องค์หญิงใหญ่ขยับเข้ามาใกล้พลางมองนางด้วยแววตาเย็นะเื “เ้าคิดออกแล้วหรือยัง?”
“คิดออกแล้วเพคะ!” ฮวารั่วซีตั้งสติให้สงบ นางยกยิ้มมุมปากพลางเอ่ยตอบอย่างใจเย็น
องค์หญิงใหญ่คิดว่านางคงจะเล่นตุกติก ทว่ากลับเห็นความมุ่งมั่นบนใบหน้าของนาง จึงอดที่จะเอ่ยถามอย่างสงสัยไม่ได้ “บอกมาสิ”
ฮวารั่วซีมองหน้านางก่อนจะค่อยๆ เอ่ยออกมาสามคำ “จวินอู๋เสีย”
จวินอู๋เสีย
เมื่อวานนี้ในงานเลี้ยงวันประสูติไทเฮา ทันทีที่เขาเดินเข้ามาจากระยะไกล ท้องฟ้าคล้ายจะถูกบดบังจากความหล่อเหลาของเขา
เดิมทีฮวารั่วซีคิดว่าซ่งอี้เฉินเป็บุรุษที่หล่อเหลาที่สุดเท่าที่นางเคยพบมา ทว่านับั้แ่จวินอู๋เสียปรากฏกาย ซ่งอี้เฉินกลับกลายเป็ธรรมดาไปเลย
ในเวลานั้น ฮวารั่วซียังได้ยินเสียงพูดในใจพร้อมกับทอดถอนใจ น่าเสียดายที่เขาเป็ตัวประกัน
ทว่าในขณะนี้นางรู้สึกว่าสถานะตัวประกันนั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว
“จวินอู๋เสียหรือ?” องค์หญิงใหญ่ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน จึงถามกลับอย่างรวดเร็ว “อยู่ที่ใด?”
ฮวารั่วซีพยักหน้าและตอบว่า “เขาเป็ตัวประกันของราชวงศ์ใต้ ปัจจุบันอาศัยอยู่ในวังหลวงเพคะ หม่อมฉันเห็นเขาในงานเลี้ยงไทเฮาเมื่อวานเพคะ เป็บุรุษที่หล่อเหลามีเสน่ห์มากเพคะ?”
องค์หญิงใหญ่รู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเกี่ยวกับเื่นี้ ครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ข้าเคยได้ยินมาเช่นกันว่าเกิดฏในราชวงศ์ใต้เมื่อแปดปีก่อน หลังจากนั้นถูกฮองเฮาอวิ๋นกำราบและส่งรัชทายาทมาเป็ตัวประกันเพื่อสงบศึก ตัวประกันผู้นั้นยังไม่กลับไปอีกหรือ?”
ฮวารั่วซีส่ายศีรษะและกล่าวว่า “ราชวงศ์ใต้เวลานี้มั่นคงแล้ว คล้ายท่านอ๋องมีความคิดที่จะแต่งตั้งรัชทายาทองค์ใหม่ ใน่หลายปีที่ผ่านมาก็ได้สอบถามข้อมูลกลับมาเป็ครั้งคราว แต่ทว่ากลับไม่ได้ดำเนินการอื่นใดต่อเพคะ”
องค์หญิงใหญ่เข้าใจและยกยิ้มมุมปากเย้ยหยัน “ที่แท้ก็เป็คนที่ถูกทอดทิ้ง”
ฮวารั่วซีก้มศีรษะหลุบตาลงต่ำและไม่ตอบสิ่งใด ต่อจากนี้ไม่ใช่เื่ที่นางสามารถตัดสินใจได้
องค์หญิงใหญ่หันกลับมามองนางอีกครั้งและถามว่า “ซูเฟย เ้าดูแลตำหนักหลังมาหลายปีแล้วใช่หรือไม่?”
ฮวารั่วซีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบไปว่า “หลายปีแล้วเพคะ ทว่ายามนี้เต๋อเฟยเป็ผู้ดูแลเพคะ”
“งานเลี้ยงร้อยบุปผาในวังหลวงไม่ได้จัดขึ้นมาหลายปีแล้วกระมัง ยามนี้เป็ฤดูใบไม้ผลิพอดี สามารถจัดงานได้ เชื้อเชิญสตรีในเมืองหลวงมาที่วังหลวงเพื่อมาชมงานสักหน่อย จะได้ให้พวกนางกลับไปพูดโอ้อวดบ้าง” องค์หญิงใหญ่หยุดชั่วครู่ จู่ๆ กลับเอ่ยถามว่า “เ้าคิดเห็นอย่างไร?”
ฮวารั่วซีไม่กล้าตอบรับคำ นางเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดขององค์หญิงใหญ่ เพียงแต่นางไม่สามารถตอบรับคำได้
นางเป็คนของไทเฮา เมื่อคืนนี้ไทเฮาสัญญากับนางว่านางจะได้เป็มากกว่าพระสนมซูเฟย
ความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงใหญ่กับไทเฮานั้นนางเข้าใจเป็อย่างดี หากนางรับทำงานนี้จริงๆ เกรงว่าอาจจะทำให้ไทเฮาทรงเกิดความสงสัยและไม่พอพระทัยเป็แน่
องค์หญิงใหญ่เห็นนางนิ่งเงียบจึงหัวเราะเยาะแล้วกล่าวว่า “ขี้ขลาดนัก ทำไมหรือ ดูถูกข้าหรือ?”
ฮวารั่วซีความคิดว่องไว ในที่สุดนางพลันตัดสินใจและเอ่ยพลางแย้มยิ้ม “หม่อมฉันคิดว่างานเลี้ยงร้อยบุปผานั้นดียิ่งนัก คนภายนอกสามารถชื่นชมทิวทัศน์ที่สวยงามในวังหลวงได้ เป็การแสดงความเมตตาของฝ่าาเพคะ”
องค์หญิงใหญ่พิงพนักเก้าอี้พลางเอ่ยอย่างแช่มช้า “ตำหนักรับรองขององค์หญิงใหญ่มีคนไม่มาก เ้าก็มาช่วยจัดการให้ข้าอีกแรงเถิด”
ฮวารั่วซีโน้มตัว รับจัดการเื่นี้
องค์หญิงใหญ่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับซางจือิที่ยืนอยู่ด้านข้างว่า “หมอหลวงซาง สั่งเทียบยาบำรุงพลังชี่ให้ข้าสักหน่อย อีกไม่กี่วันข้าคงต้องเหนื่อยพอสมควร”
ซางจือิตอบรับเสียงต่ำ สายตาของเขาไม่เคยเหลือบมองฮวารั่วซีเลยสักนิด
......
ตกกลางคืน พระราชตำหนักเฟิ่งชัยสว่างไสว
เหยียนอู๋อวี้ได้เลื่อนตำแหน่งเป็ฉายเหริน ทุกคนในตำหนักต่างพากันเฉลิมฉลอง ส่วนนางเองยังต้องแต่งตัวเพื่อน้อมรับเสด็จฝ่าา
เมื่อซ่งอี้เฉินก้าวเข้ามาในตำหนักเฟิ่งชัย ทุกอย่างก็เตรียมพร้อมแล้ว เหยียนอู๋อวี้เองก็ยังอยู่
วันนี้เขาอารมณ์ดีเป็พิเศษ จึงรับสั่งให้ทุกคนเงียบและค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องของเหยียนอู๋อวี้ ทันทีที่เขาเข้าไปข้างใน เขาเห็นนางถือพู่กันกำลังวาดรูปอยู่บนโต๊ะ สีหน้านางจริงจัง ครู่หนึ่งนางเงยหน้าขึ้น คล้ายจะพบกับปัญหา ฟันขาวๆ กัดริมฝีปากสีแดง ช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก
เมื่อเขามองเข้าไปใกล้ๆ เขาก็รู้ว่าสิ่งที่นางกำลังวาดอยู่นั้นคือรูปสร้อยข้อมือ
เหยียนอู๋อวี้สังเกตเห็นเขาเข้ามาใกล้ ทว่านางไม่ได้ยืนขึ้นถวายบังคม นางเพียงแค่พูดด้วยสีหน้าโศกเศร้า “ฝ่าา หม่อมฉันคิดไม่ออกเพคะ!”
“อวี้เอ๋อร์ประสบปัญหาอันใดหรือ?” ดวงตาของซ่งอี้เฉินแลดูลึกลับ มองไม่เห็นอารมณ์ใด
“ฝ่าาช่วยอวี้เอ๋อร์ไม่ได้แน่เพคะ” เหยียนอู๋อวี้โยนพู่กันแล้ววาดลวดลายกลางอากาศ
“อวี้เอ๋อร์วาดรูปนี้เพื่อการใดหรือ?” ซ่งอี้เฉินถาม
“หม่อมฉันขอทูลฝ่าาตามตรง วันนี้หม่อมฉันถูกใส่ร้ายมิใช่หรือ? หม่อมฉันไม่รู้ว่าผู้ใดขโมยไข่มุกนั้นไป แล้วยังนำไปร้อยเป็สร้อยข้อมืออีก ร้อยด้วยไข่มุกดูสวยงามมากเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่อยากจะวาดลวดลายออกมาและลองทำดูสักเส้นเพคะ”
ซ่งอี้เฉินมองไปที่ภาพวาดพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “นี่คือลวดลายนั้นหรือ?”
รูปแบบของสร้อยข้อมือนี้คล้ายกับสัญลักษณ์แทนความรักที่ฮวารั่วซีมอบให้เขาในยามนั้นมาก
ยามนั้นเขาเห็นนางถักสร้อยข้อมือให้เขาเองกับมือ เวลานั้นเขารู้สึกประทับใจอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นลวดลายสร้อยข้อมือนี้แล้ว ซ่งอี้เฉินรู้สึกคล้ายถูกเหยียดหยาม
ที่แท้คนที่ใส่ร้ายเหยียนอู๋อวี้ก็คือฮวารั่วซี
ในเวลานั้น เขาชื่นชอบในความงดงามของฮวารั่วซี ชื่นชอบความใสซื่อในจิตใจนาง ความอ่อนโยนและความมีน้ำใจของนาง ด้วยเหตุนี้ทำให้เขารังเกียจรูปโฉมอัปลักษณ์และอุปนิสัยหยาบกระด้างของอวิ๋นอู๋เหยียน นอกจากนางจะชอบร่ายรำฝึกยุทธ์ ซ้ำยังชอบขี่ม้าประลองยุทธ์อีกด้วย
บุรุษผู้ใดบ้างที่ไม่ชอบหญิงงามมีมารยาท กลับไปชอบสตรีหยาบกระด้างหรือ?
“ใช่เพคะ ทว่าหม่อมฉันโง่เขลา จำได้เพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งนึกไม่ออกจริงๆ เพคะ” เหยียนอู๋อวี้ตบศีรษะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก
เหยียนอู๋อวี้เอ่ยเช่นนี้ ทว่าเมื่อนางดูจากสายตาของซ่งอี้เฉิน นางรู้ดีว่านางทำสำเร็จแล้ว
ถูกต้อง นางใช้ทัศนคติที่ ‘โง่เขลาอันใดไม่รู้’ เพื่อเปิดเผยเื่ที่ฮวารั่วซีใส่ร้ายนางให้ซ่งอี้เฉินรู้โดยที่เขา ‘ไม่รู้ตัว’
ในอดีต กลยุทธ์ของนางเหล่านี้ถูกใช้เฉพาะในสนามรบเท่านั้น กลอุบายของนางจะใช้กับศัตรูที่พยายามจะเข้ามาทำลายแคว้นของนาง
ยามนี้นางใช้กลยุทธ์ทั้งหมดนี้วางแผนในตำหนักหลัง และจะใช้กลยุทธ์เหล่านี้ในราชสำนักอีกด้วย
สติปัญญาและพร์ทั้งหมดของนางใช้ในแคว้นที่นางเคยพิชิตมาด้วยชีวิตของนาง!
ช่างเป็การทิ่มแทงใจมากจริงๆ!
ซ่งอี้เฉินยกมือขึ้นจับมือนางพลางโยนภาพวาดไปด้านข้าง ท้ายที่สุดพลันเผยรอยยิ้มพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อย่าคิดถึงเื่ไร้ประโยชน์เหล่านี้เลย ของพวกนี้เป็สิ่งที่บุรุษเขาใช้กัน เ้าคิดจะทำให้เจิ้นหรือ?”
เหยียนอู๋อวี้พยักหน้าเล็กน้อย ซ่งอี้เฉินเอ่ยถามอีกครั้ง “หากเ้าทำออกมา เ้าคิดหรือว่าเจิ้นจะพกติดตัว?”
เหยียนอู๋อวี้แสดงสีหน้าสับสนในตอนแรก จากนั้นพลันเข้าใจและหน้าแดงด้วยความเขินอาย “หม่อมฉันโง่เขลาเองเพคะ ไม่ทันได้คิด สิ่งของของบุรุษโสมมเช่นนั้น จะแปดเปื้อนพระวรกายฝ่าาให้เสื่อมเสียได้อย่างไรเพคะ”
“ใช่แล้ว”
“เมื่อพูดถึงเื่นี้ หม่อมฉันยังอยากจะร้องเรียนกับฝ่าาเพคะ!” เมื่อเห็นแววตาซ่งอี้เฉินแสดงความสงสัย นางจึงรีบอธิบายทันทีว่า “เช้าวันนี้ยามที่หม่อมฉันจะกลับตำหนัก พี่หญิงซูเฟยถามหม่อมฉันว่า้านำไข่มุกนี้กลับหรือไม่ หม่อมฉันรังเกียจที่ไข่มุกมีคนแตะต้องมันแล้ว หม่อมฉันจึงบอกว่าไม่้า ยามนี้เกรงว่าพี่หญิงซูเฟยคงส่งกลับไปให้องค์หญิงใหญ่แล้วกระมัง สิ่งนี้มีลงในบันทึก หม่อมฉันเกรงว่าถึงยามนั้นคงไม่มีเงินใช้คืนเพคะ”
ซ่งอี้เฉินหัวเราะทันที พลางถอดแหวนหยกมอบให้นางแล้วกล่าวว่า “แหวนหยกชิ้นนี้มีค่ามากกว่าของชิ้นนั้นมาก ถึงยามที่พวกเขาขอสิ่งนั้นคืน เ้าก็นำแหวนวงนี้ให้แทน”
เหยียนอู๋อวี้รีบขอบพระทัยฝ่าา พลางรับแหวนวงนั้นด้วยท่าทางมีความสุขและย้ำเขาด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ “ฝ่าา แหวนวงนี้ห้ามลงในบันทึกนะเพคะ!”
ซ่งอี้เฉินจูงมือนางเดินออกไปด้านนอกแล้วนั่งลงที่โต๊ะเสวยพระกระยาหาร เหยียนอู๋อวี้ได้รับของมีค่าจึงรีบเอาอกเอาใจคีบอาหารให้ฝ่าาพลางเอ่ยว่า “วันนี้หม่อมฉันได้ของขวัญมากมาย เซียวเป่าหลินมอบของขวัญเป็ทับทิมไข่นกพิราบ เต๋อเฟยมอบพระหยก ซูเฟยมอบบัวหิมะเทียนซานและสร้อยคอที่ทำจากลูกปัดปะการังสีแดง อู๋เจี๋ยอวี๋ทำให้หม่อมฉันประหลาดใจมากที่สุดนางมอบโสมเก่าพันปีให้หม่อมฉันสามหัว ฝ่าายังมอบแหวนหยกนี้อีก...…”
เมื่อนางเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเขา ทว่าแววตาเขากลับเ็าราวกับน้ำค้างแข็ง ภายในใจเหยียนอู๋อวี้รู้สึกมีความสุขยิ่งนัก
เขาคงจะเห็นปัญหานี้เหมือนที่ไทเฮากับแม่นมซูเห็นกระมัง เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าจะจัดการกับคนรักในดวงใจเขาอย่างไร?
เมื่อร่ายรายการของขวัญยาวเหยียดนี้ออกมา ไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกละอายใจบ้างหรือไม่ นางสนมของเขาทั้งหมดดูร่ำรวยกว่าเขามากนัก ฮ่องเต้ตำแหน่งนี้อยู่เหมือนไร้ตัวตนจริงๆ
สิ่งของล้ำค่าเหล่านี้มาจากที่ใด? ซ่งอี้เฉินมีอุปนิสัยเป็คนขี้ระแวง เขาไม่มีทางไม่เกิดข้อสงสัย เขาคงต้องใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อหาคำตอบนี้
ทว่าเหยียนอู๋อวี้มองเห็นความกลัดกลุ้มใจและไม่เต็มใจในแววตาของซ่งอี้เฉิน นางชอบให้เขามีท่าทางเช่นนี้มากที่สุด ในสมองเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ได้
ซ่งอี้เฉินรู้สึกเหมือนเคี้ยวขี้ผึ้ง[1] เขาครุ่นคิดไม่หยุด ย่อมไม่ทันสังเกตไม่เห็นแววตาเ็าของเหยียนอู๋อวี้ ทั้งสองดูเหมือนโปรดปรานรักใคร่ซึ่งกันและกัน ซึ่งอาจหลอกลวงผู้อื่นได้
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ กลับมีคนรีบวิ่งเข้ามาในห้องพร้อมคุกเข่าแล้วกราบทูลว่า “ทูลฝ่าา สนมเจี๋ยอวี๋ทรงประชวร ขอฝ่าาโปรดเสด็จไปดูสักหน่อยเพคะ!"
เชิงอรรถ
[1] เคี้ยวขี้ผึ้ง มีความหมายว่า ว่างเปล่า ไร้รสชาติ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้