คังเหลียนิเคยเจอผู้คนมาแล้วหลากหลายรูปแบบทั้งในชีวิตประจำวันและในอาชีพการงาน
พวกเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเซี่ยเสี่ยวหลาน เวลาอยู่ต่อหน้าเขาจะพูดให้ชัดทั้งประโยคก็ยังยาก แม้กระทั่งลูกชายกับลูกสาวยังไม่กล้าเถียงเขาด้วยซ้ำ แต่เซี่ยเสี่ยวหลานกลับพูดจาฉะฉานอีกทั้งยังเต็มไปด้วยเหตุผล
เด็กสาวคนนี้มีความทะเยอทะยานในธุรกิจของตัวเอง หากคังเหว่ยผูกมิตรกับคนเช่นนี้ทัศนคติการใช้ชีวิตไปวันๆ ของเขาย่อมเปลี่ยนไปได้อย่างแน่นอน หลังคังเหว่ยฟื้นคืนสติครั้งที่สอง ทั้งที่เขาเพิ่งรอดพ้นจากเงื้อมมือยมทูตมาแต่ก็มิวายเป็ห่วงเื่การเปิดร้านใหม่ คังเหลียนิจึงอยากทำความเข้าใจ ‘ธุรกิจ’ ของคังเหว่ยเสียหน่อย แต่สุดท้ายกลับทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกหวาดระแวงเสียได้
“เธอเข้าใจผิดแล้ว ฉันแค่อยากรู้ว่าพวกเธอทำธุรกิจอะไรกันอยู่... พูดแบบนี้ก็แล้วกัน ธุรกิจของพวกเธอมีความขัดแย้งอะไรกับเครือเชิงหรงหรือไม่”
คำถามของคังเหลียนิทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกใเป็อย่างมาก นี่คือสิ่งที่เธอไม่เคยนึกถึงมาก่อน
คังเหลียนิกำลังกลัวว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็สิ่งที่ตู้เ้าฮุยจงใจก่อเหตุขึ้นอย่างนั้นหรือ?
“เื่ธุรกิจไม่มีความขัดแย้งอะไรกันค่ะ พวกเราค้าขายวัสดุก่อสร้างทุกประเภทเป็หลัก ในขณะที่โครงการการลงทุนของเครือเชิงหรงใหญ่โตมาก ร้านเล็กๆ อย่างพวกเราอยากได้คำสั่งซื้อจากโครงการที่เครือเชิงหรงลงทุนยังเป็ไปได้ยากเลย ดังนั้นพวกเราไม่มีทางขัดผลประโยชน์อะไรกับพวกเขาได้หรอกค่ะ แต่ถ้าคุณอาหมายถึงความแค้นส่วนตัว ฉันกับตู้เ้าฮุยเคยปะทะคารมกันมาบ้าง ทว่าไม่ใช่เื่ร้ายแรงอะไร คงไม่ถึงกับทำให้ตู้เ้าฮุยต้องมาฆ่าแกงกันแน่นอนค่ะ”
ตู้เ้าฮุยต้องเป็บ้าไปแล้วน่ะสิถึงคิดจะฆ่าคนที่เผิงเฉิง
ตระกูลตู้วุ่นวายเสียขนาดนั้น ตู้เ้าฮุยต้องแก่งแย่งชิงดีกับคนอื่นในตระกูล กว่าจะหาวิธีไล่หลิวเทียนเฉวียนไปได้ก็ไม่ง่ายเลยทีเดียว ปัจจุบันที่เผิงเฉิงตู้เ้าฮุยมีอำนาจเบ็ดเสร็จ มีหรือที่เขาจะไม่ตั้งใจทำธุรกิจ แค่เพราะเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ยอมไปอยู่ฮ่องกงตามที่เขาแนะนำเลยคิดอยากจะฆ่าเธออย่างนั้นรึ?
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าคุณชายใหญ่ตู้เป็พวกหลงตัวเองแต่ไม่ถึงกับโง่เง่าเช่นนั้น ดูจากวิธีที่เขาจัดการกับหวังก่วงผิงแล้ว เห็นได้ชัดว่าตู้เ้าฮุยเป็คนเ้าเล่ห์ที่ชาญฉลาดมากทีเดียว
เื่การแข่งขันทางธุรกิจยิ่งเป็ไปไม่ได้ ทุกโครงการของเครือเชิงหรงมีมูลค่าหลักร้อยล้านหยวนทั้งสิ้น จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ของปี 1985 ผลประกอบการของอันเจียวัสดุคือหกแสนกว่าหยวนเท่านั้น และต่อให้ขายร้านทั้งร้านก็ยังได้เงินไม่พอซื้อรถเบนส์ลีย์ที่ตู้เ้าฮุยนั่งด้วยซ้ำ
คังเหลียนิไม่ได้ซักไซ้เกี่ยวกับเื่นี้ต่อ แต่ถือโอกาสนี้ถามถึงกิจการของร้านวัสดุก่อสร้างอย่างละเอียด
เปิดร้านเพียงสี่เดือนได้ผลประกอบการหกแสนกว่าหยวน คังเหว่ยถือหุ้นอยู่ในมือจำนวน 20% ครั้งนี้เขาจึงได้รับเงินปันผลมาสองหมื่นหยวน จากแง่ของค่าตอบแทน เงินจำนวนนี้เท่ากับเงินเดือน 4 ปีของคังเหลียนิเลยทีเดียว มิน่าเล่าคังเหว่ยถึงได้ทุ่มเทเต็มที่เช่นนี้ เพิ่งถูกรถชนก็คิดถึงเื่เปิดร้านสาขาใหม่เสียแล้ว
คังเหลียนิอยากให้คังเหว่ยมีชีวิตที่สุขสบายยิ่งกว่านี้ แต่เขากลับลืมไปว่าคนหนุ่มสาวไม่สามารถหลีกเลี่ยงการถูกเปรียบเทียบได้
เพื่อนที่โตมากับคังเหว่ยอย่างเส้ากวงหรงนั้นตั้งใจทำงานมาก รวมถึงโจวเฉิงที่มีอายุเท่ากับคังเหว่ย แต่เขากลับได้รับตำแหน่งในหน้าที่การงานสูงเช่นนั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไรแต่ละคนล้วนเก่งกว่าคังเหว่ยทั้งสิ้น... ตอนนี้พอมีโอกาสได้แสดงความสามารถของตัวเอง คังเหว่ยจึงคว้าเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าคังเหว่ยตกแต่งบ้านใหม่ คังเหลียนินึกว่าผู้ใหญ่ที่บ้านเป็คนช่วยออกเงินให้ ตอนนี้ดูท่าจะเป็เงินที่คังเหว่ยหามาได้เอง เมื่อครั้งที่เขาอยู่กับโจวเฉิง คังเหว่ยก็หาเงินได้จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่หากเขาสั่งห้ามไม่ให้คังเหว่ยมาเผิงเฉิงคงต้องถูกตราหน้าเพิ่มอีกอย่างคือ ขัดขวางหนทางร่ำรวยของหลานชายน่ะสิ
เซี่ยเสี่ยวหลานนึกว่าคังเหลียนิจะพูดอะไรต่อ ทว่าหลังคังเหลียนิคิดอยู่นานก็ถามออกมาว่า
“เคยคิดอยากขยับขยายร้านให้ใหญ่ขึ้นหรือเปล่า”
เห็นตู้เ้าฮุยคิดว่าตนมีเงินแล้วสามารถทำอะไรก็ได้ คังเหลียนิก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด ร้านวัสดุก่อสร้างที่คนหนุ่มสาวร่วมหุ้นกันเปิดกิจการ เริ่มจากศูนย์จนกระทั่งมีผลประกอบการต่อปีเป็หลักล้านต่างหากถึงจะน่านับถือ คังเหลียนิคิดว่าร้านวัสดุก่อสร้างเติบโตช้าเกินไป เครือเชิงหรงสะสมทรัพย์สินเงินทองมาหลายสิบปีถึงจะมีวันนี้ หาก้าให้คังเหว่ยไล่ตามให้ทันในระยะเวลาอันสั้นคงไม่สามารถเป็ไปได้ นั่นเป็เพราะร้านของคังเหว่ยออกจะเล็กเกินไปน่ะสิ
เซี่ยเสี่ยวหลานอ้าปากค้างตาโต “คุณอาหมายความว่า?”
“ฉันหมายความว่า ฉันสามารถให้ความช่วยเหลือที่ไม่มากเกินไปได้ และแน่นอนว่าเธอต้องปิดเื่นี้ไว้ไม่ให้คังเหว่ยรู้ด้วย”
เซี่ยเสี่ยวหลานถูกคังเหลียนิทำเอามึนงงไปหมด เขาไม่ได้้าให้คังเหว่ยถอนตัวจากธุรกิจ แต่เขา้าช่วยขยายกิจการอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็เช่นนี้ทำไมถึงไม่บอกกันตรงๆ เล่า จะปิดบังคังเหว่ยไปทำไมกัน... ไม่ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะยอมรับความช่วยเหลือจากคังเหลียนิหรือไม่ แต่จุดเริ่มต้นที่เกิดขึ้นก็คือความหวังดีของคังเหลียนิ ถ้าเป็เช่นนั้นก็ควรบอกให้คังเหว่ยรับรู้มิใช่หรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าการสื่อสารของสองอาหลานคู่นี้มีปัญหาบางอย่าง
“คุณอาคัง ขอโทษด้วยนะคะ ฉันเป็แค่หนึ่งในหุ้นส่วนเท่านั้น ไม่ว่าคุณอาอยากให้ความช่วยเหลือในด้านไหน ฉันก็จำเป็ต้องแจ้งกับผู้ถือหุ้นคนอื่นเสียก่อน และคังเหว่ยเองก็เป็หนึ่งในผู้ถือหุ้นที่ฉันต้องขอคำปรึกษา คุณอาคงเข้าใจความหมายของฉันใช่ไหมคะ”
เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังรู้สึกระแวง
โลกนี้ไม่มีคำว่าให้โดยเปล่า เซี่ยเสี่ยวหลานกลัวว่า ‘ความช่วยเหลือ’ ของคังเหลียนิจะมีเงื่อนไขบางอย่างแอบแฝง อย่างเช่นการขับไล่คังเหว่ยออกจากร้านวัสดุ
คนอย่างคังเหลียนิคงไม่มีความคิดแปลกประหลาดเช่นนั้น แต่เขามีความคิดที่ลุ่มลึก เซี่ยเสี่ยวหลานคุยกับคนประเภทนี้จึงมักจะระมัดระวังตัวเป็พิเศษ เพราะเพียงเพื่อบรรลุเป้าหมายบางอย่าง ทุกครั้งที่พวกเขาเดินหมากหนึ่งครั้ง มักจะคิดล่วงหน้าไว้แล้วว่าควรเดินต่อไปอย่างไร
คังเหลียนิไม่ตอบอะไร เขาเพียงเม้มปากตามความเคยชินอีกครั้ง
“นักศึกษาเซี่ย คุณคงเข้าใจความหมายของหัวหน้าผิดไป...”
เลขาของคังเหลียนิเพิ่งเอ่ยปากก็เห็นเซี่ยเสี่ยวหลานจ้องตรงมาที่เขา
ไม่สิ มองข้ามไปทางด้านหลังของเขาต่างหาก!
เลขาของคังเหลียนิหันหลังกลับไปมอง ก่อนที่เขาจะเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังก้าวเท้าตรงมาอย่างรวดเร็ว ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีมาก แม้แต่ผู้ชายด้วยกันเห็นแล้วยังต้องขอยอมแพ้ ใครบอกว่าผู้ชายไม่ดูกันที่หน้าตา สหายหนุ่ม้าความเจริญก้าวหน้า แน่นอนว่าหน้าตาหล่อเหลาก็มีส่วนช่วยเช่นกัน ทั้งยังไม่เคยขาดเพศตรงข้ามคอยตามจีบ ไม่ว่าจะเป็สมัยโบราณหรือปัจจุบันล้วนแล้วแต่มีหญิงสาวรายล้อม
“อารองคัง”
โจวเฉิงที่อยู่ในชุดไปรเวทเดินตรงมาพร้อมทั้งเอ่ยทักทาย คังเหลียนิพยักหน้ารับ “ไม่ถือว่ามาช้านัก”
โจวเฉิงมาแล้ว คำพูดบางอย่างของคังเหลียนิจึงไม่สะดวกจะพูดอีกต่อไป เขาจึงพาเลขาของตนปลีกตัวไปทางอื่น เซี่ยเสี่ยวหลานอยากซ่อนมือตัวเองเหลือเกิน แต่ถึงแม้จะสามารถซ่อนมือไว้ได้ แล้วใบหน้าจะทำอย่างไรเล่า?
พระเ้าช่วย ใบหน้าบวมช้ำที่เธอเพิ่งส่องดูในกระจกถูกโจวเฉิงเห็นเข้าอย่างจัง!
“อย่าหลบสิ ขอฉันดูหน่อย”
แผลที่หน้าออกจะน่ากลัวไปสักหน่อย
โจวเฉิงพูดตามตรงว่า หากตอนเจอเซี่ยเสี่ยวหลานครั้งแรกเธอมีใบหน้าเช่นนี้ คงยากที่เขาจะตกหลุมรักเธอั้แ่แรกพบ ทว่าตอนนี้เขารู้จักกับเซี่ยเสี่ยวหลานมานานจนเลิกให้ความสำคัญกับเื่รูปร่างหน้าตาไปนานแล้ว เขาชอบเซี่ยเสี่ยวหลาน ชอบั้แ่หัวจรดเท้า ความชอบเริ่มต้นที่หน้าตา แต่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เท่านั้น!
ไม่ว่าจะเป็นิสัยของเซี่ยเสี่ยวหลาน ความกระตือรือร้นที่อยากพัฒนาตัวเอง ความดื้อรั้นที่ทำให้เขาต้องปวดหัวของเธอ ทั้งจุดดีและจุดด้อยล้วนเป็สิ่งที่โจวเฉิงชื่นชอบทั้งสิ้น ไม่สิ ว่าที่ภรรยาของเขาไม่มีจุดด้อยเสียหน่อย
โจวเฉิงประคองใบหน้าเธอไว้ไม่ให้หลบไปไหน
ขอเพียงไม่ต้องสูญเสียเสี่ยวหลานไป หน้าตาของเธอจะเป็อย่างไรโจวเฉิงก็ไม่สนใจ!
พอคิดถึงอาการใจสั่นตลอด่บ่ายของเมื่อวานนี้แล้วโจวเฉิงก็รู้สึกกลัว หลังมองใบหน้าของเธออย่างละเอียด โจวเฉิงก็ก้มลงจูบหน้าผากมนเบาๆ “ไม่ต้องหลบหน้าฉัน ไม่ว่าอย่างไรเธอก็สวยที่สุดในใจฉันเสมอ ที่สำคัญคือเธอปลอดภัยดี”
ครูฝึกไม่ได้โกหกเขา เซี่ยเสี่ยวหลานยังสามารถยืนพูดคุยได้ ร่างกายของเธอก็มีแค่แผลถลอกเท่านั้น
ตอนทราบข่าวโจวเฉิงยังรู้สึกไม่วางใจ จำเป็ต้องมาให้เห็นกับตาตัวเองถึงจะสบายใจได้ เขาไม่ติดใจเื่แผลที่หน้า สิ่งที่เขาสนใจคือเซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกเจ็บหรือไม่
“โจวเฉิง?!”
กวนฮุ่ยเอ๋อได้ยินจากคังเหลียนิว่าโจวเฉิงมาที่โรงพยาบาลก็รีบวิ่งออกมาดู และก็ได้พบลูกชายกำลังสวีทหวานกับเซี่ยเสี่ยวหลานตามคาด
นี่โจวเฉิงขอลาหยุดได้อย่างไรกัน เขาคงไม่ได้แอบหนีออกมาเองหรอกใช่หรือไม่?
กวนฮุ่ยเอ๋อรู้สึกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานช่างเคราะห์ร้ายยิ่งนัก แต่ถ้าโจวเฉิงยอมทำผิดกฎเพื่อเซี่ยเสี่ยวหลานล่ะก็ กวนฮุ่ยเอ๋อคงไม่อาจดีใจได้อย่างเต็มที่