นับแต่วันที่หลานเยว่เลือกเผยตัวตนต่อสายตาผู้อื่น...จวนของนางก็ไม่เคยเงียบสงบอีกเลยเมื่อไม่กี่วันก่อน ชายผู้เป็พ่อของลูกบุรุษผู้ต่ำช้าดั่งเศษสวะ ย่างกรายเข้าสู่เขตจวนพร้อมโทสะรุนแรงและในวันนี้...ชายอีกคนหนึ่งก็มาเยือนเช่นกันไม่ใช่ใครอื่น หากแต่คือท่านแม่ทัพหลานซือเหยียนผู้เป็บิดาโดยสายเืแต่ไม่เคยทำหน้าที่ของคนเป็พ่อเลยแม้สักครา
ท้องฟ้าในยามนั้นปกคลุมด้วยหมู่เมฆหนาทึบ อึมครึมจนคล้ายเงาของโชคชะตาราวกับธรรมชาติก็รับรู้ถึงการมาถึงของผู้ที่หลานเยว่าไม่้าต้อนรับเมื่อหลานซือเหยียนยืนอยู่เบื้องหน้าประตูจวนเขาเอ่ยถ้อยคำด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่กร่าง ไม่ข่ม “ช่วยแจ้งนางที ว่าข้าประสงค์จะพบ”
แต่สิ่งที่พบคือสายตาเ็าของทหารยามไม่มีแม้แววเคารพหรือยำเกรงในแววตาพวกเขามีเพียงความนิ่งเฉียบ เย็นะเื ราวกับไร้ิญญา
“เ้าพวกนี้...มันอะไรกัน?” แม่ทัพหลานคิดในใจอย่างสงสัยต่อให้เคยยืนกลางสนามรบ หรือจ้องตาศัตรูนับพัน เขาก็ยังไม่อึดอัดเท่าตอนนี้เหล่าทหารตรงหน้าราวกับมีไอสังหารซ่อนเร้นพวกมันนิ่งเกินไป...มั่นคงเกินไป...จนไม่อาจเรียกว่าทหารยามธรรมดาได้เลยหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ“โปรดรอสักครู่”
แม้ท่วงท่าจะสุภาพเรียบร้อย แต่ความรู้สึกไม่ไว้วางใจก็ยังทวีขึ้นหลานซือเหยียนรับรู้ได้ชัดชายเหล่านี้คือ กำแพงเหล็ก ที่ยากจะฝ่าและอาจเป็มือสังหารในคราบผู้คุ้มกันแล้วประตูก็เปิดออกอย่างเงียบงัน
หลานเยว่ปรากฏกายอย่างสง่างามแม้เพียงก้าวเดินก็ยังแฝงไว้ด้วยอำนาจที่ไม่ต้องเปล่งเสียงนางมองชายตรงหน้าด้วยแววตาเยือกเย็น ห่างเหินดวงตาคู่นั้นไม่มีแม้เงาความผูกพันหลงเหลือสำหรับนาง เขาไม่ใช่บิดาแต่เป็เพียงผู้มีสายเืเดียวกันโดยบังเอิญเท่านั้น
“ข้าก็นึกว่าใคร...ที่แท้ก็ท่านแม่ทัพผู้ทรงเกียรติ” เสียงของนางนุ่มนวล ทว่าเ็าอย่างไม่เหลือเยื่อใยหลานซือเหยียนชะงักเล็กน้อยดวงตาไหววูบ ขณะที่ความรู้สึกบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ“เอ่อ...ข้าแค่...มาเยี่ยมเ้าเท่านั้น”
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรเริ่มต้นบทสนทนาอย่างไรเพราะในอดีต เขาไม่เคยมองนางเป็อะไรมากไปกว่าสิ่งไร้ค่าเด็กสาวที่เขาทอดทิ้งไว้เื้ั ราวกับว่าไม่มีอยู่ในโลกใบนี้เหตุผลที่เขากลับมาในวันนี้ ก็ไม่ใช่เพราะคิดถึงหรือสำนึกผิดแต่เพราะเด็กชายคนหนึ่งบุตรของนางเด็กคนนั้น...มีบางอย่างที่ดึงดูดเขาใบหน้าช่างละม้ายกับเขาในวัยเยาว์ดวงตาสดใส ทอแววฉลาดเกินวัย และแฝงพร์ที่ยากจะหาได้แม้ในหมู่ชนชั้นสูง
“เด็กคนนั้น...น่าประหลาดใจนัก” เขาคิดในใจแต่สิ่งที่เขากลับไม่คิดไตร่ตรองเลยสักนิดคือหญิงตรงหน้า...ผู้เป็แม่ของเด็กคนนั้นนางมิใช่คนเดิมและมิใช่ผู้ที่เขาจะมองข้ามได้อีกต่อไป
“เชิญเข้ามาด้านในก่อน” หลานเยว่เอ่ยเสียงเรียบนิ่ง ไร้แววอารมณ์ใดเจือปนในห้วงเวลานี้ จิตใจของนางหาได้มีความผูกพันใดหลงเหลือให้ชายตรงหน้าอีกแล้วคำเชิญที่กล่าวออกไป...มิได้เกิดจากมารยาท หรือความเคารพหากแต่เกิดจากความคิดอันเยียบเย็นบางที ชายผู้นี้...อาจจะยังมีประโยชน์
ขณะทั้งสองเดินเข้าสู่ลานกลางของจวนเสียงหัวเราะใสก็ดังแว่วมาจากเบื้องหน้า หลานจิ่วอวิ๋น บุตรชายของนาง กำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานกับบ่าวรับใช้บนลานกว้างแววตาของเด็กชายทอประกายสดใส บริสุทธิ์ใบหน้าเปื้อนยิ้มไร้เดียงสาในแสงแดดยามบ่ายช่างงดงามยิ่งนัก
สายตาของแม่ทัพหลานซือเหยียนทอดมองไปยังหลานชายแต่ไกลหัวใจของเขาเต้นสะดุดเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัวเขาไม่ใช่คนที่ชอบเด็กแต่เด็กชายตรงหน้านั้น...มีบางอย่างที่ทำให้เขาอยากยื่นมือเข้าไปอุ้มไว้แนบอก
ไม่ใช่เพราะความน่ารักแต่เพราะในดวงตาและท่วงท่าเขาเห็น พร์ ที่น่าอัศจรรย์ซ่อนอยู่ ในตอนนั้นเอง เด็กชายก็หันมาเห็นผู้มาเยือนหลานจิ่วอวิ๋นชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะรีบวิ่งมาหาแม่ของตนด้วยความคุ้นเคย
“ท่านแม่ ชายผู้นี้เป็ใครหรือ?” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความใสซื่อ ไร้เดียงสา หลานเยว่เหลือบตามองชายวัยกลางคนที่ครั้งหนึ่งเคยทอดทิ้งตนด้วยแววตานิ่งสงบก่อนจะหันกลับมายิ้มให้บุตรชายอย่างอ่อนโยน พร้อมตอบคำถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เขาเป็เพียงชายชราที่หลงทาง และกระหายน้ำแม่จึงเชิญเขาเข้ามาลูกไปวิ่งเล่นกับบ่าวก่อนนะ เพราะแม่ยังมีธุระที่ต้องจัดการ”
แม่ทัพหลานซือเหยียนถึงกับสะอึกเล็กน้อยคำว่า ชายชราที่หลงทาง ฟังดูเรียบง่ายแต่สำหรับเขา มันแทงลึกกว่าคำดูแคลนใด ๆ เขายืนนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะฝืนยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าที่เริ่มมีริ้วรอยตามวัยส่งยิ้มให้หลานชายผู้น่ารักที่เขาแทบไม่รู้จักมาก่อนเลยในชีวิตนี้
“ขอรับ ท่านแม่” หลานจิ่วอวิ๋นพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายก่อนจะหันไปจับมือบ่าวรับใช้ และเดินจากไปอย่างรู้หน้าที่เหล่าผู้ติดตามที่เฝ้ามองอยู่เงียบ ๆ ก็รู้โดยไม่ต้องเอ่ยคำใดว่าเวลานี้...มิใช่เวลาของเด็ก
แสงแดดอ่อนยามบ่ายสาดลอดเรือนไม้กลางน้ำพื้นศาลาริมทะเลสาบสะท้อนเงาคลื่นระลอกบาง ซัดกระทบกันอย่างแ่เบาสองเงาร่างนั่งเคียงกันอยู่ที่มุมหนึ่งของศาลาระหว่างพวกเขา…มีเพียงความเงียบ กับระยะห่างที่มองไม่เห็นแต่หนักอึ้ง
เสียงหัวเราะของเด็กน้อยดังก้องแว่วมาจากลานกว้างคล้ายจะช่วยคลี่คลายบรรยากาศ หากแต่กลับทำให้เงียบในใจของผู้ใหญ่ทั้งสอง ยิ่งเงียบงันกว่าเดิมแม่ทัพหลานซือเหยียนทอดสายตามองบุตรสาวใบหน้าเงียบสงบไม่ต่างจากผิวน้ำที่รายล้อม หากแต่ภายใต้ท่าทีสงบของนาง เขารู้ดีมีพายุลูกใหญ่ซ่อนอยู่
เขาสูดลมหายใจลึก เอ่ยคำที่ไม่เคยคิดว่าจะพูดออกมาในชีวิตนี้“หลานเยว่...ลูกพ่อ”เสียงของเขาแหบพร่า เบาราวสายลม“พ่อมาวันนี้...เพียงเพื่อขอโทษเ้า”
ถ้อยคำง่าย ๆ แต่กลับหนักราวภูผาในอกของเขาเพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาไม่เคยเรียกตนเองว่าพ่อ และไม่เคยเอ่ยเรียกนางว่า ลูก สำหรับเขาแล้ว หลานเยว่คือผลพวงจากความพลั้งเผลอกับหญิงรับใช้คนหนึ่งเด็กสาวที่ไม่มีพร์ ไม่มีชาติกำเนิด ไม่มีค่าควรแก่การเหลียวมองเขาปล่อยให้นางเติบโตมาในเงามืดอย่างไร้ความหมาย...จนวันที่เขาเลือกส่งนางไปเป็เครื่องบรรณาการในคราบ สาวอุ่นเตียง
หลานเยว่ไม่ตอบทันทีเพียงหันมามองเขา แววตาเรียบเฉย หากแต่คมกริบเยียบเย็น
“ข้าไม่รับ”นางกล่าวเรียบเสียง แต่หนักแน่นจนใจคนฟังะเื“ข้าไม่มีคนไร้ยางอายเช่นเ้าเป็พ่อ”
เขาชะงัก ใจสั่นวูบแต่เธอยังไม่จบ
“ข้าอยากรู้เหลือเกิน...ในวันนั้น เ้าคิดอะไรอยู่?”น้ำเสียงของนางไร้เยื่อใย ราวกำลังย้อนรำลึกชะตาของใครบางคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง“เ้าถึงได้ส่งข้าไปให้กับมัน ราวกับข้าเป็วัตถุสิ่งหนึ่ง”
“และในวันที่ข้าถูกเขาเขี่ยทิ้ง ถูกเหยียบย่ำเหมือนเศษฝุ่นใต้ฝ่าเท้าเ้าหายหัวไปไหนตลอดห้าปีที่ผ่านมา?”
คำถามที่ทิ่มแทงจิตใจแม่ทัพหลานซือเหยียนอย่างเฉียบขาดริมฝีปากเขาขยับเล็กน้อยดวงตาแดงเรื่อ ราวกับไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไร “ข้า...ข้า...”
เพียงถ้อยคำสั้น ๆ แต่ก็ไม่มีประโยคใดตามมาสิ่งที่เคยทำลงไปในอดีต กลับกลายเป็ห่วงเหล็กที่รัดลำคอเขาไว้แน่น และในสายตาของหลานเยว่ตอนนี้เขา...ก็เป็เพียงชายชราไร้ค่า ที่นางไม่เคยนับญาติด้วย