” ท่านเ้าบ้านเอ่ย พลางถอนหายใจเล็กน้อย
“เช่นนั้น... ท่านเ้าบ้านไม่คิดว่ากู่ไห่บ้าบิ่นเกินไปหรอกหรือ?” ชายชุดเขียวถามด้วยความแปลกใจ
“รอดูอีกสองวันเถอะ ข้าเองก็ไม่เคยเห็น ว่ากางฉินนั้นมีลักษณะเป็เช่นไร” ท่านเ้าบ้านตอบ
“ขอรับ! ข้าจะเฝ้าดูเื่นี้ตลอดเวลา แล้วจะมารายงานให้ท่านทราบ” ชายชุดเขียวกล่าวอย่างนอบน้อม
“อืม!” ท่านเ้าบ้านพยักหน้าตอบ
จากนั้น ชายชุดเขียวก็ได้บอกเล่าเื่ราวชวนขันอื่นๆ ที่เกิดขึ้นภายในเมืองให้ท่านเ้าบ้านฟัง เมื่อชายชราได้ฟัง ก็คลี่ยิ้มและรับฟังไปอย่างนั้น ราวกับว่าบนโลกใบนี้ ไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาประหลาดใจได้อีกแล้ว จึงเพียงแต่ฟัง แล้วยิ้มเล็กน้อยเป็ครั้งคราวเท่านั้น
...
การตระเตรียมงานเพื่อเปิดตัว ‘หอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนน’ ใน่สองวันที่ผ่านมานั้น กระตุ้นความสนใจใคร่รู้ของเหล่าผู้ฝึกตนยิ่งนัก
มีผู้คนไม่รู้ตั้งกี่คนที่เข้ามาไถ่ถาม เพราะอยากรู้ว่า ‘กางฉิน’ คืออะไร และมีหน้าตาเป็อย่างไร แต่เหล่าขุนนางของแคว้นต้าฮั่นก็ยังคงไม่ยอมปริปาก พูดแต่ว่าอีกสองวัน กู่ไห่จะเปิดเผยให้ทุกคนได้ทราบ
สองวันต่อมา
ณ หอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนน
ตอนนี้ด้านนอกร้าน มีผู้ฝึกตนมายืนรอดูกันอย่างล้นหลาม
ส่วนที่หอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า ก็มีปรมาจารย์กู่ฉินกำลังจัดการแสดงอยู่ แต่กลับหาได้มีใครสนใจฟัง ทุกคนต่างมองไปยังระเบียงของหอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนนด้วยใจอันจดจ่อ
บนระเบียงนั้น มีกลุ่มศิษย์หออี้ผินยืนล้อมรอบสิ่งของขนาดใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่ ของสิ่งนั้นถูกคลุมด้วยผ้าสีดำ จึงทำให้ผู้คนต่างมองไม่ออก ว่าในผ้าคลุมนั้นคืออะไร
“นั่นหรือกางฉิน? ใหญ่ขนาดนั้นเชียว?”
“ยาวหนึ่งจั้ง สูงครึ่งจั้ง? กู่ฉินอะไรกัน? เ้าตัวใหญ่นี่ คือกู่ฉินอย่างนั้นหรือ?”
“กู่ฉินที่หล่อด้วยโลหะ? มันจะมีลักษณะเป็อย่างไร?”
ผู้คนภายนอกต่างยืนรออย่างอยากรู้อยากเห็น
ขณะเดียวกัน แม้ว่าคุณชายอานจะมิได้มีกู่ไห่อยู่ในสายตา แต่ก็ยังคงยืนอยู่บริเวณชั้นหนึ่งของหอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า ด้วยความอยากรู้เช่นกัน ดวงตาคมจับจ้องไปยังระเบียงที่มีการป้องกันอย่างแ่า
“กางฉิน? เ้าคิดว่าการสร้างสิ่งของประหลาดๆ จะทำลายหอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้าได้อย่างนั้นหรือ? ตลกสิ้นดี!” คุณชายอานคลี่ยิ้มเย็นะเื
เจียงเทียนอี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างพยักหน้า แน่นอน ว่าชื่อเสียงของหอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า มิใช่สิ่งที่เครื่องดนตรีรูปร่างแปลกๆ เพียงชิ้นสองชิ้น จะสามารถกดข่มได้ ในบรรดาเครื่องดนตรีทั้งหมด กู่ฉินถือเป็เครื่องดนตรีที่มีเกียรติ ซึ่งเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆ ไม่อาจเทียบเทียมได้
ดังนั้น เมื่อเห็นว่ามันไม่ใช่กู่ฉิน เจียงเทียนอี้ก็โล่งใจ
หลงหว่านชิง ไต้ซือหลิวเหนียน ซ่างกวนเหิน มู่เฉินเฟิง และคนอื่นๆ ต่างก็ไม่เคยเห็นกางฉินมาก่อน ยามนี้ เมื่อเห็นว่ามีผ้าสีดำคลุมมันเอาไว้ ดวงตาของทุกคนต่างก็เป็ประกาย เผยความสนใจใคร่รู้อย่างไม่อาจปิดบัง
“แล้วกู่ไห่เล่า? เร็วเข้า! กางฉินนี่คืออะไรกัน? เหตุใดถึงได้ดูลึกลับนัก?” มู่เฉินเฟิงถามด้วยความอยากรู้
เขาไม่ค่อยได้เห็นเครื่องดนตรีขนาดใหญ่เช่นนี้เท่าใดนัก... จงชิ่ง[2]? กลองั์?... ดูเหมือนว่ารูปร่างจะไม่ได้ดูใกล้เคียงเลย?
“ฝ่าากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า โปรดรอสักครู่!” ซ่างกวนเหินตอบ พลางยกยิ้ม
“เปลี่ยนเสื้อผ้า? เล่นกางฉินยังต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยหรือ?” มู่เฉินเฟิงขมวดคิ้วแน่น
ขณะที่ผู้คนต่างกำลังตื่นตาตื่นใจอยู่นั้น ห้องชั้นบนของหอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนน คนกลุ่มหนึ่งค่อยๆ เดินผละออกจากร่างของกู่ไห่
ไม่นานนัก ชายหนุ่มก็ปรากฏตัวขึ้น ผู้คนรอบด้านต่างก็ตกอยู่ในความเงียบงันทันที เมื่อเห็นกู่ไห่แต่งกายด้วยชุดที่แปลกตา แต่กลับดูสง่างามยิ่งนัก อย่างน้อย หลงหว่านชิงและผู้ฝึกตนหญิงจำนวนมาก ต่างก็จ้องมองเขาด้วยดวงตาอันเป็ประกาย
ชุดคลุมสั้นสีดำขนาดพอดีตัว ราวกับตัดมาเพื่อผู้ใส่โดยเฉพาะ ด้านหน้าสั้น ด้านหลังยาว เหมือนหางนกนางแอ่น ดูสุขุม สง่างามและมีเกียรติอย่างชนชั้นสูง เท้าที่สวมรองเท้าหนังสีดำ เดินตรงไปยังกางฉินตรงหน้า
“นี่มันชุดอะไรกัน?” หลงหว่านชิงเผยสีหน้าฉงน
“จากที่ฝ่าาทรงตรัส ดูเหมือนจะเรียกว่า ‘ย่านเหว่ยฝู[3]’ ขอรับ!” ซ่างกวนเหินอธิบาย
“หืม?”
ใต้หล้านี้กว้างใหญ่นัก จึงไม่แปลกอันใด ที่จะมีชุดประหลาดนับไม่ถ้วน ถึงแม้ย่านเหว่ยฝู จะไม่อาจทำให้เกิดความฮือฮาเท่าที่ควร แต่ก็ถือว่าดึงดูดสายตาของผู้คนได้ในทันที
“เรียกร้องความสนใจ!” คุณชายอานที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามค่อยๆ เผยรอยยิ้มเยียบเย็น
“ขอรับ! ทว่าการขายกู่ฉิน ท้ายที่สุดก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของกู่ฉิน ไม่ว่าเสื้อผ้าจะดีเพียงใด ก็เป็เพียงเปลือกนอกเท่านั้น” เจียงเทียนอี้พยักหน้า
“เตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว?” คุณชายอานเอ่ยถามเสียงเรียบ
“วางใจเถอะ! คุณชายอาน ข้าได้เชิญปรมาจารย์กู่ฉินมากลุ่มหนึ่งแล้ว ขอเพียงการแสดงกางฉินจบลง ทุกคนก็หันมาสนใจหอกู่ฉินของเราแทน” เจียงเทียนอี้แสยะยิ้มเย้ยหยัน
“อืม!” คุณชายอานพยักหน้า
กู่ไห่ค่อยๆ เดินไปยังกางฉิน แล้วโบกมือขึ้นเบาๆ
เมื่อเ้าหน้าที่หลายคนดึงผ้าคลุมสีดำออก กางฉินก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
มันเป็เครื่องดนตรีสีดำวาวขนาดใหญ่ ที่มีขาสามข้าง ดูคล้ายกับโต๊ะสามเหลี่ยม แต่เมื่อยามแสงตกกระทบ กลับดูสวยงามยิ่ง
เพียงกู่ไห่โบกมือเบาๆ เหล่าขุนนางต่างก็ช่วยกันเปิดฝาขนาดใหญ่ออกอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นเอง ก็เผยให้เห็นถึงกลไกภายในมากมายนับไม่ถ้วน ที่ดูเหมือนกับสายกู่ฉิน แต่กลับสลับซับซ้อนอย่างหาที่เปรียบมิได้
ด้านข้างมีขุนนางาุโส่งผ้าขนหนูมาให้ กู่ไห่จึงเช็ดมือ ก่อนจะค่อยๆ ทิ้งกายลงนั่งลง
“นี่คือกางฉิน? มีม้านั่งด้วยหรือ? แล้วจะเล่นได้อย่างไร?”
“กางฉินเป็แบบนี้นี่เอง ดูท่าคงจะแพงมากทีเดียว”
“ดูแล้วไร้ประโยชน์ จะดีดได้อย่างไรกัน?”
ผู้ฝึกตนทั้งหลาย ต่างแสดงสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
กู่ไห่ค่อยๆ เปิดฝาครอบตรงหน้าขึ้น ภาพของปุ่มสีขาวห้าสิบสองปุ่ม และปุ่มสีดำสามสิบหกปุ่ม จึงปรากฏแก่สายตาผู้คน
มีปุ่มทั้งหมดแปดสิบแปดปุ่ม ทุกคนเมื่อเห็นเช่นนั้น ต่างก็ตกตะลึงเล็กน้อย
“มีปุ่มเยอะแยะถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” เจียงเทียนอี้ที่ยืนอยู่ชั้นบนเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
“กางฉินเป็อย่างไรบ้าง?” นายน้อยอานขมวดคิ้ว
เมื่อเห็นว่ากู่ไห่สงบนิ่ง พลันทำให้ทั้งสองต่างก็ความรู้สึกไม่ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วน ต่างมองไปยังกู่ไห่ในชุดย่านเหว่ยฝู ที่กำลังนั่งอยู่หน้ากางฉินด้วยท่าทีที่สุขุม แม้ว่าบางคนจะยังคงแสดงความเหยียดหยาม แต่บรรยากาศรอบด้านกลับค่อยๆ เงียบสงบลง แม้แต่ปรมาจารย์ด้านกู่ฉิน ที่กำลังเล่นเพลงอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ต้องชะงักมือ หยุดเล่นกู่ฉินไปอย่างนึกแปลกใจ
“เริ่มค่ายกลได้”
“ขอรับ!”
ศิษย์หออี้ผินหลายคน เริ่มวางค่ายกลรอบด้านอย่างรวดเร็ว ค่ายกลโปร่งใสปรากฏขึ้น แม้จะดูเหมือนไม่มีอะไร แต่พวกเขากลับรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่แปลกไปเล็กน้อย
“ใช้ค่ายกลเพื่อขยายเสียง? กู่ไห่จะรนหาที่ตายอย่างนั้นหรือ?” เจียงเทียนอี้ถลึงตาใส่
“ค่ายกลขยายเสียง? กู่ไห่มั่นใจมากขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“ค่ายกลขยายเสียง ไม่อาจเพิ่มความไพเราะของบทเพลง ทำได้แค่ขยายเสียงเพลงให้ดังขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ความรู้สึกซาบซึ้งใจที่มักจะเกิดขึ้น เมื่อได้ยินปรมาจารย์กู่ฉินบรรเลงเพลงนั้น ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ ไม่มีข้อได้เปรียบใดๆ เลย ในการใช้ค่ายกลนี้ นอกจากจะมั่นใจว่าสามารถมอมเมาผู้ฟังได้ ด้วยบทเพลงที่ประพันธ์ขึ้นมาใหม่”
“ค่ายกลขยายเสียงของกู่ไห่ ไม่ได้มีไว้เพื่อมอมเมาผู้ฟัง แต่ใช้ในการขยายเสียง เพื่อให้ทุกคนได้ยินโดยพร้อมเพรียงกัน นี่คิดจะใช้บทเพลงในการพิชิตใจผู้คนหรือ?”
“ใช้ค่ายกลขยายเสียง ขยายเสียงออกไป หากเล่นได้ไม่ดี ชื่อของหอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนนก็จะพังพินาศ”
ผู้คนนับไม่ถ้วน ต่างมองกู่ไห่อย่างไม่ละสายตา ด้วยความพิศวง
และแล้ว เมื่อมือของกู่ไห่กดลงไปบนปุ่มแรก...
ติง!
ทันใดนั้น ทุกคนต่างก็หยุดทุกการกระทำลง ก่อนมองดูกู่ไห่ เสียงกางฉินนี้ ดังไปทั่วบริเวณ แม้จะไม่ได้ยินทั่วเมือง แต่พื้นที่หนึ่งในสิบของเมืองอิ๋นเยวี่ย จะต้องได้ยินเสียงนี้อย่างแน่นอน
“กางฉิน เสียงกางฉิน ฟังแล้วรู้สึกปลอดโปร่งมาก” ผู้ฝึกตนหลายคนกล่าวขึ้นในทันทีที่ได้ยิน
ติงๆๆ... ติงๆๆ... ติง...!
กู่ไห่ไล่นิ้วของเขาอย่างต่อเนื่อง เสียงกางฉินยังคงดังอย่างคงที่ แม้ก่อนหน้านี้ทุกคนยังคงประหลาดใจ และนึกต่อต้านเล็กน้อย แต่ไม่นานนัก ทุกคนก็สงบลง
ไม่มีการมอมเมาด้วยภาพลวงตา เพียงแต่ตอนนี้ ทุกคนต่างตกอยู่ในมนต์สะกดของบทเพลง
เมืองอิ๋นเยวี่ย มีการบรรเลงดนตรีโดยปรมาจารย์กู่ฉินมานานหลายปี แต่ผู้คนในเมืองไม่เคยรู้จักกางฉินมาก่อน จึงทำได้แค่ชื่นชมว่าดีหรือไม่ เมื่อได้ฟังเท่านั้น
เมื่อเสียงกางฉินดังขึ้น ผู้คนมากมายก็ค่อยๆ หลับตาลง ฟังเพลง
กู่ไห่ที่กำลังเล่นกางฉินอยู่นั้น เมื่อเห็นว่ารอบข้างเริ่มเงียบสงัดมากขึ้นแล้ว พลันมุมปากก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มบางเบา
เขาไม่ใช่ปรมาจารย์กางฉิน เป็แค่ผู้เล่นกางฉิน และ้าขายมันให้ได้เท่านั้น ซึ่งในการทำธุรกิจต่างๆ การโฆษณาประชาสัมพันธ์สำคัญมาก หากอยากได้ยอดขายสูงๆ อันดับแรก ก็ต้องดึงดูดความสนใจผู้คนให้ได้เสียก่อน
ดังนั้น การเลือกเพลงแรกมาใช้ในการบรรเลง จึงสำคัญมาก ซึ่งกู่ไห่ก็ได้คิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ที่นี่มีปรมาจารย์กู่ฉินมากมาย เขาจึงไม่อาจนำทุกคนให้เข้าถึงอารมณ์เพลงได้ ดังนั้นเพลงที่เขาเลือก จึงเป็บทเพลงะที่เป็ดั่งมนต์สะกด ที่จะวนเวียนอยู่ในใจของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ราวกับใช้เวทมนตร์
และเพลงแรกที่กู่ไห่เลือกนั่นก็คือบทเพลงล้อไล่ หรือ ‘แคนอน[4] ’ ซึ่งเป็บทเพลงที่ติดหูที่สุดในใต้หล้า
บนโลกใบเดิมนั้น กู่ไห่เคยได้ยินบทเพลงมามากมาย ซึ่งมีบางเพลงที่เป็เพลงดังติดหู สร้างความนิยมในฝูงชนนับไม่ถ้วน ให้นำไปร้องเล่นเต้นรำ ทว่าเพลงเ่าั้ ก็ยังไม่อาจทำได้เหมือนบทเพลงล้อไล่... บทเพลงระดับเทพ ซึ่งได้รับความนิยมมาหลายศตวรรษ!
นานนับหลายร้อยปีมาแล้ว ที่บทเพลงล้อไล่ได้ถือกำเนิดขึ้น จึงถือได้ว่าเป็บทเพลงในตำนาน ที่อยู่มาอย่างยืนยาวในวงการดนตรี
เมื่อกางฉิน หรือเปียโนปรากฏขึ้นครั้งแรกบนโลกที่กู่ไห่จากมานั้น มันกลับไม่ได้รับการยอมรับจากกลุ่มนักดนตรีสักเท่าใด นักดนตรีหลายคนไม่ชอบดนตรีชิ้นใหญ่ๆ เช่นนี้
จนกระทั่งมีบรรดานักเปียโนอย่าง โมซาร์ท โชแปง เบโธเฟน บาค และอื่นๆ อีกมากมาย พวกเขาจึงค่อยๆ ผลักดันเปียโนให้โด่งดังจนถึงขีดสุด ทั้งยังสร้างบทเพลงคลาสสิก ที่ตกทอดกันมารุ่นสู่รุ่น จนมีชื่อเสียง เป็ที่รู้จักกันดีในที่สุด
ผู้คนรู้กันดีว่าในบรรดาเพลงที่ประพันธ์โดยนักดนตรีลือชื่อ เช่น เบโธเฟน โมซาร์ท โชแปง และอื่นๆ นั้น พวกเขาหลายคนใช้ ‘แคนอน’และ ‘ซิมโฟนีหมายเลข 5’ ของเบโธเฟน หรือไม่ก็ ‘แคนอนห้ารูปแบบ’ ของบาค เข้ามาเป็ส่วนประกอบในบทเพลง
เพราะบทเพลงล้อไล่ หรือแคนอน ไม่ได้เป็เพียงเพลงเปียโน แต่เป็รูปแบบของดนตรี มันจึงถูกปรับปรุงและพัฒนาไปหลายต่อหลายครั้ง
ดังนั้น นักดนตรีจำนวนมาก บ้างก็นำแคนอนมาใช้ในบาง่ของบทเพลง หรือในบางเพลง อาจจะเป็แคนอนไปทั้งเพลงเลยก็มี
ในโลกใบเดิมนั้น มีการใช้แคนอนกันอย่างแพร่หลายทุกประเทศ กู่ไห่เคยได้ยินเพลงป๊อปจำนวนมาก ที่เป็เพลงในรูปแบบแคนอน อีกทั้งเพลงประกอบภาพยนตร์จำนวนมาก ก็ล้วนมีแคนอนเป็องค์ประกอบทั้งสิ้น
สำหรับกู่ไห่แล้ว ั้แ่ยังเด็ก ก็เคยได้ยินบทเพลงแคนอนมามากกว่าสองพันรูปแบบแล้ว
กว่าสองพันรูปแบบ? ใน่หลายศตวรรษที่ผ่านมา วงการดนตรีมีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น และบางทีผู้ฟังทั่วไป ก็อาจจะไม่ได้รู้สึกอะไร ทว่าสำหรับนักดนตรีแล้ว บรรดาโน้ตเพลงของนักดนตรีระดับโลกในอดีตเ่าั้ ถือเป็ดั่งคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับพระคัมภีร์ทางศาสนาเลยทีเดียว
ตราบใดที่ยังเป็นักดนตรี เขาก็จะสร้างบทเพลงแคนอน ได้อย่างน้อยหนึ่งหรือสองเพลง
เพลงระดับเทพ เพลงที่มีมนต์ขลัง เพลงของพระเ้าที่ไม่เคยเลือนหายไปตามกาลเวลา แม้จะผ่านมานานนับศตวรรษ
ดนตรีไม่มีพรมแดน ตราบใดที่มนุษย์ยังมีความสุนทรีย์ในอารมณ์แบบเดียวกันอยู่เช่นนี้
บางที แคนอนอาจจะไม่ใช่บทเพลงที่ดีที่สุดในมิติแห่งนี้ ทว่า มันก็สามารถทำให้เหล่าปรมาจารย์กู่ฉินจำนวนนับไม่ถ้วน ต่างรู้สึกตื่นเต้นและชื่นชมยิ่ง
ที่กู่ไห่้า ก็คือความรู้สึกเช่นนี้ เพื่อใช้มันในการดึงดูดผู้คนรอบด้านให้สนใจเปียโน หรือกางฉินของเขา
ให้ความรู้สึกโล่งเบาสบายนี้ เกาะกุมหัวใจผู้คนโดยตรง เมื่อจิตใจของพวกเขาปลอดโปร่ง จากนี้ไป ยามใดที่ได้ยินเพลงแคนอน หรือบทเพลงล้อไล่เช่นนี้ ความคิดแรกที่จะนึกถึง ก็คือกางฉินนั่นเอง
ติงๆๆ ติงๆๆ ติงๆๆ ติงๆๆ ตึงๆ...
การบรรเลงยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง
--------------------------------------
[1] ร้านโจร หรือ ร้านเถื่อน (เฮยเตี้ยน: 黑店) มีสองความหมาย ความหมายแรก คือ กิจการที่เปิดขึ้นมาบังหน้า เพื่อฆ่าหรือปล้นผู้มาใช้บริการ ส่วนความหมายที่สอง ก็คือ ร้านค้าที่ไม่มีใบประกอบธุรกิจ ซึ่งในบริบทนี้ คุณชายอานใช้ในความหมายแรก
[2] จงชิ่ง (钟磬) เป็ระฆังราวจีนโบราณ แยกเป็ จง (钟) ระฆังโลหะ และ ชิ่ง (磬) ระฆังหิน
ระฆังเหล่านี้จะไม่มีลูกตุ้ม และต้องตีเพื่อให้เกิดเสียงตัวโน้ต โดยระฆังราวนั้นจะมีหลากหลายขนาด ซึ่งจะประกอบด้วยจำนวนระฆังที่แตกต่างกันไป
การบรรเลงระฆังราวต้องใช้ผู้บรรเลง 3 คนขึ้นไป ใช้ไม้ตีรูปค้อนตีระฆังเสียงสูงและเสียงกลาง ส่วนแถวล่างเสียงต่ำ จะใช้ไม้ตีรูปกระบอง
จากการวิจัยของนักดนตรีจีนปัจจุบัน พบว่าระฆังแต่ละใบ สามารถตีเป็เสียงได้สองเสียง แต่ต้องตีให้ถูกจุดที่กำหนดแน่นอน
ระฆังราวในสมัยโบราณใช้เป็เครื่องดนตรีในราชสำนักเพื่อบรรเลงในการออกศึก พระราชพิธีบวงสรวง การออกท้องพระโรงเท่านั้น แต่ไม่เป็ที่นิยมของประชาชนทั่วไป เนื่องจากมีขนาดใหญ่ และต้องใช้ทุนทรัพย์มหาศาลในการสร้าง จึงเป็เครื่องดนตรีชั้นสูงของชนชั้นศักดินา ใช้เป็เครื่องแสดงฐานันดร ศักดิ์ศรี และเกียรติยศของผู้เป็เ้าของ
[3] ย่านเหว่ยฝู (燕尾服) หมายถึง ชุดทักซิโด้
[4] แคนอน หรือ บทเพลงล้อไล่ เป็บทเพลงของพัคเค็ลเบิล ซึ่งถือว่าเป็เพลงในตำนานของนักเปียโนเลยก็ว่าได้
เพลงแคนอน (Canon หรือชื่อเก่าก็คือ Kanon) เป็ผลงานการประพันธ์ของโยฮัน พัคเค็ลเบิล นักประพันธ์และนักออร์แกนชาวเยอรมันในยุคบาโรค
แคนอนถือเป็ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้เขาเป็อย่างมาก ต้นฉบับนั้น พัคเค็ลเบิลประพันธ์ขึ้นมา เพื่อการบรรเลงโดยเครื่องดนตรี 4 ชิ้นเท่านั้น คือไวโอลิน 3 ตัว และคอนทินูโอ (สันนิษฐานว่า คือ เบสในปัจจุบัน) อีก 1 ตัว ไม่ได้เป็เพลงสำหรับเปียโนแต่อย่างใด
แต่ในปัจจุบัน นักดนตรีชอบเอามาเล่นกับเปียโน และที่สำคัญในต้นฉบับนั้น เพลงนี้มีทำนองซับซ้อนเกินกว่าที่จะเล่นด้วยเปียโนเพียงคนเดียวได้ ภายหลังจึงมีคนเอามาเรียบเรียง และดัดแปลงใหม่ให้เล่นกับ เปียโนได้
คำว่า ‘แคนอน’ ในทางดนตรี จะหมายถึงการเล่นวนซ้ำไปมา จึงมีชื่ออีกอย่างว่า ‘บทเพลงล้อไล่’