“พรึ่บ!” แสงเยือกเย็นเข้าจู่โจมเย่เฟิงอย่างต่อเนื่อง ทุกการโจมตีล้วนอัดแน่นไปด้วยพลังที่สามารถฆ่าเย่เฟิงได้ แต่ศิษย์สำนักหลิงไถเหล่านี้กลับไม่กล้าแตะต้องหลันเซียงและชิงเซียง การโจมตีของพวกเขาจึงตั้งใจหลบเลี่ยงหญิงสาวทั้งสอง
เทียนเซียงหลินคือกองกำลังหนึ่งในภาคกลางของจักรวรรดิจิ่วโยวที่ค่อนข้างลึกลับ แม้ในกองกำลังจะมีลูกศิษย์ไม่มาก แต่กลับเป็หนึ่งในกองกำลังชั้นยอดแห่งจักรวรรดิจิ่วโยว มีอำนาจเหนือกว่าพวกเขาสำนักหลิงไถ พวกเขาย่อมไม่กล้ายั่วยุ
“พอได้แล้ว!” เมื่อการโจมตีของศิษย์สำนักหลิงไถเ่าั้ใกล้จะถึงตัวเย่เฟิง จู่ ๆ มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ทำให้การโจมตีของศิษย์สำนักหลิงไถเ่าั้หยุดชะงัก ซึ่งผู้พูดก็คือชิงเซียง
“แม่นางชิงมีอะไรจะชี้แนะหรือ?” ผู้เป็หัวหน้าชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามชิงเซียงเช่นนั้น
“คนผู้นี้เป็เพื่อนร่วมทางของเราสองคน ข้าไม่อนุญาตให้พวกเ้าทำร้ายเขา” ชิงเซียงกล่าวขณะกวาดมองผู้ฝึกยุทธ์สำนักหลิงไถสิบคนนั้นด้วยสายตาเย็นเยือก
“ก่อนหน้านี้เขาทำร้ายศิษย์สำนักหลิงไถถึงสองคน เป็คนที่สำนักหลิงไถข้าต้องฆ่าให้ได้ แม่นางชิงเซียงปกป้องเขาขนาดนี้ ดูเหมือนจะไม่เหมาะเท่าไรนะ” ผู้ฝึกยุทธ์สำนักหลิงไถคนนั้นกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ข้าไม่อยากพูดซ้ำสอง จะลงมือหรือไม่พวกเ้าก็พิจารณาเองแล้วกัน!” ชิงเซียงกล่าวเสียงเย็นแฝงความแข็งกร้าว คล้ายี้เีพล่ามกับคนเหล่านี้
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ พวกเราจะปล่อยเขาไปเป็การชั่วคราวเพื่อเห็นแก่แม่นางชิงเซียง แต่เมื่อแม่นางทั้งสองไม่อยู่กับคนผู้นี้ สำนักหลิงไถข้าจะฆ่าคนผู้นี้ หวังว่าแม่นางทั้งสองจะไม่เข้ามายุ่ง” ผู้ฝึกยุทธ์สำนักหลิงไถคนนั้นกล่าวด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี แต่พวกเขาจำต้องเลือกวิธีประนีประนอม
โลกแห่งการบำเพ็ญ ความแข็งแกร่งอยู่เหนือสิ่งอื่นใด เทียนเซียงหลินแกร่งกว่าสำนักหลิงไถของพวกเขาหลายเท่า ส่วนหลันเซียงและชิงเซียงยังมีฐานะที่ค่อนข้างดีในเทียนเซียงหลิน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าล่วงเกินพวกนาง
ชิงเซียงกวาดตามองคนเ่าั้ด้วยสายตาเย็นเยือก แต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไป
“ไป!” ผู้ฝึกยุทธ์สำนักหลิงไถคนนั้นออกคำสั่ง ก่อนจะเดินออกไป จากนั้นคนอื่น ๆ เดินตามเขาไปเช่นกัน แต่ตอนผ่านเย่เฟิง พวกเขามองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นะเืแฝงด้วยความอาฆาต
“ตอนนี้พวกเราไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว” หลังจากผู้ฝึกยุทธ์สำนักหลิงไถออกไป ชิงเซียงก็หันมาพูดกับเย่เฟิง
สุดท้ายสาเหตุที่หญิงผู้นี้ช่วยเขาเย่เฟิง นั่นก็เพื่อตอบแทนบุญคุณเขา
จากนั้นทั้งสามคนมุ่งหน้าไปต่อ เพียงพริบตาก็ผ่านไปสามวัน มิติแห่งนี้เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าทั้งสามคนจะเดินทางอย่างไรก็ยังคงอยู่ในเขตูเา และยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงผลึกเจตจำนงแรกเริ่มเลย พวกเขากระทั่งเริ่มสงสัยมิติแห่งนี้ว่ามีผลึกเจตจำนงแรกเริ่มจริง ๆ หรือไม่
พวกเขาสามคนเดินทางสามวันอย่างไม่หยุดหย่อนจนท้องเริ่มส่งเสียงร้องเป็การบ่งบอกว่าหิว ทั้งยังรู้สึกว่าร่างกายเริ่มไร้เรี่ยวแรง ดังนั้นพวกเขาจึงหยุดพักในที่ราบ
เย่เฟิงก่อกองไฟทั้งยังย่างขาวัวป่าในอุณหภูมิที่ร้อนแรง เสียงดังปุด ๆ มาจากขาวัวป่าอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งขาวัวป่าถูกย่างกลายเป็สีเหลืองทองอร่าม พร้อมส่งกลิ่นหอมชวนให้ท้องร้อง
“หอมจัง!” หลันเซียงได้กลิ่นหอมก็ตาเป็ประกาย พร้อมท้องร้องออกมาอย่างไม่ตั้งตัว เย่เฟิงยิ้มจาง ๆ จากนั้นหยิบกริชเล่มหนึ่งออกมา หั่นเนื้อส่วนหนึ่งจากขาวัวแล้วส่งไปให้หลันเซียง “ชิมดูสิ”
หลันเซียงดมเนื้อส่วนขาวัว ก่อนจะกัดคำหนึ่ง ทันใดนั้นรสอร่อยของเนื้อขาวัวก็กระจายไปทั่วปากจนทำให้หลันเซียงพยักหน้า “อร่อยมาก ไม่คิดว่าคุณชายเย่จะมีฝีมือขนาดนี้”
ไม่ไกลออกไป ชิงเซียงนั่งอยู่บนก้อนหินคนเดียว แต่เมื่อกลิ่นหอมของเนื้อลอยอบอวลไปทั่วอากาศ ท้องของชิงเซียงก็ส่งเสียงร้องออกมา แต่นางกลับไม่เดินไปหาอาหารเหมือนหลันเซียง ด้วยศักดิ์ศรีของนาง แม้ท้องจะหิวและร้องส่งเสียงเพียงใด แต่ก็จะไม่เป็ฝ่ายไปหาเย่เฟิงเพื่อขออาหารก่อน
หลันเซียงกินอย่างเอร็ดอร่อยจนปากเปื้อนไปหมด เมื่อนางกินหมดก็หันไปยิ้มให้เย่เฟิงด้วยท่าทีเก้อเขิน “คุณชายเย่ ข้าขอเนื้ออีกสักชิ้นได้หรือไม่?”
“ได้แน่นอน” เย่เฟิงพยักหน้า จากนั้นหั่นเนื้อขาวัวชิ้นหนึ่งแล้วส่งไปให้หลันเซียง หลันเซียงรับมาก็ยิ้มให้เย่เฟิง นางเดินไปหาชิงเซียงและทั้งสองก็พูดคุยกัน
ก่อนหน้านี้ชิงเซียงไม่มีท่าทีจะรับเนื้อวัวที่เย่เฟิงย่าง ต่อมาทั้งสองได้พูดคุยกัน ชิงเซียงจึงรับเนื้อชิ้นนั้นไป ซึ่งนางแอบมองเย่เฟิงแวบหนึ่ง ก่อนจะกินเนื้อชิ้นนั้น ครู่ต่อมาพวกนางทั้งสองก็กินเนื้อวัวย่างจนหมดด้วยสีหน้าพอใจ
จู่ ๆ เย่เฟิงขมวดคิ้ว กล่าวกับหญิงทั้งสองว่า “มีสัตว์อสูรกำลังเข้ามาใกล้พวกเรา พวกเรารีบออกจากที่นี่เถอะ!”
ชิงเซียงได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว “สัตว์อสูรมาแล้วจะใอะไรกัน? หากมันมาเมื่อใด พวกเราก็แค่ฆ่ามันก็สิ้นเื่”
“ไม่ กลิ่นอายของสัตว์อสูรตนนี้ทรงพลังมาก คงจะจัดการไม่ได้ง่าย ๆ เช่นนั้น ข้าเดาว่าสัตว์อสูรตนนี้คงอยู่ระดับพิภพขั้นเจ็ด พวกเราต้องหนี!” เย่เฟิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาปลดปล่อยพลังจิตและรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของสัตว์อสูรตนนั้นอย่างต่อเนื่อง
“พวกเราอยู่ที่นี่มาสามวัน สัตว์อสูรที่พบเจอก็อยู่แค่ระดับพิภพขั้นห้า แล้วจะมีสัตว์อสูรระดับพิภพขั้นเจ็ดได้อย่างไร? เป็ถึงลูกผู้ชาย แต่กลับกลัวหัวหด หากเ้ากลัวก็หนีไปคนเดียวซะ!” ชิงเซียงกล่าวด้วยท่าทีไม่ชอบใจ และไม่เชื่อคำพูดของเย่เฟิง
“กึกกัก ๆ” ทว่าเมื่อสิ้นสุดเสียงชิงเซียง ทันใดนั้นมีเงาร่างขนาดใหญ่เลื้อยออกมาจากป่าทึบที่อยู่ไกลออกไป มันก็คือตะขาบั์ที่มีลำตัวยาวหลายสิบจั้ง ตะขาบตัวนี้ถูกปกคลุมด้วยเปลือกสีแดงหนา มีเขี้ยวคมที่สามารถฉีกกระชากร่างมนุษย์ได้ ลมหายใจของมันยังเป็ไอสีดำพร้อมกับส่งกลิ่นเหม็นออกมา
“ปีศาจพิภพขั้นเจ็ด!”
เป็ไปตามที่เย่เฟิงคาดการณ์ไว้เช่นนั้น ตะขาบตัวนี้เป็ปีศาจพิภพขั้นเจ็ด ทั้งยังค่อนข้างทรงพลังมากอีกด้วย
เมื่อชิงเซียงเห็นฉากตรงหน้าก็อดเหลือบมองไปที่เย่เฟิงไม่ได้ นางไม่เข้าใจว่าทำไมเย่เฟิงถึงรู้ล่วงหน้าว่าจะมีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งเช่นนี้กำลังเข้ามาใกล้ หากรู้เช่นนี้นางคงเชื่อฟังเย่เฟิง แต่ฉุกคิดได้เช่นนี้นางก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา
ทว่าตะขาบั์ไม่ปล่อยให้ชิงเซียงได้มีเวลาเสียใจ มันตวัดหางโจมตีพวกเขาสามคน ทำให้พวกเขาใ จากนั้นสำแดงท่าร่างของตนหลบหนี ซึ่งการโจมตีของปีศาจพิภพขั้นเจ็ดเทียบเท่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 8 หากโดนโจมตีจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“หอกดุจั!” เย่เฟิงแผดเสียงะโ เมื่อหลบการโจมตีของตะขาบั์ เขาก็แทงหอกออกไป พลันรังสีหอกกลายเป็ลำแสงทำลายล้าง ก่อนจะเข้าโจมตีร่างอันใหญ่ั์ของตะขาบ
“เคร้ง!” แม้พลังของหอกนี้จะแข็งแกร่งเพียงใด แต่เปลือกหนาของตะขาบั์กลับแข็งทนทาน ทำให้การโจมตีของเย่เฟิงทำอะไรไม่ได้
“โฮก!” ตะขาบั์แผดเสียงคำราม จากนั้นอ้าปากเข้าเขมือบร่างเย่เฟิง แต่เย่เฟิงใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อพร้อมแสงดาวปกคลุมร่างหลบหนีการโจมตีของตะขาบั์
“ฟับ!” ดาบสีครามพลันปรากฏในมือของชิงเซียง จากนั้นนางกวัดแกว่งดาบโจมตีตะขาบั์ แต่เมื่อฟันโดนเปลือกของมันก็เกิดเป็ประกายไฟ
“วี้ด!” ตะขาบั์โดนเย่เฟิงและชิงเซียงโจมตีอย่างต่อเนื่อง มันจึงพิโรธ ก่อนจะพุ่งเข้าหาทั้งสามคนทันที
“หอกดาบก็แทงมันไม่ได้ ศิษย์พี่ พวกเราควรทำอย่างไรดี?” หลันเซียงกล่าวด้วยความเป็กังวล พร้อมเหงื่อแตกพลั่ก
“หาโอกาสฝ่าวงล้อม แม้พวกเราจะฆ่ามันได้ แต่ก็ต้องผลาญพลังไปมากอยู่ดี” ชิงเซียงเผยสีหน้าดูไม่ได้ อำนาจดาบของนางบรรลุขั้นผันแปร่กลาง แต่ก็ยังคงทำอะไรตะขาบั์ไม่ได้ นางจึงรู้สึกหดหู่อยู่ไม่น้อย
“หอกมรณะ!”
ตอนที่ตะขาบั์เลื้อยไปหาชิงเซียง จู่ ๆ เย่เฟิงแทงหอกไปที่ดวงตาข้างหนึ่งของมัน ก่อนจะมีเืสีเขียวมรกตไหลทะลักออกมา ตะขาบั์ต้องตัวสั่นแรงพร้อมส่งเสียงร้องไม่หยุด จากนั้นมันเข้าจู่โจมหลันเซียงอย่างไม่มีสัญญาณใด ๆ ด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
การกระทำของตะขาบั์ทำให้ทั้งสามคนใอย่างมาก หลันเซียงก็ยิ่งตื่นตระหนกกว่าใคร ทว่านางหนีไม่ทัน จึงถูกตะขาบั์เขมือบร่าง
“ศิษย์น้อง!” ชิงเซียงเห็นหลันเซียงถูกตะขาบั์เขมือบก็หน้าขาวซีด จากนั้นตวัดดาบโจมตี แต่ตะขาบั์กลับไม่สนใจรังสีดาบที่ชิงเซียงตวัดโจมตีมา มันเลื้อยหนีออกไปด้วยความเร็วสูง
“สัตว์เดรัจฉาน หยุดนะ!” ดวงตาของชิงเซียงแดงก่ำ นางไม่ฟังคำแนะนำของเย่เฟิง จึงทำให้หลันเซียงถูกตะขาบั์คาบหนีไป นางจึงรู้สึกผิดและเสียใจเป็อย่างมาก
“เป็ความผิดของข้า หากข้าเชื่อเ้า หลันเซียงก็จะไม่เป็ไร!”
ตะขาบั์คาบร่างหลันเซียงหนีไป ทำให้เย่เฟิงและหลันเซียงทำอะไรไม่ได้
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโทษตัวเอง พวกเราตามเ้านั่นไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน บางทีอาจมีวิธีช่วยหลันเซียง” เย่เฟิงปลอบใจชิงเซียง เขาเองก็ไม่คิดว่าจะเกิดเื่เช่นนี้ จึงรู้สึกหนักใจ ถึงอย่างไรหลันเซียงก็เป็คนดี หากเกิดอะไรขึ้นกับนางก็คงน่าเสียใจ
“อืม” ชิงเซียงพยักหน้า จู่ ๆ นางรู้สึกว่าชายหนุ่มตรงหน้าฉลาดเฉียบแหลมกว่าที่นางคิดไว้มาก เพียงแต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา นางไม่เคยสังเกตเห็นเลย
จากนั้นทั้งสองคนไล่ตามตะขาบั์นั่นไปผ่านร่องรอยของมัน ไม่รู้ว่าผ่านมานานเพียงใด จู่ ๆ มีถ้ำแห่งหนึ่งปรากฏที่ด้านหน้า ทั้งยังมีปราณอสูรแผ่ออกมาจากในนั้น
ตะขาบั์เลื้อยเข้าไปในถ้ำด้วยความเร็ว
“ที่นี่น่าจะเป็รังของมัน พวกเราเข้าไปดูเถอะ!” เย่เฟิงกล่าวพร้อมแสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตา จากนั้นพวกเขาทะยานร่างเข้าไปในถ้ำ เมื่อชิงเซียงมองแผ่นหลังตรงหน้า แววตาก็สั่นระริกเล็กน้อย พวกนางศิษย์พี่ศิษย์น้องเจอเย่เฟิงระหว่างทาง แต่เมื่อใดที่พวกนางพบเจอวิกฤตอันตราย เย่เฟิงมักจะโผล่ออกมาช่วยเป็คนแรกเสมอ กระทั่งไม่สนใจความปลอดภัยของตัวเอง นี่ทำให้ภาพลักษณ์ของเย่เฟิงในใจชิงเซียงเปลี่ยนไป
ไม่นานทั้งสองคนก็เข้ามาถึงด้านในของถ้ำ ทั้งสองพบว่าถ้ำแห่งนี้เป็ถ้ำธรรมชาติ พวกเขาค่อนข้างลำบากพอสมควร เนื่องจากภายในถ้ำมีความลึกมาก ส่วนตะขาบั์นั่นก็หายไปโดยไม่เห็นร่องรอยใด ๆ เห็นชัดว่าถ้ำแห่งนี้ใหญ่มากเพียงใด
เย่เฟิงและชิงเซียงมุ่งไปข้างหน้าไม่หยุด จนในที่สุดก็เห็นแสงสว่างที่สว่างขึ้นเรื่อย ๆ อยู่ข้างหน้า เมื่อทั้งสองเข้าใกล้แสงสว่างก็พบว่าที่นั่นเป็รังของตะขาบั์ ที่แห่งนี้อยู่ภายในูเา มีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายร้อยจั้ง ถือว่ากว้างขวางเป็อย่างมาก
“วี้ด!” เมื่อตะขาบั์เห็นเย่เฟิงและชิงเซียงมาก็ส่งเสียงร้องทันที คล้ายส่งสัญญาณว่าไม่ให้ทั้งสองเข้าไปใกล้มัน ซึ่งหลันเซียงนอนอยู่บนพื้นไม่ไกลออกไป บนร่างไร้ร่องรอยของาแ น่าจะเป็ลมหมดสติไป
“เห็นทีเ้ากับข้าต้องกำจัดมัน จึงจะช่วยหลันเซียงหนีออกไปได้” เย่เฟิงกล่าวกับชิงเซียง พร้อมดวงตาเผยประกายคมกริบ
