บนถนนหนทางของเมืองชุ่นเทียน แม่ทัพฉู่เพ่ยนำกองกำลังทหารรักษาพระองค์จำนวนหนึ่งพันนายมุ่งหน้าออกจากประตูเมืองไปด้วยตนเองทำการเคลื่อนทัพอันเกรียงไกร ท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดที่แพร่กระจาย ทำให้ทั่วทั้งเมืองชุ่นเทียนปกคลุมไปด้วยความหนาวเหน็บอึมครึมอย่างน่าประหลาด
ทุกย่างก้าวบนถนนแทบจะกลายเป็สถานที่รกร้างไร้ผู้คนทุกครัวเรือนปิดประตูกันอย่างแ่า มีบ้างที่แอบยื่นหน้าออกมาชะเง้อเมียงมองครั้นเห็นกองทัพก็แทบจะคาดเดาออกได้ทันทีว่าต้องเกิดเื่ครั้งใหญ่ในเมืองชุ่นเทียนเป็แน่
นอกประตูอันชิ่ง
หลังจากฉู่เพ่ยนำกองทัพทหารรักษาพระองค์ออกจากเมืองบรรดาเหล่าขุนนางทั้งหลายเองต่างติดตามเขาไปอย่างใกล้ชิดเช่นกัน
บนใบหน้าของผู้คนเ่าั้ฉายอารมณ์เคร่งเครียดอย่างที่ยากจะเอ่ยพรรณนาออกมาได้
บนรถม้าตระกูลหนานกง หนานกงเลี่ยแอบยกยิ้ม ยากที่จะปิดบังรอยยิ้มเริงร่ารถม้ากลับไปที่จวนหนานกงแทบทุกคนในจวนหนานกงต่างมารวมตัวกันอยู่ที่โถงรับรองใน่เวลาเช้าตรู่เพื่อรอหนานกงเลี่ยกลับจวน
นอกจากนายท่านผู้เฒ่าหนานกง หนานกงจื้อและหนานกงฉี่แล้ว แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงยังนั่งอยู่บนเก้าอี้เฝ้ารอคอยหนานกงเลี่ยเช่นกันครั้นได้ยินพ่อบ้านแจ้งว่าหนานกงเลี่ยกลับมาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงรีบเร่งลุกขึ้นโดยพลันก้าวฝีเท้าออกไปต้อนรับทักทายเขาทันที
"เป็อย่างไรบ้าง สถานการณ์เป็อย่างไร" ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเอ่ยถามอย่างตื่นเต้นครั้นเอ่ยจบ พลันปราดสายตามองไปยังคนอื่นๆ ในห้องโถงทันที “นอกจากจื้อเอ๋อร์และฉี่เอ๋อร์แล้วคนอื่นๆ ออกไปให้หมด”
ในใจของทุกคนรู้สึกกังวลต่อเื่โรคระบาด พวกเขาอยากได้ยินข่าวที่หนานกงเลี่ยนำมาจากในวังหลวงทว่ายามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงกลับเอ่ยสั่งออกมา แม้นว่าจะเป็บุรุษของจวนหนานกงทว่าต่างล้วนต้องเดินออกไปจากห้องด้วยอารมณ์ไม่พอใจ
ในห้องโถงเหลือเพียงสองสามคนซึ่งเป็คนสำคัญที่สุดในจวนหนานกงอยู่ด้วยกันตามลำพัง
ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเอ่ยปากถาม"เล่ามาเถิดว่าในวังว่ากันอย่างไรบ้าง?"
หนานกงเลี่ยมิอาจซ่อนความตื่นเต้นบนใบหน้าได้ "ท่านแม่ ฝ่าาทรงรับสั่งออกมาให้เผาค่ายเสินเช่อเป็ที่เรียบร้อย นี่เป็โอกาสของตระกูลหนานกงของเราแล้วนะขอรับ"
เผาค่ายเสินเช่อ...
แทบทุกคนที่ฟังอยู่ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปทันทียามที่ได้ยินวาจาเช่นนี้
ดูเหมือนว่า ฮ่องเต้หยวนเต๋อจำต้องสละค่ายเสินเช่อทิ้งไปเพื่อแลกกับการปกป้องเมืองชุ่นเทียน!
“ท่านพ่อ โอกาสของตระกูลหนานกงคืออะไรหรือ?” หนานกงจื้อเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจทำลายค่ายเสินเช่อ เช่นนี้มิใช่ว่าจะทำให้ทั้งแคว้นและราชวงศ์เป่ยฉีเสียหายไปด้วยหรอกหรือ
“พี่ใหญ่ ท่านยังไม่เข้าใจเื่นี้อีกหรือ ข้าได้ยินว่าแม่ทัพหลวง ‘ฉู่ชิง’ เองก็อยู่ในค่ายเสินเช่อนั่นเช่นกัน แน่นอนว่าหากเผาค่ายเสินเช่อฉู่ชิงที่อยู่ในนั้นคงมิอาจรอดชีวิตกลับมาได้” หนานกงฉี่เลิกคิ้วสองมือยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างช้าๆ ดวงตาอันสงบนิ่งทอประกายแสงบางอย่าง
ท่านพ่อพูดถูก โอกาสของตระกูลหนานกงมาถึงแล้ว
หากฉู่ชิงไม่อยู่แล้ว จะต้องมีคนรับ่ต่อในฐานะแม่ทัพหลวงแทนเขาและบุคคลที่รับ่ต่อ...
หนานกงฉี่เหลือบมองหนานกงเลี่ย ความคิดของท่านพ่อบางทีคงมิพ้นคิดฝันให้คนในตระกูลหนานกงได้รับโอกาสนี้!
ครั้นได้ยินคำบอกใบ้เพียงเล็กน้อยจากหนานกงฉี่ หนานกงจื้อก็เข้าใจเื่นี้ได้ในทันทีฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงปรายตามองหนานกงฉี่อย่างผู้มีประสบการณ์“หากฉี่เอ๋อร์ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ว่าราชการเมื่อใด เช่นนั้นบางทีอีกไม่นาน ตำแหน่ง ‘แม่ทัพหลวง’ ไม่ช้าคงมิใช่ของฉู่ชิงอีกต่อไปแต่เป็ของฉี่เอ๋อร์”
นางกล่าวออกมาอย่างจริงจัง ในบรรดารุ่นลูกหลานตระกูลหนานกง นับได้ว่าหนานกงฉี่เป็คนที่มีความคิดปราดเปรื่องที่สุด
แม้แต่หนานกงจื้อเองยังต้องยอมรับ
ทว่า...
“อย่าเลย ข้าชื่นชอบด้านการคิดคำนวณมากกว่า เื่สวมชุดขุนนางถูกผูกมัดเช่นนั้น ข้ามิสนใจในท้องพระโรงวังหลวงมีทั้งท่านพ่อและพี่ใหญ่ก็นับว่าเพียงพอแล้ว” หนานกงฉี่วางถ้วยชาลงสีหน้าฉายอารมณ์เป็อิสระ แทนที่จะคุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้ในท้องพระโรงเขาอยากเป็นายท่านแห่งการค้าของตระกูลหนานกง ตรองดูจะสุขใจยิ่งกว่ายามใดว่างก็ไปหาม้าพยศสักสองสามตัวมาฝึกฝนให้เชื่อง
เมื่อคิดถึงเื่ฝึกม้า หนานกงฉี่อดใจนึกถึงเหนียนยวี่ไม่ได้
เขาไม่ได้เจอนางมาระยะหนึ่งแล้ว สตรีนางนั้นมิรู้ว่าเพราะเหตุใดยิ่งรู้จักนางมากเท่าใด เขากลับยิ่งรู้สึกว่านางประหนึ่งเป็ม้าพยศที่ฝึกได้ยาก!
ส่วนฉู่ชิง...
หนานกงฉี่ขมวดคิ้วมุ่น เขาต้องยอมรับว่าบุตรชายของท่านแม่ทัพใหญ่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับสมญานามว่าเป็เด็กอัจฉริยะ เขาได้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งั้แ่อายุยังน้อยเช่นนี้แม้ว่าเขาจะก้าวสู่หนทางการเป็ขุนนาง ก็ยังคงลอบทอดถอนหายใจ
"หากฉู่ชิงเสียชีวิต ตำแหน่งแม่ทัพหลวงจะว่างลงทันทีข้าหวังว่าจื้อเอ๋อร์จะได้รับ่ต่อแทน"
หนานกงเลี่ยกล่าว เมื่อวานนี้ยามที่อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้หยวนเต๋อเขาเรียกร้องอย่างแรงกล้าให้จุดไฟเผาค่ายเสินเช่อ นี่เป็หนึ่งในเป้าหมายของเขาเขาอยากให้ฉู่ชิงตายในค่ายเสินเช่อเสีย!
ทุกวันนี้สถานการณ์ในเป่ยฉี ภายใต้อำนาจของฮ่องเต้ได้แบ่งออกเป็หลายฝักหลายฝ่ายคอยคานอำนาจกันแม้นอำนาจของตระกูลหนานกงจะมีไม่น้อยแต่ทว่าหากตระกูลหนานกงได้ควบกลืนอำนาจของจวนแม่ทัพเช่นนั้นตระกูลของเราจะกลายเป็ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเป่ยฉีอย่างไม่ต้องสงสัยตำแหน่งฐานะจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“การที่จื้อเอ๋อร์เข้าไปรับ่ต่อนั้น แน่นอนว่าเป็เื่ดีทว่ายามนี้เกรงว่าคงมิใช่แค่เ้าที่หวังคิดอยากขึ้นไปที่ตำแหน่งนี้ ผู้อื่นต่างก็จับจ้องมาที่ตำแหน่งนี้กันทั้งนั้น!”แววตาอันเจนโลกของฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงหรี่เล็กลง ทุกคนต่างรู้กันเป็อย่างดีว่าครั้นเมื่อใดจุดสมดุลเกิดพังทลายลง สถานการณ์จะพังลงไปอีกครา ยามนี้ไม่ว่าจะฮองเฮาอวี่เหวินหรือแม้แต่ฉางไทเฮายังลอบลงมือ
นอกจากนี้ยังมีฮ่องเต้หยวนเต๋อ สิ่งที่พวกเขามองเห็นแน่นอนว่าฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นเองก็ต้องเห็นเช่นนั้นเขาจะยอมให้สูญเสียอำนาจการปกครองได้อย่างไร?
หนานกงเลี่ยเข้าใจความหมายของฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงสีหน้าแปรเปลี่ยนแลดูจริงจัง “ดังนั้นพวกเราต้องคิดหาหนทาง ทำให้อำนาจเ่าั้ตกมาเป็ของตระกูลหนานกงของพวกเราให้จงได้!”
แม้แต่ฮ่องเต้หยวนเต๋อยังต้องประนีประนอม ทว่าหนทางที่สมบูรณ์แบบนั้นไหนเลยจะคิดออกมาได้ง่ายดายเยี่ยงนั้นกันเล่า?
ภายในห้องโถง ทั้งสี่คนเงียบสนิท ใบหน้าอึมครึมเคร่งเครียดพวกเขาต่างกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สักครู่หนึ่งดวงตาประหนึ่งจิ้งจอกของหนานกงฉี่พลันวาววับ “ท่านย่า หลานมีวิธีทว่าต้องทำใจยอมเสียสละลูกหลานตระกูลหนานกงไป”
เสียสละลูกหลานตระกูลหนานกงหรือ?
ในห้องโถง อีกสามคนขมวดคิ้วแน่น หันมองหนานกงด้วยสีหน้าแววตาซับซ้อน
ตระกูลหนานกงทางนี้กำลังคุยกันเื่การยึดอำนาจส่วนอีกด้านหนึ่งในเวลาเดียวกันแม่ทัพใหญ่ฉู่เพ่ยกำลังนำกองทัพทหารรักษาพระองค์มุ่งหน้าเดินทางออกนอกเมืองชุ่นเทียนทว่าฉับพลันนั้นมีคนสองคนก้าวเข้ามาขวางทางไว้
ฉู่เพ่ยมองไปยังคนสองคนบนหลังม้าตรงหน้าคำนับฝ่ามือสอดประสานคารวะให้ทั้งสอง ทว่ากลับมิได้ลงจากหลังม้า "ท่านอ๋องมู่ท่านอ๋องหลี โปรดยกโทษให้ฉู่เพ่ยผู้นี้ที่หยาบคายฝ่าาทรงมีรับสั่งให้กระหม่อมนำทัพทหารออกจากเมือง หากองค์ชายทั้งสองมีกิจอันใดโปรดเปิดทางให้กระหม่อมไปก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
“ออกจากเมืองหรือ” จ้าวอี้กล่าวพลางบังคับสายบังเหียน ขี่ม้าออกไปขนาบข้างฉู่เพ่ย “พอดีเลยเปิ่นหวางเองก็อยากออกจากเมือง เช่นนั้นถือโอกาสไปพร้อมกับแม่ทัพเลยแล้วกัน”
ความฉลาดที่จ้าวอี้มีแน่นอนว่าเขาย่อมรู้ว่าฉู่เพ่ยไม่มีทางนำทหารออกจากเมืองโดยไร้เหตุผล ต้องเป็เสด็จพ่อรับสั่งลงมาเป็แน่เขาไม่รู้ว่าเสด็จพ่อจะจัดการเื่ค่ายเสินเช่ออย่างไร ทว่ายามนี้ในค่ายนั้นมิใช่มีแค่จื๋อหร่านทว่ามีความเป็ไปได้อย่างมากว่ายวี่เอ๋อร์เองก็อยู่ในนั้นเช่นกันเื่นี้เขาจะเลินเล่อไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาจะติดตามฉู่เพ่ยไปด้วย เมื่อโอกาสมาถึงควรรีบทำนี่เป็ทางเลือกที่ดีที่สุด
"เื่นี้...ท่านอ๋องมู่ สถานการณ์นอกเมืองยามนี้น่าจะเป็อันตรายอย่างยิ่งฝ่าาทรงไม่อนุญาตให้ท่านออกจากเมืองแน่พ่ะย่ะค่ะ" ฉู่เพ่ยขมวดคิ้ว
"เขาไม่อนุญาต แล้วข้าจะไปไม่ได้เลยหรือไร" มู่อ๋องจ้าวอี้พ่นลมหายใจเสียงเ็าทันทีที่เอ่ยจบ ทหารสองนายที่ขี่ม้าตามหลังม้าไกลๆเอ่ยร้องะโออกมาสองคำอย่างเสียงดังทันใดว่า “ท่านอ๋อง”
จ้าวอี้และจ้าวเยี่ยนหันไปมองพร้อมกัน ชั่วครู่หนึ่งทหารทั้งสองนายก็เข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า