อวิ๋นสือโม่แสดงสีหน้าไม่พอใจชัดเจน ใบหน้าที่เคยเ็าและถือดี บัดนี้เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอันรุนแรง ความไม่สบายใจปรากฏในสายตา
‘คนคนนี้เป็ห่วงตัวเองอยู่หรือ?’
ฮวาชีเยว่คิดอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ทว่ายังคงรักษาท่าที “ท่านอ๋อง ที่จริงข้าไม่้าให้ท่านอ๋องเข้ามาวุ่นวายเื่ของข้า”
อวิ๋นสือโม่จ้องมองฮวาชีเยว่ไม่วางตา เขาพ่ายนางในศึกปะทะคารมนี้แล้ว อันที่จริงเขาไม่อยากยุ่งเื่ของนางและคิดจะทำเป็มองไม่เห็นเสีย แต่เหตุใดเขาจึงยังคงส่งองครักษ์ลับมาคอยสืบข่าวนางอยู่เสมอได้เล่า?
เขาอาจกำลังหลงใหลบุคลิกอันแปลกประหลาดของนาง หรืออาจแค่กำลังสนใจคนที่กำลังช่วยเหลือนางอยู่ก็เป็ได้
อย่างไรเสีย คนคนนั้นก็เป็คนแปลกประหลาด ทั้งมีเมล็ดหลงแดง ทั้งยังสามารถปลูกได้ทีเดียวเป็แปลง ใช่แล้ว ทั้งหมดนี่เพราะเขาสนใจในบุคคลลี้ลับนี้เท่านั้น เขาถึงทำทีเป็ห่วงใยฮวาชีเยว่!
อวิ๋นสือโม่ยอมรับว่าเขาเป็ชายเห็นแก่ตัว และมันก็เป็ธรรมชาติของมนุษย์ จากนั้นเขาจึงถอนหายใจเบาๆ แล้วยื่นมือไปชิงถ้วยชามาจากมือฮวาชีเยว่
“หากเ้าไปท้าทายฮองเฮา ต่อให้มีสิบชีวิตก็ไม่พอ ดังนั้นจงฟังข้า” อวิ๋นสือโม่กล่าว
ฮวาชีเยว่เลิกคิ้วแล้วจึงทำปากยื่นเมื่อได้เห็นอวิ๋นสือโม่ผู้นี้มีท่าทีอ่อนโยนอย่างกะทันหัน
“ก็ข้าไม่อยากฟังเ้า!”
ทันทีที่นางเอ่ย มือของนางที่ถือถ้วยชาก็ถูกอีกมือหนึ่งบีบแน่น ััอ่อนโยนส่งต่อถึงร่างนางผ่านิั ฮวาชีเยว่เงยหน้าขึ้น มองดวงตาล้ำลึกคู่นั้นอย่างเหม่อลอย
เสียงของนางเมื่อครู่นี้ช่างฟังดูราวกับเสียงง้องอน ทำให้อวิ๋นสือโม่รู้สึกรุนแรงขึ้นมาจนต้องบีบมือนาง!
ในพริบตานั้น ฮวาชีเยว่ก็รู้สึกวิงเวียนขึ้นมา กลิ่นอันแปลกประหลาดเข้าจู่โจมนาง บุรุษเบื้องหน้ากล่าวด้วยสายตาอ่อนโยน “เ้าเหนื่อยแล้ว พักให้สบายเถอะ!”
กล่าวจบ อวิ๋นสือโม่ก็ชิงถ้วยชาในมือนางไปแล้วอุ้มนางขึ้น เขาพานางไปยังห้องหนึ่งด้านใน ห้องนั้นที่ไม่เคยมีใครอาศัยกลับมีอุปกรณ์เช่นผ้าปูนอนอยู่ครบครัน
อวิ๋นสือโม่วางร่างฮวาชีเยว่ลงบนเตียง หลังจากนางผล็อยหลับไปแล้ว เขาก็เฝ้ามองนางอย่างเงียบงัน หลังผ่านไปพักหนึ่งแล้วจึงสั่งการด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ปิงอี่ ตามดูร่องรอยที่ฮองเฮาสืบหาไว้...แล้วทำลายมันทิ้งให้หมด”
ปิงอี่ตอบรับ แล้วจึงรีบจากไป
หนึ่งชั่วยามให้หลัง ลู่ซินและโหย่วชุ่ยจึงทนไม่ไหวแล้วตามเข้ามาในห้อง จากนั้นต่างก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นอวิ๋นสือโม่นั่งอยู่บนเตียงเดียวกันกับคุณหนูของพวกตน
สำหรับพวกนาง บุรุษสตรีัักันล้วนไม่เหมาะสม มิต้องเอ่ยถึงว่าอยู่ในห้องด้วยกันเพียงลำพัง
ทว่าคุณหนูและหนานอ๋องกลับอยู่ด้วยกันถึงหนึ่งชั่วยาม! แม้ว่าผมเผ้าและเสื้อผ้าจะยังดูสะอาดสะอ้านไม่หลุดลุ่ย แต่ลู่ซินและโหย่วชุ่ยก็กลัวที่จะมีใครได้รู้เื่นี้เข้า หาไม่แล้ว...
“คุณหนู...” ลู่ซินอุทานออกมา เมื่อได้ยินเสียงนั้น ฮวาชีเยว่ก็เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ
นางมองไปรอบกายอย่างสับสน แล้วจึงตกตะลึงเมื่อได้เห็นอวิ๋นสือโม่นั่งอยู่ข้างเตียงนางด้วยท่าทีสงบเช่นเคย
‘เขาอยู่ที่นี่คอยเฝ้าข้าหรือ?’ นางคิด
แล้วนางสลบไปได้อย่างไร? หรือเป็เพราะนางได้กลิ่นหอมเย้ายวนที่อวิ๋นสือโม่ปล่อยออกมา?
เช่นนั้นแล้วเขามีเป้าหมายอันใดกันแน่? เมื่อฮวาชีเยว่ตื่นขึ้น อวิ๋นสือโม่ก็ลุกขึ้นแล้วถอยไปหลายก้าว ลู่ซินและโหย่วชุ่ยจึงรีบรุดเข้าหาฮวาชีเยว่แล้วช่วยนางลุกขึ้น “คุณหนู ท่านเป็อะไรไหม?”
ฮวาชีเยว่ส่ายหน้า “ไม่เป็ไร ข้าเพียงแต่เหนื่อย และถูกองค์หญิงฮุ่ยหลิงทำให้หวาดกลัวเท่านั้น”
ได้ยินคำของฮวาชีเยว่ สาวใช้ทั้งสองก็ให้โล่งอก แต่ริมฝีปากของอวิ๋นสือโม่กลับกระตุกแล้วคิด ‘สตรีผู้นี้โกหกได้โดยสีหน้าไม่เปลี่ยน นางเป็ผู้ล่อให้องค์หญิงฮุ่ยหลิงรีบรุดมาที่นี่เอง แต่ตอนนี้กลับมาบอกว่ากลัวหรือ?’
อวิ๋นสือโม่กล่าวกับลู่ซินและสาวใช้นางอื่นเสียงเรียบ “ดูแลคุณหนูของพวกเ้าให้ดี ระวังอย่าให้นางเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาใดอีก”
กล่าวจบอวิ๋นสือโม่ก็หันหลังกลับ ครั้งนี้เขากลับไปจริงๆ เมื่อมองประตูแล้วก็เห็นได้ว่าไม่มีใครหรืออะไรอยู่ ฮวาชีเยว่รู้สึกได้ถึงความประหลาดใจที่โลดขึ้น
‘อวิ๋นสือโม่จะทำให้ข้าหลับไปทำไมกัน’
‘เขามีเป้าหมายอะไรกันแน่?’
“คุณหนู ท่านเป็อะไรไหมเ้าคะ? คุณหนู” ลู่ซินครางเสียงนุ่ม แก้มหน้าแดงน่ารัก “หากผู้อื่นรู้เข้าว่าคุณหนูกับหนานอ๋องอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องแล้ว คงมีผลร้ายเป็แน่...”
ฮวาชีเยว่ไม่คิดจะใส่ใจเื่เช่นนี้แล้ว เพราะอย่างไรเสียนางก็เคยตายแล้วฟื้นมาแล้วครั้งหนึ่ง นางลุกจากเตียงแล้วตัดสินใจกลับไปยังจวนของตนเอง “เช่นนั้นแล้วก็อย่าให้เื่นี้แพร่งพราย อย่างไรเสียข้าก็มิได้สนใจหนานอ๋อง”
“เ้าค่ะคุณหนู พวกเราจะเก็บความลับนี้ไว้”
หนานอ๋องผู้แอบฟังอยู่ในมุมด้านนอกยื่นปากอย่างไม่พอใจโดยไม่รู้ตัว ในใจมีความผิดหวังพลุ่งพล่านขึ้นมา เขายิ้มอย่างอ่อนโยน “นี่ข้ากลายเป็คนไร้ศีลธรรมขนาดมาแอบฟังผู้อื่นไปั้แ่เมื่อไรกัน?”
แล้วหนานอ๋องจึงทะยานขึ้นฟ้าราวนกนางนวล หายลับไปในฟากฟ้า
นับแต่นั้นมา ฮวาชีเยว่ก็รู้สึกได้ว่ามีคนมากมายลอบมองนางอยู่ เมื่อนางออกไปนอกจวน ััก็ยิ่งรุนแรงขึ้น นางรู้ว่าคนพวกนี้มาจากสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งจากฮองเฮา และอีกกลุ่มมาจาก...อวิ๋นสือโม่หรือ?
“เขาจะมายุ่งเื่ของข้าทำไมกัน?” ฮวาชีเยว่ไม่เคยพบคำตอบ ครั้งหนึ่งนางเคยคิดว่าหนานอ๋องคงหลงใหลนางอยู่ แต่คนเ็าเช่นเขาคงไม่หลงใหลสตรีที่ไหนง่ายๆ เป็แน่
แต่ในอนาคต ความจริงคงกระจ่างเองในสักวัน นางจึงค่อยๆ คิดไปสบายใจ อย่างไรเสีย สถานการณ์ก็ยังสงบอยู่ แน่นอนว่ามันเป็เพียงความสงบก่อนพายุ เมื่อใดที่นางมีเวลา ฮวาชีเยว่ก็จะไปฝึกฝนที่โลกของเทียนพี่
มันเป็วันที่แดดจ้าและอบอ้าว และยังมีลูกค้าอยู่มากมายในภัตตาคารต้งไห่ ช่างยุ่งจริงๆ! ต้นหลิวใกล้ที่ฮวาชีเยว่เป็ผู้ปลูกไว้เอนไหวไปตามลมร้อนไม่หยุด
ในภัตตาคารช่างอบอ้าวนัก อบอ้าวเสียจนโจวจื่อเฉิงต้องหนีออกมารับลมบริสุทธิ์ภายนอก แล้วเขาก็ได้เห็นสตรีงามในวัยยี่สิบรูปร่างอวบอัด ใบหน้างดงามหมดจดราวกับภาพวาด โดยเฉพาะดวงตาที่เปล่งประกายคู่นั้น
สตรีผู้นั้นสั่งหยุดเกวียน พ่อบ้านอู๋ก็ออกจากภัตตาคารเพื่อทักทายนาง “คุณหนูหวาง ยินดีต้อนรับอีกครั้งขอรับ”
“พ่อบ้านอู๋ เ้ากับลูกน้องช่วยข้ายกแตงโมเข้าไปในภัตตาคารหน่อยได้หรือไม่เ้าคะ?” สตรีผู้นั้นะโลงจากรถม้าด้วยรอยยิ้มเกรงใจ ยกมือซับเหงื่อที่ส่องประกายบนหน้าผากทิ้งด้วยผ้าเช็ดหน้าปักลายส้มสองผลและเป็ดเล่นน้ำ อันเป็สัญลักษณ์ของคู่รักกลมกลืน
โจวจื่อเฉิงรู้สึกหลงใหลนางขึ้นมาทันที เมื่อเทียบกับองค์หญิงฮุ่ยเจินที่มีสถานะสูงส่งและมองตัวเองว่ายิ่งใหญ่แล้ว สตรีเช่นนี้กลับมีเสน่ห์เป็ที่สุดเนื่องจากดูเข้าถึงได้และยังงดงาม
ผู้ดูแลและลูกน้องช่วยกันยกแตงโมออกจากเกวียน สตรีผู้นี้เป็เด็กส่งของที่คอยส่งผลไม้ให้ภัตตาคารต้งไห่ นางถูกเรียกว่า “แม่นางผลไม้” กล่าวกันว่าแท้จริงแล้วนางเกิดและเติบโตในตระกูลพ่อค้ามั่งคั่ง
แต่พ่อค้าผู้เป็บิดาของนางกลับเสพติดการพนัน ละลายทรัพย์สมบัติไปจนหมดสิ้น นับแต่นั้นคู่หมั้นของฝ่ายหญิงจึงถอนตัว สตรีผู้นี้จึงต้องมีชีวิตอยู่ด้วยการวิ่งส่งผลไม้ด้วยตนเอง
บิดามารดาแก่ชราของนางเองก็มีปากเสียงกันทุกวันไม่รู้จบ นางเลี่ยงการได้ยินเสียงไม่พึงประสงค์เ่าั้ด้วยการทำงาน
โจวจื่อเฉิงอดที่จะลอบมองแม่นางหวางหลายๆ คราวมิได้ หน้าอกอันอวบอัดและรูปร่างโค้งมนของนางดึงดูดสายตาบุรุษมากมาย
“ท่านคือผู้ดูแลโจวหรือ?” สตรีผู้นั้นยิ้มอย่างอ่อนโยนให้โจวจื่อเฉิง แล้วถามเขาเมื่อผู้อื่นขนแตงโมลงมาหมดแล้ว
โจวจื่อเฉิงยิ้มแล้วพยักหน้าหนึ่งครั้ง “ใช่แล้ว แม่นางหวางช่างน่าทึ่ง สตรีทั่วไปล้วนแต่พยายามหลีกเลี่ยงงานเช่นนี้”
เมื่อได้ยิน แม่นางหวางจึงมีท่าทีเอียงอายเล็กน้อย “ข้าต้องหาเงินเองเพราะในบ้านข้าไม่มีใครทำงานไหวแล้ว อย่างไรเสียการมีอะไรให้พึ่งพาก็ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น”
โจวจื่อเฉิงยิ้มอย่างมีความสุขมากขึ้นทันที “ไม่เข้ามานั่งพักหน่อยหรือ?”
“ไม่เป็ไรเ้าค่ะผู้ดูแลโจว ข้ายังต้องไปส่งผลไม้ที่อื่นอยู่อีก”
แม่นางหวางกล่าวด้วยรอยยิ้ม แสดงให้เห็นถึงฟันขาวราวเปลือกหอย ขับความงามของนางให้เด่นชัดยิ่งขึ้นไปอีก
โจวจื่อเฉิงประทับใจในสายลมอันหอมหวานจากตัวนาง เขามองเกวียนของนางที่ค่อยๆ ออกห่างไปไม่วางตาราวกับได้หลงเข้าไปสู่แดนมหัศจรรย์
องค์หญิงฮุ่ยเจินได้เห็นภาพนี้เข้าพอดี นางสวมผ้าคลุมหน้า แต่งกายเหมือนแม่บ้านทั่วไป จึงไม่มีใครมองเห็นและจดจำนางได้
องค์หญิงฮุ่ยเจินมองเกวียนที่จากไปอย่างเ็า พลันกัดเปลือกหุ้มเล็บดัง ‘แกร๊ก’ เมื่อได้เห็นสีหน้าหลงใหลของโจวจื่อเฉิง
ใบหน้าของนางดุดันขึ้น โจวมามารวมถึงทหารเื้ัจึงพร้อมใจกันคุกเข่า “องค์หญิง โปรดระงับอารมณ์ด้วย! เมืองหลวงมีสายลับอยู่มากเกินไป กลับจวนปี่ชุ่ยก่อนเถอะเพคะ!”
จวนปี่ชุ่ยคือที่พำนักที่ฮองเฮาแอบจัดให้นางซึ่งอยู่กลางป่าเขาอันห่างไกล
มันเป็สถานที่ที่งดงามหาใดเปรียบ แต่บริวารเหล่านี้มิอาจทำอะไรได้ ด้วยองค์หญิงฮุ่ยเจินยกชีวิตตนเองขึ้นข่มขู่พวกเขาให้ติดตามนางเข้าสู่เมืองหลวง
“องค์หญิง ตอนนี้...ตอนนี้พวกเรามิอาจกระทำการโดยไม่ยั้งคิดได้เพคะ! เหตุใดจึงไม่กลับไปวางแผนใหม่ที่จวนปี่ชุ่ยก่อนเล่าเพคะ? หากฮองเฮาทรงทราบเื่นี้เข้า ทุกคนคงถูกตัดสินโทษเป็แน่!” โจวมามากล่าวด้วยความหวาดกลัว พวกนางล้วนแต่รับคำสั่งจากฮองเฮาให้ดูแลองค์หญิงให้ดี ทั้งฮองเฮายังตรัสว่าองค์หญิงมิอาจกลับสู่เมืองหลวงได้อีก
มิคาดองค์หญิงกลับบังคับให้ทุกคนตามมาด้วยการนำชีวิตตนขึ้นมาข่มขู่ โจวมามาจึงทำอะไรไม่ได้
ยามนี้ทุกคนตกอยู่ในความหวาดกลัวเพราะองค์หญิงกำลังจะก่อปัญหาอีกครั้ง
“ไสหัวไป! ใครเป็นายเ้ากันแน่? ข้าจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหนก็ได้! ใครยังอยู่ที่นี่ต่อต้องถูกปะา!”
องค์หญิงฮุ่ยเจินหัวเสียเป็อย่างหนัก นางกล่าวเสียงเย็น “ไปเรียกโจวจื่อเฉิงมา!”
เหล่าบริวารมองหน้ากันอย่างหวาดกลัวก่อนออกจากห้องไปอย่างอิดออด ที่นี่เป็ชั้นสี่ของภัตตาคาร และเป็ที่อยู่ของสกุลโจว ดังนั้นที่นี่จึงค่อนข้างปลอดภัยสำหรับองค์หญิง เนื่องจากไม่มีผู้มาเยือนขึ้นมาเท่าใดนัก
หลังจากนั้นไม่นาน โจวจื่อเฉิงก็เปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข เขาได้เห็นองค์หญิงนั่งอิงหน้าต่างอยู่แล้วก็แอบใ “องค์หญิง อย่าอยู่ในจุดที่มองเห็นได้ง่ายพ่ะย่ะค่ะ เพราะตอนนี้ท่านเป็...”
“เพราะข้าเป็อาชญากร เพราะข้าเป็คนตายใช่ไหมล่ะ?” องค์หญิงฮุ่ยเจินหันมามองโจวจื่อเฉิงด้วยสายตาเ็าอย่างกะทันหัน
โจวจื่อเฉิงพลันเหงื่อกาฬไหลพราก เขาส่ายหน้า “ไม่...ไม่ใช่แบบนั้น องค์หญิงอย่าได้โกรธไป เพียงแต่ใน่เวลาพิเศษเช่นนี้ควรระมัดระวังให้มาก”
โจวจื่อเฉิงมีท่าทีเคารพ ไร้ซึ่งความสิเน่หาหรือความหลงใหลที่เคยมี เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้แล้ว องค์หญิงฮุ่ยเจินจึงยิ่งเดือดดาล ก้าวออกหนึ่งก้าวแล้วมองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ “เ้าพูดอะไรกับสตรีเมื่อครู่?”
“อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ?” โจวจื่อเฉิงเงยหน้าอย่างตะลึง มิคาดว่าองค์หญิงฮุ่ยเจินใส่ใจเื่เมื่อครู่
“นางผู้หญิงส่งผลไม้นั่น!”
“อ้อ แม่นางหวางน่ะหรือ? ไม่มีอะไร แค่ทักทายกันเท่านั้น!” โจวจื่อเฉิงหัวเราะ อย่างไรเสียนางก็เป็รักเก่าของเขา หากยามนี้นางเป็อาชญากรเสียแล้ว หากมีใครพบเห็นเข้าเื่ราวย่อมไม่ง่ายดาย
“เจินเอ๋อร์ ลดเสียงลงหน่อยเถอะ! ประเดี๋ยวผู้อื่นจะได้ยินเข้า!”
“กระทั่งเ้าก็ยังเบื่อหน่ายข้าเพราะข้าเป็คนตายใช่หรือไม่?” องค์หญิงฮุ่ยเจินกรีดร้องออกมา โจวจื่อเฉิงเงยหน้าขึ้นอย่างหวาดกลัว เขาจ้องมองนางอย่างตกตะลึง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้