ร่างฝาแฝด!
ในอดีตฉินอวี่เคยเห็นมาก่อนแล้วในตำราโบราณของหอตำราสำนักเทียนฉี
ในตำราโบราณได้บรรยายไว้ว่า “เดิมแท้หนึ่งชะตา ถือกำเนิดสองร่าง สองจิตผูกพัน ชีวิตเกิดมาคู่เคียงกัน นี่คือร่างฝาแฝด เรียกได้ว่าได้รับความรักเดียวแห่ง์”
คำอธิบายเกี่ยวกับร่างฝาแฝดนั้นมีอยู่ไม่มากนัก แต่ประโยคท้ายสุดบอกไว้ว่า “ได้รับความรักเดียวแห่ง์” กลับเป็สิ่งที่มีความหมายลึกซึ้งยิ่งนัก
ฉินอวี่ระงับความคิดที่อยู่ในใจเอาไว้ และพูดอย่างเฉยเมย “เวลาเหลือไม่มากแล้ว พวกเรารีบเข้าไปด้านในกันก่อน เดินทางไปคุยไปเถอะ ข้ายังมีข้อสงสัยอยู่บ้าง จะต้องขอให้ศิษย์พี่ทั้งสองช่วยชี้แนะ”
แล้วกลุ่มคนทั้งสี่ก็ค่อยๆ เดินเข้าสู่ส่วนลึกของเขตต้องห้าม
ระหว่างทาง ฉินอวี่ได้นำความสงสัยที่อยู่ในใจถามออกมา หยางเต้าเป็คนที่พูดทุกสิ่งที่เขารู้ และพร้อมอธิบายอยู่ตลอดเพื่อแก้ข้อสงสัยของฉินอวี่
ตามที่หยางเต้าได้กล่าวเอาไว้ พวกเขาได้รอดพ้นจากกระแสอสูร พวกเขาทั้งสองจึงพบว่าอสูรร้ายทั้งหมดต่างมีต้นกำเนิดมาจากเขตต้องห้ามทางตอนเหนือทั้งสิ้น ดังนั้นพวกเขาจึงมุ่งหน้าสู่ตอนเหนือของเขตต้องห้ามเพื่อตรวจสอบสิ่งนี้
ยิ่งลึกเข้าไปเท่าไร ผืนดินก็ยิ่งเป็หลุมบ่อมากขึ้น ร่องรอยของรอยแตกขนาดใหญ่เกิดเป็ทางน้ำหลายสายแผ่กระจายไปทั่วผืนดิน ทางน้ำเหล่านี้ล้วนแต่มีเปลวไฟที่หนาทึบปรากฏขึ้นมา เมื่อชำเลืองมองไปจะเห็นช่องว่างปรากฏ มันเป็ดั่งทะเลเพลิง และบนอากาศก็มีรอยวิถีทำลายล้างเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อุณหภูมิที่สูงขึ้นแผ่ซ่านไปทั่วพื้นที่จนคนทั้งสี่เริ่มรับไม่ไหว
ในท้ายที่สุด ฉินอวี่ก็เรียกเพลิงแอ่งธรณีออกมาปกคลุมร่างกาย ส่วนฉือเซียวก็เรียกเพลิงวิเศษของฟ้าดินที่เขามีออกมาเช่นกัน หยางเทียนก็มีแสงสีครามปกคลุมอยู่รอบตัว ราวกับกระบี่สีคราม ส่วนทางหยางเต้าได้มีลำแสงสีดำอันประหลาดแผ่ออกปกคลุมทั่วร่าง ในตอนนี้ทั้งสี่คนต่างร่ายพลังเวทของตนเองและเดินเข้าไปด้านในอย่างช้าๆ
ในวันที่สาม
“เวิง!”
พื้นที่ส่งเสียงดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทั่วทั้งผืนดินสั่นะเื ซึ่งดูเหมือนมีเหล่าทหารกว่าพันนายกำลังควบม้ามุ่งหน้าเข้ามา
ทั้งสี่คนหยุดลงอย่างกะทันหัน ทุกคนต่างมองไปโดยรอบด้วยความสงสัย ท้ายที่สุดก็มองไปในทิศทางรอบนอก และนั่นก็ทำให้แต่ละคนต่างประหลาดใจอย่างยิ่ง
“แย่แล้ว!” ทันใดนั้นฉือเซียวก็ส่งเสียงดังขึ้น มโนจิตของเขารู้สึกได้ถึงอสูรร้ายกลุ่มหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปกว่าสิบลี้ กำลังมุ่งหน้าเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง สิ่งที่ทำให้ฉือเซียวต้องตกตะลึงคือ อสูรร้ายเหล่านี้ดูเหมือนกำลังตามไล่ล่ากลุ่มคนกลุ่มหนึ่งอยู่ ซึ่งในคนกลุ่มนั้นมีฉู่สยงรวมอยู่ด้วย
“อสูรร้ายสูงสุดในระดับสี่จำนวนสิบห้าตัว พวกเขาไปทำอะไรกันมากันแน่?” หยางเต้าหรี่ตามองออกไปด้านนอก และพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
ในส่วนลึกของเขตต้องห้าม มีอสูรร้ายสูงสุดในระดับสี่จำนวนสิบห้าตัว แม้ว่าจะร่วมมือกันก็น่าจะยากที่จะรับมือ อีกทั้งถ้าเข้าร่วมสู้กับพวกมัน ก็จะเป็การดึงดูดอสูรร้ายที่อยู่ในส่วนลึกของเขตต้องห้ามมากขึ้น ถึงตอนนั้น... คงต้องสู้จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดอย่างแน่นอน
“พวกเขากำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเรา หรือพวกเขาจะรู้ว่าพวกเ้าสองคนเข้ามาที่นี่แล้ว? แล้วคิดจะโยนหายนะมาให้พวกเ้า?” หยางเทียนหันกลับไปมองฉินอวี่และฉือเซียว
ฉินอวี่ขมวดคิ้วแน่น หลังจากก้าวเข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สองมา มโนจิตของเขาก็ครอบคลุมรัศมีถึงแปดสิบลี้ จึงทำให้เขาสามารถตรวจพบกลุ่มของฉู่สยงเช่นกัน เพียงแต่ นอกจากพวกฉู่สยงแล้วยังมีศิษย์อีกสามคนที่ยังไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่รู้สึกเหลือเชื่ออย่างยิ่งคือ อสูรร้ายทั้งสิบห้าตัวนั้นต่างล้อมเข้ามาเป็ครึ่งวงกลม ดูเหมือนจะมีเจตนาบีบให้พวกฉู่สยงเข้าไปยังส่วนลึก อสูรร้ายเหล่านี้มีอสูรร้ายประเภทอัคคีที่มีความดุร้ายมากอยู่ตัวหนึ่ง อีกทั้งมันยังอยู่ในระดับห้าที่มีความรวดเร็วอย่างมาก หากพวกมัน้าสังหารพวกฉู่สยงคงไม่จำเป็ต้องตามไล่ล่า แค่พริบตาเดียวก็คงสามารถจัดการกับพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์
“ดูเหมือนว่าอสูรร้ายจะมีเจตนาบีบพวกเขาให้เข้ามาทางนี้ นี่มันเื่อะไรกันแน่?” ฉินอวี่ตกตะลึง แท้จริงแล้วพวกฉู่สยงไม่ใช่คนควบคุมทิศทาง แต่กลับเป็อสูรร้ายที่ตามหลังมา หากพูดตามตรง ฉู่สยงและพวกเปรียบเหมือนเรือลำหนึ่ง ที่มีอสูรร้ายที่ไล่ตามมาเป็ฝีพาย!
“พวกเราไปกันเถอะ อย่าหาเื่ใส่ตัวกันดีกว่า!” หยางเทียนพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ ในสถานการณ์เช่นนี้จะมาห่วงเื่มิตรภาพในสำนักได้อย่างไร? รักษาชีวิตไว้ก่อนย่อมสำคัญที่สุด เมื่อเข้าส่วนลึกของเขตต้องห้ามแล้ว หลายเื่ไม่อาจช่วยกันได้ มีแต่เพียงหลบเลี่ยงเท่านั้น
“ไม่มีประโยชน์หรอก! จากความเร็วของพวกมันคิดว่าไม่นานคงตามพวกเราทัน หากพวกเราเข้าไปในส่วนลึกมากขึ้น ความอันตรายก็คงจะมากขึ้นเช่นกัน ทางที่ดี พวกเราควรจะเริ่มสังหารอสูรร้ายเหล่านี้ให้หมด อีกทั้ง... อสูรร้ายเ่าั้ก็น่าจะััได้ถึงพวกเราแล้วด้วย” ฉินอวี่กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ หากถูกอสูรร้ายไล่ตามเข้าไปด้านใน ทุกอย่างก็จะยุ่งยากมากขึ้น
แน่นอนว่าฉินอวี่ก็มีความเห็นแก่ตัวอยู่เช่นกัน ทางนั้นก็เป็ฉู่เยว่ฉาน ไม่ว่าอย่างไร ฉินอวี่ก็ติดหนี้บุญคุณของฉู่เยว่ฉานอยู่สิ่งหนึ่ง เขาจึงไม่อาจจะรอดูฉู่เยว่ฉานตกอยู่ในอันตรายได้
“พูดได้มีเหตุผล ไปกันเถอะ!” หยางเต้าที่เงียบอยู่นานได้พูดขึ้นมา เขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติของอสูรร้ายเหล่านี้เช่นกัน แม้ว่าจะจากไปในเวลานี้ ก็อาจจะสายเกินไปด้วยซ้ำ
ทันใดนั้น กลุ่มคนทั้งสี่ก็พุ่งตรงไปยังเขตรอบนอกอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง
“ศิษย์น้องหวัง ศิษย์พี่ฉือช่วยพวกเราด้วย!” ก่อนที่พวกเขาจะพบหน้ากัน เสียงขอความช่วยเหลือของถังอีิก็ดังก้องไปทั่วทั้งฟ้า
เมื่อได้พบกับพวกฉู่สยง ฉือเซียวก็ไม่พูดจาอะไรมาก ได้แต่ส่งเสียงะโออกไป “ลงมือ! รีบสู้ให้เร็วที่สุด!”
ทุกคนต่างรู้ดีว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ควรต่อสู้อยู่นาน ศิษย์ทุกคนจึงปลดปล่อยพลังออกมาอย่างรวดเร็วและสุดกำลัง
ลำแสงสีครามส่องประกายออกมาทั่วร่างกายของหยางเต้า ราวกับเหล่าทหาร์ที่ไร้เทียมทาน พุ่งเข้าไปทางอสูรร้ายที่อยู่กลางอากาศ ฉือเซียวกำลังต่อสู้กับอสูรร้ายสองตัวเพียงลำพัง สองมือของหยางเต้าปรากฏประกายแสงสีดำ กลายรูปร่างเป็ฝ่ามือสีดำขนาดใหญ่ที่กำลังมุ่งหน้าไปทางอสูรร้าย ฉินอวี่หยิบหอกศึกออกมา ขว้างตรงไปทางศีรษะของอสูรร้ายตัวหนึ่ง ก่อนจะเริ่มการต่อสู้แบบตัวต่อตัว
การมีพวกของฉินอวี่ทั้งสี่คนเพิ่มเข้ามา ทำให้พวกของฉู่สยงต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก และในตอนนี้ ฉู่สยงก็ะโขึ้นทันที “สร้างค่ายกล!”
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม
อสูรร้ายที่กำลังเืลมพลุ่งพล่านอยู่ก่อนหน้านี้ได้ถูกทุกคนสังหารไปเกินกว่าครึ่ง
หนึ่งชั่วยามต่อมา
การต่อสู้เสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์ สมแล้วที่ฉือเซียวคืออันดับหนึ่งของศิษย์อัจฉริยะ ความกล้าหาญของเขาไม่มีผู้ใดเทียบได้ เขาต่อสู้กับอสูรร้ายสี่ตัวได้โดยลำพัง ด้านหยางเทียนและหยางเต้าเองต่างสังหารไปได้คนละสามตัว ฉินอวี่สังหารไปหนึ่งตัว ส่วนอีกสี่ตัวเป็ฝีมือการสังหารของฉู่สยง
“ขอบคุณมาก!” หลังจากเสร็จสิ้นการต่อสู้ ฉู่สยงก็หันไปขอบคุณพวกของฉินอวี่ และเมื่อเขาเห็นหยางเทียนและหยางเต้า ฉู่สยงก็พูดขึ้นอย่างตกตะลึง “หยางเทียน หยางเต้า?” ในรายชื่อของศิษย์อัจฉริยะ หยางเทียนและหยางเต้านับว่าเป็ที่รู้จักกันมานานแล้ว ดังนั้น เมื่อเห็นเพียงพริบตาเดียวก็จำทั้งสองคนได้ทันที
เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่สยง ทุกคนต่างมองไปทางหยางเทียนและหยางเต้า ทั้งสองพี่น้องอย่างประหลาดใจ
หยางเทียนมีท่าทีเฉยเมย และไม่ได้ตอบอะไรออกไป แต่หยางเต้ากลับพูดออกไปอย่างเมินเฉย “อสูรร้ายพวกนี้ตามพวกเ้ามาทำไม?”
“พวกข้าก็ไม่รู้เช่นกัน จู่ๆ อสูรร้ายเหล่านี้ก็โผล่ออกมา” ถังอีิรีบเดินไปด้านข้างของหยางเต้า และตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่้าผูกมิตร
หยางเต้าไม่ให้ความสนใจกับถังอีิ เขาชำเลืองมองฉินอวี่ที่กำลังยุ่งอยู่กับการเก็บเืของอสูรร้าย จากนั้นจึงหันไปมองฉู่สยงและฉู่เยว่ฉานด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
ถังอีิมีสีหน้าที่เก้อเขินไปเล็กน้อย เขาหลุบตาลงต่ำ สายตาดูบูดบึ้งไปเล็กน้อย
“ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเรากำลังเดินทางไปข้างหน้าเรื่อยๆ จู่ๆ ก็มีอสูรร้ายเหล่านี้โผล่ออกมาไล่ต้อนพวกข้า และบังคับให้พวกข้าเข้าไปยังส่วนลึก” ฉู่สยงพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม เป็เพราะก่อนหน้านี้มีความเร่งรีบ เขาจึงไม่มีเวลาคิดอะไรมากนัก แต่เมื่อได้ยินหยางเต้าพูด จึงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติเช่นกัน
“โฮก!”
ในขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงคำรามเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกึกก้อง เสียงคำรามของอสูรร้ายะเิขึ้นสนั่นหวั่นไหวราวกับสายฟ้าในฤดูใบไม้ผลิ เสียงที่หนักแน่นเกิดขึ้นอย่างทรงพลัง สั่นะเืสู่โสตประสาทของทุกคนทันที
ฉินอวี่ที่กำลังเก็บรวบรวมเือสูรร้ายอยู่เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว มองไปยังส่วนลึกของเขตต้องห้าม ซึ่งในตอนนี้เห็นเพียงคลื่นความร้อนซึ่งปะทุขึ้นอย่างดุเดือดราวกับพายุกลางทะเลที่กำลังบ้าคลั่ง
“ขั้นเทพ์ชั้นสูงสุด อสูรร้ายระดับห้าชั้นสูงสุด!” ฉินอวี่ใอยู่เล็กน้อย เพียงเสียงคำรามที่ดูโกรธเกรี้ยวนี้ เขาก็สามารถแยกได้ทันทีว่าเสียงคำรามนี้เป็ของอสูรร้ายระดับห้าชั้นสูงสุด!
“ไปกันเถอะ!” ฉินอวี่เลิกสนใจการเก็บเือสูร และพูดอย่างจริงจัง พูดจบเขาก็เหาะตรงไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อฉินอวี่เหาะออกไปได้ไม่ไกลนักเขาก็ต้องหยุดลงอย่างกะทันหัน สีหน้าของเขาดูหวาดกลัวถึงขีดสุด พลางมองไปรอบทิศทาง ด้านถังอีิและฉู่เยว่ฉานต่างก็หวาดกลัวมากเช่นกัน
แม้แต่ฉือเซียว หยางเทียน และหยางเต้าต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? พวกเ้าไปทำอะไรเอาไว้กันแน่? ข้าบอกแล้วว่าอย่าเข้าไปยุ่ง” หยางเทียนตัวสั่น และถามออกไปอย่างโกรธเคือง
ทุกคนต่างตกตะลึง มโนจิตของพวกเขาต่างััได้ถึงอสูรร้ายนับสิบตัวที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาจากรอบทิศทาง และอสูรร้ายเหล่านี้ล้วนเป็ระดับห้าทั้งสิ้น!
อสูรร้ายจำนวนนับสิบตัว แม้ว่าพวกของฉินอวี่ล้วนแต่เป็ศิษย์อัจฉริยะ แต่ก็คงยากจะรอดพ้นความตายไปได้!
ภัยร้ายเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้จิตใจของทุกคนต่างจมดิ่งลงสู่ก้นเหว จนความสิ้นหวังปรากฏขึ้นเต็มหัวใจ
“เป็แบบนี้ไปได้อย่างไร?” ใบหน้าของถังอีิเต็มไปด้วยความกลัวและตื่นตระหนก
จิตใจของทุกคนต่างกำลังว้าวุ่น แม้แต่ฉือเซียวเองก็ไม่เว้น ในฐานะที่เป็อันดับหนึ่งในศิษย์อัจฉริยะ แม้ว่าฉือเซียวจะมั่นใจในตนเอง แต่เมื่อต้องเผชิญกับอสูรร้ายระดับห้านับสิบตัว ฉือเซียวก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรงและสิ้นหวังยิ่งนัก
“ก่อนหน้านี้พวกเ้าไปฆ่าอสูรร้ายที่ไม่ควรฆ่ามาใช่หรือไม่?” ฉินอวี่ค่อยๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าของฉู่สยง พูดออกมาอย่างจริงจังด้วยสีหน้าเ็า
เื่ราวต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปเหนือความคาดหมายของฉินอวี่ยิ่งนัก ตอนนี้มีอสูรร้ายระดับห้ากว่าสามสิบตัวกำลังมุ่งหน้าเข้ามาจากทุกทิศทาง แม้ว่าจะเป็ผู้แข็งแกร่งขั้นกุมารทิพย์ ก็ยังนับว่ายากจะรอดพ้นไปได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลุ่มศิษย์ในขั้นเทียนชุ่ยเลย
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสูรร้ายระดับสี่ พวกเขาอาจจะสามารถใช้ความแข็งแกร่งอันน่าภูมิใจของตนเองได้ แต่เมื่อเป็อสูรร้ายระดับห้า พวกเขาทำได้เพียงแค่หนีเท่านั้น
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี่ ฉู่สยงก็ไม่สนใจการวางตัวก่อนหน้านี้อีกต่อไป เมื่อเขานึกย้อนไปอย่างละเอียด เขาก็ส่ายหน้า และพูดขึ้นว่า “ตลอดทางที่ผ่านมาพวกเราพบกับอสูรร้ายไปเพียงไม่กี่ตัว ไม่มีทางฆ่าอสูรร้ายที่ไม่ควรฆ่าได้หรอก!”
“ตูม ตูม ตูม!”
ขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกสิ้นหวัง แผ่นดินก็สั่นะเืขึ้นมาอย่างกะทันหัน ดูเหมือนอสูรร้ายที่ไม่อาจเข้าใกล้ได้กำลังใกล้เข้ามาแล้ว
ทุกคนต่างสั่นสะท้านเพราะสิ่งที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามา แต่กลับมองเห็นร่างั์สีแดงเพลิงสูงสิบจ้างคนหนึ่งปรากฏขึ้น ร่างที่เห็นนั้นค่อยๆ เดินเข้ามา แผ่นดินนั้นก็สั่นะเือย่างรุนแรงตามย่างก้าวของเขาที่ย่ำััลงบนพื้นดิน
ฉินอวี่สูดลมหายใจอันเยือกเย็น มือมองไปยังมนุษย์ั์สีแดงเพลิงนั้นอย่างละเอียด เขาก็พูดขึ้นอย่างเหลือเชื่อ “วานรยุทธ์!”
ผู้ที่กำลังเดินเข้ามาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็วานรั์ที่มีความสูงกว่าสิบจ้าง มีเปลวไฟลุกโชนไปทั่วร่างกาย กล้ามเนื้อดูเหมือนัที่แข็งแกร่ง
เมื่อเขากวาดสายตาไปเหนือศีรษะของวานรยุทธ์ ฉินอวี่ก็ใอย่างยิ่ง
เขามองเห็นบุคคลผู้หนึ่ง กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่เหนือศีรษะของวานรั์ที่น่าสะพรึงตัวนี้!
บุคคลผู้นั้นเป็ชายหนุ่มแต่งกายด้วยชุดคลุมสีแดง ดุจดั่งเปลวเพลิง!
