อีกด้านหนึ่ง เยวี่ยเจาหรานที่ถูกเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วส่งกลับจวนเยวี่ยราวกับได้มาถึงวิมาน์ เป็ ‘คุณหนูใหญ่’ ผู้กลับมาเยี่ยมบ้านจากแดนไกล แทบจะได้รับการต้อนรับขับสู้จากทั่วทุกผู้ขนาบสองข้างทาง... เยวี่ยเจาหรานมองอาหารเลิศรสที่ส่งมาทีละจาน รู้สึกเสียดายขึ้นมาอย่างยิ่งว่าเหตุใดจึงไม่ชวนเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วมาอยู่เพลิดเพลินไปด้วยกัน
ถึงอย่างไรกินมื้อนี้เสร็จแล้วค่อยกลับไปรับมือกับปัญหา ดีกว่าไปทุกข์ทรมานโดยที่ท้องหิวไม่ใช่หรือ? ทว่ายามนี้จะเอ่ยอะไรก็สายไปเสียแล้ว หากจะโทษก็โทษเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ไม่มีโชค จึงไม่อาจได้มาดื่มด่ำอาหารโอชะเลิศรสอย่างนี้ก็แล้วกัน
“ชุ่ยเชี่ยว เ้าไปห่อเป็ดย่างให้ข้ากินหน่อย” [1]
เยวี่ยเจาหรานอยู่ในบ้านของตน จึงนั่งอย่างที่เรียกว่าสบายและเป็ธรรมชาติ โยนแผ่นหลังอันอ้างว้างยามที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจากไปทิ้งจนหมดสิ้น กลับกัน ชุ่ยเชี่ยวสาวใช้ตัวน้อยยังมีมโนธรรมอยู่บ้าง นางห่อเป็ดย่างไปพลางรู้สึกคับข้องใจแทนเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว “ข้าว่าคุณชาย ท่านนี่ไร้มโนธรรมชะมัดเลย...” ??? เยวี่ยเจาหรานได้ยินเช่นนั้น พลันโน้มตัวไปข้างหน้าจากบนเก้าอี้ มองไปยังชุ่ยเชี่ยวที่วางมาดเคร่งขรึม แล้วเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เ้าว่าอะไรนะ เ้าพูดให้ข้าฟังอีกครั้งหน่อยสิ”
ชุ่ยเชี่ยวเพิ่มแตงกวาซอยลงในห่อแป้งเป็ดย่าง คีบด้วยความคับข้องใจกึ่งรำคาญ แล้วยัดเข้าไปในปากของเยวี่ยเจาหรานอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง “คุณชายใหญ่ ข้าพูดว่าท่าน ไม่! มี! มโน! ธรรม!” ราวกับว่ากลัวเยวี่ยเจาหรานจะได้ยินไม่ชัด ชุ่ยเชี่ยวเอ่ยทีละคำอย่างชัดเจนด้วยความฮึกเหิม พูดจบก็ยังจะกลอกตาใส่เยวี่ยเจาหรานทีหนึ่ง
“คุณชายเยี่ยนกลับไปรับโทษแทนท่านนะ ท่านไม่เป็ห่วงยังพอว่า ยังจะกินดื่มสำเริงสำราญ ช่างไม่มีมโนธรรมเอาเสียเลย!” ชุ่ยเชี่ยวเหมือนกับจะยังหงุดหงิด รีบฉวยโอกาสตอนที่ในปากของเยวี่ยเจาหรานเต็มไปด้วยเป็ดย่างจนพูดไม่ถนัด เอ่ยจิกกัดขึ้นมาอีกครั้ง เยวี่ยเจาหรานขมวดคิ้วรีบเคี้ยวเป็ดย่างที่เต็มแน่นอยู่ในปาก พลางควานหาถ้วยชา แล้วกรอกเข้าปากอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ทำทั้งหมดนั้นแล้ว เยวี่ยเจาหรานถึงพอจะนับว่าหายใจหายคอได้บ้าง ก่อนยกมือขึ้นมาลูบที่หน้าอกไม่หยุด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “ยัยเด็กผีนี่ เ้าเกือบทำให้ข้าสำลักตายแล้ว” ว่าแล้วเขาก็เอนตัวพิงกลับไปที่พนักเก้าอี้ด้านหลังอย่างเอื่อยเฉื่อย “เ้าวางใจเถอะ เยี่ยนอวิ๋น... เยี่ยนอวิ๋นเฟยเขาเป็คนฉลาดหลักแหลม จะว่าไปแล้วนั่นก็เป็บ้านของเขาเอง เขาจะไปได้รับความไม่เป็ธรรมอะไรได้”
แม้ว่าจะเอ่ยออกไปเช่นนั้น แต่ในใจของเยวี่ยเจาหรานก็ยังเป็กังวลอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่เพียงแค่เขาหวงหน้าตา ไม่อยากจะแสดงความเป็ห่วงของตนที่มีต่อเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วออกมาง่ายๆ ถึงอย่างไรนั่นก็เป็สตรีที่ไม่มีความรู้วัฒนธรรมเลยแม้แต่น้อย ในความคิดคร่ำครึอัน ‘ล้าสมัย’ ของเยวี่ยเจาหรานนั้น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่มีทางเป็สะใภ้ที่แท้จริงของบรมครูด้านวรรณกรรมในอนาคตเช่นตนได้หรอก
แค่เป็ ‘สามี’ ปลอมๆ ของเขาก็นับเป็เกียรติอันใหญ่หลวงกับคนไม่มีการศึกษานั่นแล้วล่ะ!
เยวี่ยเจาหรานเบี่ยงตัวหนีไม่ต่อล้อต่อเถียงอะไรกับชุ่ยเชี่ยวอีก แล้วเพียงแค่ลูบผมของตนอย่างไม่สนใจรอบข้าง หัวที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับไข่มุกอัญมณี ก่อนนี้ยังรู้สึกว่ามันทั้งหนักและน่ารำคาญ แต่ในขณะที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้น เขากลับคุ้นชินขึ้นมาเสียแล้ว
ชุ่ยเชี่ยวอย่างไรเสียก็เป็สตรีที่ซื่อตรง ทั้งอายุอานามก็ไม่มาก จึงมองหลายเื่ได้ไม่กระจ่างแจ้งนัก นางเพียงยึดเอาตามความคิดของตนเท่านั้น ส่วนเยวี่ยเจาหรานในใจจะคิดมากหรือไม่นั้น ไม่ใช่เื่ที่นางจะสามารถเข้าใจได้เลย ดังนั้นจึงยังบ่นอย่างขุ่นเคือง “ท่านไม่เป็ห่วงเขาบ้างสักนิดเลยหรือ? ตอนแรกท่านถูกฮูหยินเยี่ยนทำโทษให้ยืนจนล้มป่วย เพื่อไม่ให้ผู้อื่นรู้ตัวตนที่แท้จริงของท่าน เขาจึงคอยตั้งใจดูแลท่านอยู่ตลอดเลยนะเ้าคะ...”
ยัยเด็กโง่! ทำไมยัยเด็กนี่ดันไม่เข้าใจความคิดของผู้อื่นเอาเสียเลย?! เยวี่ยเจาหรานคร้านจะฟังต่อ จึงหันหลังให้รู้แล้วรู้รอด แล้วเอ่ยอย่างเ็า “ช่างเถอะ เ้าไปได้แล้ว”
แต่ชุ่ยเชี่ยวนะหรือ? นางยังเต็มไปด้วยความรู้สึกว่าเ้านายของตนช่างไร้มโนธรรม ไม่รู้จักสำนึกบุณคุณ ยามนี้จึงเบ้ปากเล็กลงอีกครั้งแล้วเพียงทำความเคารพอย่างอ่อนน้อมโดยไม่เอ่ยอะไร ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป แต่คาดไม่ถึงว่าจะพบกับสาวใช้ในเรือนของฮูหยินเยวี่ยที่รีบวิ่งเข้ามาอย่างตื่นตระหนกจนเกือบจะชนกันเข้า
“อาเชวี่ย! เ้ารีบร้อนอะไรนัก ไม่กลัวหกล้มหรือไร...” ชุ่ยเชี่ยวที่อารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ยามนี้จึงพูดจาไม่ไพเราะนัก ก้มหน้าจัดแจงเสื้อผ้าขอตนโดยไม่คิดสนใจนางเลยแม้แต่น้อย แต่อาเชวี่ยกลับยังรีบร้อน นางไม่พูดไม่จาแล้ววิ่งเข้าไปข้างใน เอ่ยกระซิบที่ข้างหูของเยวี่ยเจาหรานเล็กน้อย ทำให้เยวี่ยเจาหรานเองก็ขมวดคิ้ว พลันลุกขึ้นยืนในทันที
“ตอนนี้ท่านแม่อยู่ที่ไหน? รีบพาข้าไปพบนาง!”
เยวี่ยเจาหรานและอาเชวี่ยวิ่งโร่ตามกันออกไป ทำให้ชุ่ยเชี่ยวจ้องมองอย่างงุนงง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้สติกลับมา แต่กลับยังคงเดาไม่ออกว่าเื่ใดที่จะสามารถทำให้ฮูหยินเยวี่ยและมหาบัณฑิตเยวี่ยร้อนใจได้ถึงเพียงนี้...
“ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ขอรับ?!” เยวี่ยเจาหรานและอาเชวี่ยไม่ชะลอฝีเท้า พวกเขาวิ่งตรงจากเรือนของตนมุ่งไปทางฮูหยินเยวี่ย เมื่อผ่านเข้าประตูมาก็โพล่งถามขึ้นมาอย่างไม่อ้อมค้อม
ยามนี้ในมือของฮูหยินเยวี่ยถือจดหมายฉบับหนึ่ง ท่าทางเหมือนกับเพิ่งจะเปิดอ่าน สีหน้าเคร่งขรึมอย่างมาก จึงสามารถรู้ได้ว่าคงจะเกิดเื่ใหญ่ขึ้นแล้วเป็แน่ “เจาหราน โชคดีที่ยามนี้เ้าอยู่ที่บ้าน เร็วเข้า เ้ามาดูนี่...” ฮูหยินเยวี่ยเหลือบตาขึ้นมองเยวี่ยเจาหรานเล็กน้อย พร้อมกับเรียกเขาให้เข้ามา พลางยกมือเป็สัญญาณให้สาวใช้ทั้งหลายถอยออกไปแล้วปิดประตูลง เหลือเพียงตนและเยวี่ยเจาหรานแค่สองคนอยู่ในห้อง
เยวี่ยเจาหรานรับจดหมายมา เห็นเพียงอักษรสองสามตัวแรกก็จำลายมือของผู้ที่เขียนจดหมายฉบับนี้ได้ และที่มาของจดหมายลึกลับฉบับนี้นั้นก็คือผู้ที่แรกเริ่มเดิมทีควรจะต้องแต่งงานกับเยี่ยนอวิ๋นเฟย เยวี่ยเยียนหรานนั่นเอง!
จดหมายที่ส่งมาจากเยวี่ยเยียนหรานที่หายตัวไปเนิ่นนาน ย่อมเป็ข่าวคราวที่สามารถทำให้ทั้งจวนเยวี่ยอึกทึกครึกโครม ทว่าจดหมายนี้นั้นส่งมาอย่างน่าสงสัยยิ่ง ไม่นึกว่าจะให้ชาวสวนที่ส่งผักสดให้กับจวนเยวี่ยทุกวันผู้หนึ่งนำมาให้ยามรุ่งเช้า เนื้อความในจดหมายเองก็ไม่ได้นับว่าเข้าใจยาก ส่วนใหญ่พูดเื่ความปลอดภัย เพียงบอกว่าหลังจากเยวี่ยเยียนหรานหนีงานแต่งออกจากจวนเยวี่ยแล้วนางก็ไปหาอาจารย์ผู้ให้ความรู้คนแรกของตน ตอนนี้ชีวิตไร้กังวล ถึงกับมีชีวิตที่ไม่เลวเลย
แม้ว่าฮูหยินเยวี่ยและเยวี่ยเจาหรานต่างก็รู้ว่าอาจารย์ของเยวี่ยเยียนหรานคือใคร แต่กลับไม่รู้ว่าอาจารย์ที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วผู้นั้นยามนี้อยู่หนใด ดังนั้นจุดประสงค์ของจดหมายที่เยวี่ยเยียนหรานส่งมาฉบับนี้ คงเป็การบอกสถานการณ์ในตอนนี้ของตนให้ที่บ้านรับรู้เท่านั้น เห็นได้ชัดเจนว่านางไม่ได้มีความคิดที่จะกลับมาจัดการความยุ่งเหยิงเลย...
เยวี่ยเจาหรานอ่านเนื้อความในจดหมายแล้ว ในที่สุดก็พยุงฮูหยินเยวี่ยนั่งลง ลักษณะการพูดจาก็ได้กลับคืนสู่สภาพเดิมตอนใช้ชีวิตอยู่ที่จวนเยวี่ยเมื่อก่อนนี้ “ท่านแม่ ถึงแม้จดหมายนี้จะไม่ได้บอกอะไรมากมาย แต่อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้ว่าเยียนหรานยังปลอดภัยดี นี่ก็นับว่าเป็เื่ดีแล้วนะขอรับ”
“อืม ที่เ้าพูดก็มีเหตุผล เพียงแต่ในเมื่อเยียนหรานสามารถส่งจดหมายมาบอกเราว่าปลอดภัยดีได้ แต่เหตุใดกลับไม่ยอมกลับบ้านหรือมาให้เห็นหน้าเลยเล่า...”
ถึงอย่างไรฮูหยินเยวี่ยก็ยังเป็ห่วงลูกสาวอยู่ไม่น้อย แม้ว่ายามปกตินางเป็ ‘ขุนพลหญิง’ ที่เฉียบขาดแค่ไหน ทว่ายามนี้ก็เผยจิตใจของผู้เป็มารดาออกมาอย่างชัดเจน สิ่งที่เผยออกมาจากการพูดจาและกิริยาท่าทาง ล้วนเป็ความห่วงใยและกังวลใจต่อบุตรสาวของตนทั้งสิ้น...
ในมือถือจดหมายของเยวี่ยเยียนหรานเอาไว้ ในใจของเยวี่ยเจาหรานมีความรู้สึกมากมายผสมปนเป ด้านหนึ่งมีข่าวจากน้องสาวที่หายไปนานของตน ย่อมรู้สึกปีติยินดีเป็ธรรมดา แต่อีกด้านหนึ่งก็เกิดความรู้สึกกังวลอย่างห้ามไม่อยู่ ต่ออนาคตของจวนเยวี่ยและจวนเยี่ยนทั้งสองตระกูล เนื่องจากการปรากฏตัวอีกครั้งของเยวี่ยเยียนหราน
เชิงอรรถ
[1] เป็ดย่าง (烤鸭) การกินเป็ดย่าง หรือที่คุ้นเคยกันคือเป็ดปักกิ่งนั้น มีวิธีกินที่ชาวจีนนิยม คือจะวางเป็ดที่แล่เป็ชิ้นคู่กับเครื่องเคียงหอมซอยและแตงกวา วางลงบนแผ่นแป้งบางๆ พร้อมราดซอสหวาน จากนั้นจึงห่อเป็คำแล้วนำเข้าปาก รับประทานได้เลย!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้