ได้ยินโม่เสวี่ยถงตอกกลับเช่นนี้ สีหน้าของโหยวเยวี่ยเฉิงพลันเขียวคล้ำ สะบัดแขนเสื้ออย่างดูิ่ “สมแล้วที่มาจากเมืองอวิ๋นเฉิง ไร้มารยาท ด้อยการอบรมสั่งสอน”
สิ่งที่โม่เสวี่ยถงทนฟังไม่ได้เป็ที่สุดคือการพาดพิงถึงมารดาของตนเอง โหยวเยวี่ยเฉิงเสียดสีนางชัดเจนว่าไม่มีมารดาอบรมสั่งสอน ดวงตาคู่งามหรี่ลงชำเลืองมองอีกฝ่ายด้วยหางตา นางหมุนตัวอย่างงามสง่าแล้วเดินไปจับราวกั้นลำเรือไว้ ร่างอรชรยืนอย่างมั่นคง สีหน้าระบายยิ้มสุขุมก่อนหันกลับมากล่าววาจายอกย้อน
“ซื่อจื่อคงรู้สึกว่าพี่หญิงใหญ่ได้รับการอบรมมาอย่างดีที่สุดสินะ หากท่านชื่นชมสตรีเยี่ยงพี่หญิงใหญ่ถึงเพียงนั้น ไฉนจึงไม่มาสู่ขอเล่า จะได้เป็การช่วยเหลือดับไฟร้อนให้นางได้พอดี ขอเพียงท่านช่วยได้ อี๋เหนียงซึ่งเป็ผู้อบรมสั่งสอนนางมาย่อมรู้สึกขอบคุณซื่อจื่อมากเป็แน่ ถึงเวลาท่านก็จะได้มีโอกาสรู้ว่าการอบรมสั่งสอนที่พี่หญิงใหญ่ได้รับนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร โอ๊ะ! ข้าพูดผิดไป หากซื่อจื่อแต่งพี่หญิงใหญ่จริงๆ ก็ไม่ถือว่าเป็คนห่างไกลกับฟางอี๋เหนียงอีกแล้ว ทีนี้ก็สามารถปรึกษาเื่การอบรมสั่งสอนได้โดยตรงเลย”
แม้ว่าอนุภรรยาจะมีฐานะสูงกว่าสาวใช้ข้างห้องอยู่หลายส่วน แต่สำหรับครอบครัวที่มีอำนาจบารมีอย่างแท้จริง ก็เป็เพียงของเล่นชิ้นหนึ่ง ใครจะรู้สึกเล่าว่าอี๋เหนียงที่ไม่อาจเชิดหน้าชูตาจะอบรมสั่งสอนคนคนหนึ่งให้เป็ผู้เป็คนได้ ทั้งยังให้โหยวเยวี่ยเฉิงไปพูดคุยเกี่ยวกับเื่เ่าั้กับอี๋เหนียงอีก นี่คือการตีแสกหน้าโหยวเยวี่ยเฉิงโดยตรง ใบหน้าของเขาแดงก่ำเดือดระอุในชั่วพริบตา
โหยวเยวี่ยเฉิงหรือจะเคยถูกสตรีิ่เกียรติ ยามนี้จึงคับแค้นจนอกแทบะเิ กัดฟันหันมาจ้องโม่เสวี่ยถงเขม็ง แล้วสาวเท้าก้าวเข้ามาอย่างคุกคามราวกับจะบดขยี้โม่เสวี่ยถงให้ติดกับเสาไม้ “โม่เสวี่ยถง อย่าคิดว่าข้าทำอะไรเ้าไม่ได้นะ ปากคอเราะรายไม่มีที่เปรียบ อยู่ที่นี่หากข้าจะบีบเ้าให้ตายก็ง่ายยิ่งกว่าฆ่ามดปลวกตัวหนึ่ง”
สีหน้าของเขาเขียวคล้ำ ริมฝีปากสั่นด้วยโทสะ หากไม่พยายามอดทนควบคุมตนเองไว้ป่านนี้คงบีบคอโม่เสวี่ยถงตายไปแล้ว เขาเป็ถึงิกั๋วกงซื่อจื่อไหนเลยจะเคยถูกใครหยามเกียรติถึงเพียงนี้
“เอ๋... ซื่อจื่อมิได้ชอบพี่สาวของข้าหรอกหรือ เช่นนั้นแล้วไฉนจึงต้องนัดพบกับนางดึกๆ ดื่นๆ ด้วยเล่า” โม่เสวี่ยถงทำราวกับไม่รู้สึกถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา เพียงใช้ดวงตาใสแจ๋วเบิกกว้างมองเขาอย่างฉงน แม้ว่าเท้าจะขยับถอยไปด้านข้างสองก้าวเพื่อหลบเลี่ยงจากการข่มขู่นั้นก็ตาม แต่กลับไม่ยอมถอนคำพูด คนบางคนต้องขยี้ตรงกลางใจ ตนเองยิ่งหลบเลี่ยงก็เป็การกระตุ้นให้อีกฝ่ายยิ่งเห่อเหิมวางอำนาจ นึกว่าผู้อื่นต้องกลัวเขาไปหมดหรืออย่างไร
โหยวเยวี่ยเฉิงเป็พวกเสแสร้งมิใช่หรือ เช่นนั้นก็แค่กระชากหน้ากากของบุรุษจอมปลอมออกเสีย ต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้นางไม่เชื่อว่าเขาจะกล้าลงมือ ิกั๋วกงมีอิทธิพลแข็งแกร่ง แต่นี่คือเมืองหลวง ลูกหลานผู้มีอำนาจบารมีกับราชวงศ์ก็ไม่แน่ว่าจะมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน บางทีจักรพรรดิอาจทรงอยากทอดพระเนตรเื่งามหน้าของพวกเขาที่เกิดในวังหลวงก็เป็ได้
แอบนัดพบกับโม่เสวี่ยิ่? โหยวเยวี่ยเฉิงนิ่งอึ้งตะลึงค้างโดยพลัน ดวงตาก่ำโลหิตด้วยความโกรธเกรี้ยวพลันสว่างในบัดดล ความลับระหว่างเขากับโม่เสวี่ยิ่ไม่มีบุคคลที่สามรับรู้ แม้แต่หลี่โย่วโม่ก็คาดไม่ถึงว่าตอนนั้นผู้ที่ตนเองนัดหมายไว้คือโม่เสวี่ยิ่ ยามนี้รังสีสังหารของชายหนุ่มจึงแผดเข้มฟุ้งกำจายจากก้นบึ้งดวงตา
หากให้คนรู้ ชื่อเสียงของเขาจะเหลืออะไร
“เ้าอยากตายนักหรือ” เขากดเสียงต่ำ สาดความเกรี้ยวกราดอันน่าสะพรึงลอดไรฟัน
“ซื่อจื่อไม่ต้องหวาดระแวงข้าหรอก เื่นี้พี่หญิงใหญ่เป็คนบอกเอง พวกเราพี่น้องไม่เคยมีความลับต่อกัน ท่านก็ไม่จำเป็ต้องฆ่าคนปิดปากด้วยการผลักข้าลงน้ำด้วย จากตรงนี้ถึงผิวน้ำก็ยังต้องเดินไปอีกหลาย่ก้าว หรือถึงแม้ข้าจะถูกผลักตกลงไปพี่ชายเซวียนก็ช่วยขึ้นมาได้อยู่ดี แต่หากท่านไม่้าหน้าตาของจวนิกั๋วกงแล้วก็เอื้อมมือมาผลักเลยสิ อย่างมากข้าก็แค่ตกลงไปในทะเลสาบเท่านั้นเอง”
วงพักตร์งามพิสุทธิ์สงบนิ่งฉายแววดื้อดึงไม่ยอมคน เผชิญหน้าอย่างไม่สะทกสะท้านต่อรังสีสังหารในดวงตาของอีกฝ่าย ทำราวกับไม่เห็นการคุกคามของเขาอยู่ในสายตา การแสดงออกถึงการหยามิ่ของนางเยี่ยงนี้ ยิ่งทำให้โหยวเยวี่ยเฉิงซึ่งปรกติมักสุภาพอ่อนโยนอยู่เป็นิจหน้าดำหน้าแดง คิดอยากบดขยี้สตรีเบื้องหน้าให้แหลกเป็ผุยผง นางกล้าพูดถึงความเป็ความตายราวกับไม่รู้สึกรู้สมได้อย่างไร
“พี่ใหญ่ รีบมาดูเร็ว นั่นใช่เรือสำราญของเซวียนอ๋องหรือเปล่า สวยจังเลย” เสียงหัวเราะอย่างตื่นเต้นระคนประหลาดใจของโหยวเยวี่ยเอ๋อดังมาจากอีกด้านหนึ่ง
“น้องหญิงถง มานี่เร็ว คุยอะไรกับซื่อจื่ออยู่หรือถึงได้ดุเดือดขนาดนั้น ระวังอย่าให้ตกลงไปเชียวนะ มานี่สิ... มาชมเรือสำราญตรงนี้ดีกว่า” เสียงของลั่วิจูตามมาในจังหวะเหมาะเจาะ
ฉินอวี้เซวียนเห็นนางยังยืนคุยกับโหยวเยวี่ยเฉิงอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับ พลันรู้สึกหงุดหงิด จึงะโลงจากราวกั้น แล้วหมุนตัวหันมาเอ่ยวาจาดังขึ้นโดยมิได้ตั้งใจ “น้องหญิงถงกับโหยวซื่อจื่อคุ้นเคยกันั้แ่เมื่อไร ถึงได้คุยกันออกรสขนาดนี้” จากนั้นก็ทำท่าจะเดินมา
โหยวเยวี่ยเฉิงค่อยๆ เก็บงำแววตาขุ่นเคืองลง แต่ยังคงยืนเงียบขวางทางอยู่ ไม่ปล่อยนางไป
“ซื่อจื่อ เื่ระหว่างท่านกับพี่หญิงใหญ่ข้าไม่มีใจอยากรู้ และไม่คิดจะแพร่งพรายออกไปด้วย แต่ขอให้ซื่อจื่อโปรดจำไว้ว่า หวางหมั่งยังไม่ถึงเวลาฏ โจวกงยังไม่ถึงที่ตาย[1] เื่บางอย่าง สิ่งที่มองเห็นก็ไม่แน่ว่าจะเป็จริงเสมอไป”
โม่เสวี่ยถงยิ้มสดใสเหมือนหนูน้อยที่เป็เด็กดีเชื่อฟัง ทว่าวาจาที่หลุดออกจากริมฝีปากกลับเ็าห่างเหิน นางยกชายกระโปรงเล็กน้อยก่อนจับราวกั้น เบี่ยงตัวหลบจากโหยวเยวี่ยเฉิงแล้วเดินไปอีกด้านหนึ่ง
เื่ของบุรุษผู้นี้กับโม่เสวี่ยิ่นางไม่สนใจจะยุ่งเกี่ยว แต่หากมายั่วยุให้เสียอารมณ์ นางก็หาใช่พลับนุ่มให้ใครบีบง่ายๆ เหมือนกัน
ฉินอวี้เซวียนเดินมาถึงพอดี ดวงตาฉายแววประหลาดใจชั่วขณะก่อนกลับมาเป็ปรกติ สีหน้าของโหยวเยวี่ยเฉิงยังคงเ็า แต่หากสังเกตให้ดีจะพบว่าราศีอันโดดเด่นสง่างามดูหม่นแสงลงไป
“น้องหญิงถง เหตุใดจึงคุยนานนักเล่า พี่เรียกเ้าตั้งนานไม่ได้ยินหรือไร” ฉินอี้เซวียนเสียงดุคล้ายตำหนิอยู่กลายๆ
“กำลังคุยถึงเื่บังเอิญที่เจอมาหน้าประตูเมืองเ้าค่ะ ตอนนั้นซื่อจื่อก็รู้เห็นเหตุการณ์ด้วย” โม่เสวี่ยถงยิ้มกล่าวอย่างนุ่มนวล
“อ๋อ... เื่นั้นเองหรือ แค่มองก็ดูออกว่ามีคนจงใจใส่ร้ายเ้า รู้ทั้งเวลาและเส้นทางที่เ้าใช้กลับบ้านชัดเจนขนาดนั้นจะเป็เหตุบังเอิญไปได้อย่างไร คงต้องบอกท่านลุงโม่ให้จัดการภายในจวนให้ดีๆ แล้วล่ะ” เมื่อได้ยินว่าโม่เสวี่ยถงกับโหยวเยวี่ยเฉิงคุยเื่เป็งานเป็การสำคัญ สีหน้าบึ้งตึงของฉินอวี้เซวียนก็ผ่อนคลายลง
“เื่มันผ่านไปแล้ว อีกอย่างข้าก็ไม่ได้าเ็อะไรสักหน่อย กลับเป็ภาระให้ญาติผู้พี่ทุกท่านต้องเป็ห่วงเสียอีก” โม่เสวี่ยถงหัวเราะแหะๆ แล้วแลบลิ้นอย่างซุกซน ความรู้สึกตึงเครียดที่ถูกโหยวเยวี่ยเฉิงข่มขู่ค่อยๆ เลือนหายไป ดวงตาสุกใสกระจ่างพร่างพราย
พวกเขาสองคนเดินกันไปก็คุยหัวเราะกันไป โหยวเยวี่ยเฉิงซึ่งอยู่ด้านหลังแววตาดำทะมึนดุจพยับเมฆปกคลุม
บนหัวเรือสำราญชั้นสูงสุด ร่างสูงใหญ่ของเฟิงเจวี๋ยหร่านนอนเอนกายอยู่บนตั่งนุ่ม เนตรหงส์คมกริบจับจ้องโม่เสวี่ยถงกับโหยวเยวี่ยเฉิงผ่านหน้าต่างกระจก พลางยกแก้วสุราจากดินแดนตะวันตกแตะริมฝีปาก สุราสีก่ำโลหิตที่เหลืออยู่ครึ่งแก้วถูกกระดกเข้าปากจนหยดสุดท้าย
“บอกโย่วโม่ให้เพลาๆ การไปเที่ยวหอนางโลมลงหน่อย แล้วตรวจสอบโหยวเยวี่ยเฉิงให้ละเอียด”
“พ่ะย่ะค่ะ” เฟิงเยวี่ยที่อยู่ด้านหลังรับคำสั่งแล้วหมุนตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว สองวันมานี้เป็วันอันน่าเศร้าใจยิ่งของเขา ไม่รู้ว่าคำพูดประโยคไหนที่ไประคายเคืองพระราชหฤทัยของท่านอ๋อง จึงทรงกลั่นแกล้งใช้งานให้ไปนู่นไปนี่จนหัวหมุนไม่ได้หยุดพัก บางครั้งก็ยังใช้พระเนตรที่งดงามราวกับปีศาจจ้องเขม็งมาที่ตนเอง จนรู้สึกเหมือนถูกเผาจนมอดไหม้
ความกดดันช่างมากมายนัก เขาหยุดยืนหน้าห้องแล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่สดใสกว่าทุกวัน เพื่อชีวิตที่ปลอดภัย เขาควรอยู่ให้ห่างท่านอ๋องไว้ถูกต้องแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน่ที่กำลังกริ้วโดยไม่มีสาเหตุแบบนี้ เขายอมไปสังหารคน ดีกว่ามายืนให้พระองค์จ้องหน้าเฉยๆ แบบนั้น เขาทำอะไรผิดหรือ พระองค์ถึงต้องทรงลงโทษด้วยวิธีอันทรมานใจเช่นนี้ คิดไม่ออกจริงๆ
แต่เมื่อเห็นสายพระเนตรจับอยู่ที่เงาร่างอรชรของสตรีบนเรือสำราญเล็กลำนั้น ในหัวพลันเกิดแสงสว่างวาบ วันนั้นดูเหมือนเขาจะเอ่ยถึงคุณหนูสามสกุลโม่ คงจะไม่ใช่เพราะว่า... หางตาพลันมองทะลุบานกระจกออกไป สายตาของเ้านายที่มองไปยังคุณหนูสามสกุลโม่ผู้นั้นฉายแววลึกล้ำ... เอ่อ... คงไม่ใช่ว่า...
“เฟิงเยวี่ย หรือเ้ายังได้ยินไม่ชัดเจนอีก” น้ำเสียงเฉื่อยชาของเฟิงเจวี๋ยหร่านลอยมาจากในห้อง น้ำเสียงทุ้มนุ่มเปี่ยมเสน่ห์ชวนให้หัวใจมึนเมา
เฟิงเยวี่ยสะดุ้งเฮือก “ปะ... เปล่าพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยเข้าใจชัดเจนแล้ว” เฟิงเยวี่ยะโจากชั้นสามของเรือสำราญลงไปที่ชั้นสองโดยไม่หันกลับไปมองอีกแม้แต่แวบเดียว
เรือสำราญหรูหราขนาดใหญ่โตมโหฬารมีตราสัญลักษณ์อักษร ‘เซวียน’ เด่นเป็สง่า เซวียนอ๋องเป็พระโอรสคนโปรดของจักรพรรดิจงเหวินตี้ ปรกติก็ไม่มีงานการทำเป็หลักแหล่ง วันๆ เอาแต่สุขสำราญอยู่กับเหล่าคณิกาที่ร่ายรำขับกล่อมอยู่ในจวน แม้จะกล่าวว่าถูกกักบริเวณอยู่ แต่แท้จริงแล้วก็มิได้แตกต่างจากยามไม่ถูกกักบริเวณสักเท่าไร จักรพรรดิผู้ประทับอยู่ในวังลึกทรงก็ทรงหลับพระเนตรข้างหนึ่ง ลืมพระเนตรข้างหนึ่ง จึงไม่ค่อยมีใครไปรายงานสิ่งใดให้ทรงทราบ
แต่ทุกคนก็อยากเห็นเขาใช้ชีวิตเยี่ยงนี้มิใช่หรือ เซวียนอ๋องที่ไม่เอาการเอางานย่อมดีกว่าเซวียนอ๋องที่ทะเยอทะยาน หากเขามีพร์ความสามารถเพียบพร้อมขึ้นมาจริงๆ จักรพรรดิก็อาจมอบราชบัลลังก์นี้ให้เขาก็เป็ได้
เพื่อเป็การเอาอกเอาใจเฟิงเจวี๋ยหร่าน และประจบประแจงฝ่าา ไม่เพียงแต่ฮองเฮาที่มีพระมหากรุณาธิคุณส่งของขวัญมาให้บ่อยๆ เท่านั้น ทั้งเยี่ยนอ๋องและฉู่อ๋อง เมื่อมีอาหารชั้นเลิศหรือได้ของล้ำค่ามาก็มักจะส่งไปที่จวนของเขาก่อนเสมอ แม้แต่องค์หญิงห้าผู้หยิ่งผยองไม่เคยเห็นหัวใคร ยามพบกันยังต้องหลีกทางให้เขา
เรือสำราญลำนี้มีเอกลักษณ์โดดเด่นและมีเพียงลำเดียวในวังหลวง ฮองเฮาทรงโปรดให้ต่อขึ้นและพระราชทานให้เซวียนอ๋องโดยเฉพาะ แม้แต่องค์หญิงห้าพระธิดาแท้ๆ รบเร้าอยากได้ก็ยังถูกปฏิเสธ เห็นได้ชัดว่าทรงโปรดปรานเซวียนอ๋องผู้นี้เพียงใด
หนุ่มสาวในเรือสำราญเล็กต่างยืนพิงราวกั้นชมทิวทัศน์ทะเลสาบพลางพูดคุยหยอกล้อกัน ช่างเป็ภาพที่สวยงาม ไม่มีใครพูดถึงเื่ที่สลับซับซ้อนไปกว่านั้น แต่ในอุทยานอีกด้านหนึ่ง เหล่าขุนนางขั้นสามต่างรู้สึกได้ถึงบรรยากาศทางการเมือง าการ่ชิงตำแหน่งรัชทายาทเริ่มปะทุ เพื่อราชบัลลังก์ไม่ใครก็ใครต้องตายกันไปข้าง ไร้ความปรานีอย่างถึงที่สุด ผู้ใดเผลอไผลเข้าไปเกี่ยวข้องก็อาจต้องโทษปะาเก้าชั่วโคตร
ทางที่ดีควรปิดปากให้เงียบที่สุด
โหยวเยวี่ยเฉิงเดินตามอยู่ด้านหลัง ไม่พูดไม่จากับใครทั้งสิ้น ดีที่ปรกติก็เ็าอยู่เป็นิจ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นว่าดวงตานิ่งลึกของเขามักจับที่โม่เสวี่ยถงอยู่บ่อยครั้ง เมื่อมาถึงเกาะด้านขวาเหล่าคุณหนูต่างพากันขึ้นฝั่ง พวกนางเดินกันไปพูดคุยหัวเราะกันไป หลังจากนั้นเรือสำราญจึงค่อยเคลื่อนไปยังเกาะด้านซ้าย
“นี่น่ะหรือคุณหนูสามบ้านเ้า ที่ว่ายามอยู่นอกบ้านชอบแสร้งทำเป็อ่อนแอ แต่พออยู่ในบ้านก็วางท่าโอหังหยาบคายไร้มารยาท” สตรีผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในศาลาด้านซ้าย เอ่ยถามพลางชี้ไปที่โม่เสวี่ยถง
“น้องหญิงสามนิสัยใจคอดีอยู่ เพียงแต่เมื่อก่อนนางอยู่เมืองอวิ๋นเฉิงคนเดียว...” โม่เสวี่ยิ่ยกยิ้มเล็กน้อย แม้จะดูเหมือนช่วยแก้ตัวแทนน้องสาว แต่ก็ยังมีเสียงหัวเราะเยาะจากคุณหนูสองสามคนในศาลาอยู่ดี เพราะมิได้เป็การแก้ไขความจริงที่ว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดี
เพราะคำพูดที่ดูเหมือนแก้ตัวให้ประโยคนี้ กลับทำให้ยิ่งมีคนดูแคลนโม่เสวี่ยถงจนไม่มีผู้ใดสนใจไยดี หันมารุมล้อมแต่โม่เสวี่ยิ่ และไม่ว่าใครจะเอ่ยถึงน้องสาวในทางเสียหาย นางก็จะแก้ตัวให้ด้วยวาจานุ่มนวลเสมอ ทำตัวเหมือนพี่สาวแสนดีที่ปกป้องน้องสาว
ดีที่พูดคุยไปได้เพียงชั่วครู่งานเลี้ยงก็เริ่ม ทุกคนต่างเข้าประจำที่นั่งของตนเองตามลำดับขุนนางของบิดา หากอยู่ในระดับขั้นเดียวกันก็เรียงตามลำดับขีดการเขียนชื่อ โม่ฮว่าเหวินเป็ขุนนางขั้นสามนับว่าเป็ขุนนางขั้นต่ำสุดในที่นี้ กอปรกับจำนวนขีดในตัวอักษรชื่อสกุลของเขาก็มาก ที่นั่งของโม่เสวี่ยถงและโม่เสวี่ยิ่จึงอยู่ข้างหลังสุด แต่โชคดีที่โคมไฟสว่างเจิดจ้า แม้จะอยู่ไกลก็ยังเห็นนายหญิงแห่งวังหลังเ่าั้ได้ชัดเจน
………………………………………………………………………………………………………....
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] หวางหมั่งยังไม่ถึงเวลาฏ โจวกงยังไม่ถึงที่ตาย อุปมาว่า เหตุการณ์บางอย่างต้องมองระยะยาว ไม่อาจด่วนตัดสินใจ
หวางหมั่งวางตัวเป็ขุนนางบัณฑิตผู้อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง แต่สุดท้ายก็ก่อการกบฎตั้งตนขึ้นเป็จักรพรรดิซินเกาจู่ ปกครองบ้านเมืองอย่างเหี้ยมโหด
โจวกงเป็พระอนุชาของพระเ้าโจวอู่ หลังพระเชษฐาสิ้นพระชนม์ก็ขึ้นเป็ผู้สำเร็จราชการแทนโจวเฉิงพระโอรสของพระเชษฐาที่ยังทรงพระเยาว์ มีข่าวลือเสียหายว่าเขาคิดก่อการกบฎ เขาต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และช่วยหลานชายปราบปรามสามฏ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ และในที่สุดเขาก็คืนอำนาจให้พระเ้าโจวเฉิงผู้เป็หลาน แม้ว่าท้ายที่สุดจะไม่ได้ขึ้นเป็กษัตริย์แต่ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็มหาบุรุษผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรม