สวี่ตี้สอบในครั้งนี้ใช้เวลาไปห้าวัน เขากลับมาถึงเรือนด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า หลังจากแช่น้ำอยู่ในอ่างไม้อยู่นาน ก็ขัดศรีฉวีวรรณจนตัวเองสะอาด จากนั้นก็ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่แล้วไปกล่าวราตรีสวัสดิ์ฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ตุ๋นน้ำแกงไก่ไว้รอแล้ว รอจนกระทั่งเห็นสีหน้าขาวซีดเซียวของสวี่ตี้เดินเข้ามา ก็รีบเข้าไปดึงมือของสวี่ตี้ให้มานั่งข้างตนเองบนตั่งหลัวฮั่น ก่อนจะเอ่ยปากถาม “ไม่ได้กินข้าวดีๆ เลยหรือ? กลับมาแล้วพวกเราก็ชดเชยกันนะ”
สวี่ตี้นั่งลงข้างฮูหยินผู้เฒ่า มองไปรอบๆ ถึงได้พบว่า เหล่าพี่น้องชายหญิงของตนต่างอยู่ที่นี่
สวี่ตี้ถาม “ท่านทวด ข้าไม่เป็อันใดขอรับ ร่างกายของข้าแข็งแรงดีขอรับ การสอบนี่น่ะ มันก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงอาการตื่นเต้น ข้าพักสักเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้วขอรับ”
สวี่ถงลูกสาวคนรองของสวี่เฉวียนเอ่ยปากถามด้วยความอยากรู้ “พวกท่านสอบยากมากหรือเ้าคะ?”
สวี่ตี้ตอบ “เื่นี้หรือ บางคนก็คิดว่ามันยาก บางคนก็คิดว่ามันไม่ยาก ก็ต้องดูสถานการณ์การเรียนของแต่ละคนว่าเป็อย่างไร”
สวี่ฮวาหัวเราะแล้วเอ่ย “พี่ใหญ่ เช่นนั้นท่านคิดว่ายากหรือว่าไม่ยากขอรับ?”
สวี่ตี้ตอบ “ข้ากลับรู้สึกว่ามันไม่ยาก เขียนบทความก็ต้องดูว่าจะเข้ากับความคิดของผู้คุมสอบหรือไม่ ข้าเขียนบทความออกมาเป็ภาพที่ดูสวยงาม ไม่แน่ว่าผู้คุมสอบจะคิดว่าบทความที่ข้าเขียนจะดูสวยงามเกินไปไม่มีทางเป็จริงได้ หรือบางทีบทความของข้าจะเป็ความจริงมาก แต่ว่าใช้คำศัพท์ที่ไม่สวยหรู หากผู้คุมสอบดันชอบคนที่เขียนงดงาม เช่นนั้นลำดับก็คงไม่สูงแล้ว”
สวี่ฮวาหัวเราะแล้วเอ่ย “ข้าเข้าใจแล้ว เื่นี้ก็ต้องดูโชคของแต่ละคนด้วย แต่ว่าพวกเราสามารถสอบถามความชอบของผู้คุมสอบได้นี่ขอรับ สอบถามมาชัดเจนแล้ว เช่นนั้นก็สามารถเขียนได้แล้วดีแล้วไม่ใช่หรือขอรับ?”
สวี่ตี้เอ่ย “เื่นี้ก็ถือว่าเป็ทางลัด ความจริงแล้วจากความคิดเห็นของข้า การเป็คนที่มีความรู้ ก็ต้องมีความมั่นคง ทำความรู้ให้มันออกมาดีๆ ไม่ว่าจะเจอกับการสอบแบบไหนก็สามารถเขียนบทความของตนเองให้ผู้สอบเกิดความคิดเห็นตรงกัน เช่นนี้ก็จะสามารถได้รับลำดับที่ดีได้”
พวกเด็กๆ อายุน้อยฟังกันอย่างออกรส ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะเหอะๆ “พี่ใหญ่ของพวกเ้าเพิ่งจะกลับมาจากการสอบ ท้องหิวโซ ให้เขาดื่มน้ำแกงไก่ให้ท้องอิ่มก่อน ตอนนี้ก็ใกล้จะเวลาข้าวเย็นแล้ว ทุกคนทานข้าวกันที่นี่ดีหรือไม่?”
ฮูหยินผู้เฒ่าชวนทานข้าวนั้นแน่นอนว่าเป็เื่ที่ดี โรงครัวเล็กของฮูหยินผู้เฒ่าไม่เพียงแต่จะทำอาหารอร่อย ขนมที่ทำออกมาก็รสชาติดี
สวี่ไป่เองก็ถูกสวี่จือพามาหาฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อรอพี่ใหญ่กลับมา พอได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าชวนให้ทานข้าวก็รีบวิ่งไปหา แล้วยืนอยู่ตรงด้านล่างตั่งหลัวฮั่น เอาเท้าปีนขึ้นไปนั่งอยู่ข้างกายหญิงชรา จับมือของนางเอาไว้แล้วพูดด้วยความดีใจ “ท่างทวกขอยับ ขนม ขนม”
สวี่ไป่ชอบขนมหวานมาก ขนมหวานที่ทำออกมาจากอุปกรณ์ตามวัฒนธรรม กับที่ทำออกมาจากเครื่องจักร แล้วก็พวกที่เข้ามาจากตะวันตกนั้นไม่เหมือนกัน หลังจากสวี่ไป่สามารถทานข้าวได้ด้วยตนเอง เขาก็ได้กินขนมหลายอย่าง รู้สึกว่าขนมของที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่านั้นทำอร่อย น่าเสียดาย ขนมหวานนั้นหวาน จางจ้าวฉือกลัวว่าสวี่ไป่จะกินขนมหวานมากเกินไปแล้วจะไปทำลายฟัน จึงควบคุมปริมาณการกินขนมหวานของเขา
ฮูหยินผู้เฒ่ามองสีหน้าที่มองตนเองมาด้วยความหวัง ใบหน้ากลมๆ จ้องมาที่ตนเอง หญิงชรารู้สึกว่าหัวใจของตนเองละลายไปแล้ว อยากจะเอาของทุกอย่างของตนเองไปกองอยู่ตรงหน้าของเด็กคนนี้
ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังจะตอบ สวี่ตี้ที่อยู่ข้างกายก็ไอออกมาเบาๆ สวี่ไป่รีบยืนตัวตรง จากนั้นก็หันไปมองสวี่ตี้อย่างระมัดระวัง พอเห็นสีหน้าของพี่ชาย ก็หันกลับมายื่นแขนอ้วนๆ ข้างขวาของตัวเองไปทางฮูหยินผู้เฒ่า ใช้มือข้างซ้ายของตัวเองหักนิ้วโป้งกับนิ้วก้อยลง ก่อนจะเอ่ย “ท่านแม่บอกว่ามากที่สุดสามชิ้นขอรับ” ท่าทางนั้นเหมือนกับมะเขือถูกตีอย่างไรอย่างนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าที่มองอยู่ในใจก็ไม่รู้จะปลอบใจเด็กตัวอ้วนท่าทางน่าสงสารนี่อย่างไรเลยจริงๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าอุ้มสวี่ไป่เข้ามาในอ้อมกอดของตัวเอง “หัวใจของทวดพองโตไปหมดแล้ว วันนี้พวกเราจะฉลองที่พี่ชายของเ้ากลับมาจากการสอบ ทวดจะช่วยขอกับแม่ของเ้าให้ ว่าให้กินเพิ่มขึ้นอีกสองชิ้น หากไม่ได้จริงๆ พวกเราก็สามารถกินวันนี้มากขึ้นสองชิ้น พรุ่งนี้ แล้วก็วันถัดไปก็กินน้อยลงมาหนึ่งชิ้น เช่นนี้ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?”
สวี่ไป่เบะปากส่ายหน้า “ท่างทวก จะเอาเยอะเท่ากันขอยับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วก็หัวเราะออกมา “เป็เด็กฉลาดจริงๆ แม่ของเ้าบอกเอาไว้ว่าทุกวันกินได้แค่สามชิ้นเท่านั้น เช่นนั้นพวกเราก็กินสามชิ้น ทวดให้คนนึ่งข้าวกล้องที่พวกเราปลูกเอาไว้แล้ว จากนั้นก็ทำกงเป่าจีติง [1] มีทั้งเนื้อ มีทั้งผัก ทั้งยังรสชาติดี ดีหรือไม่?”
สวี่ไป่เห็นฮูหยินผู้เฒ่าปลอบตนเองเช่นนี้ แล้วมองพี่ใหญ่ที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าที่ยิ่งนิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าใกล้จะถึงเส้นความอดทนของพี่ใหญ่แล้ว จึงกอดคอฮูหยินผู้เฒ่า หอมนางไปหนึ่งที พลางหัวเราะฮี่ๆ “ขอบคุงท่างทวกขอยับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าดีใจจนแทบจะบินได้แล้ว รีบเรียกแม่นมเสิ่นให้ไปสั่งงานในโรงครัว
ทานข้าวเสร็จแล้ว สวี่ตี้พาสวี่จือกับสวี่ไป่ไปส่งที่เรือนของจางจ้าวฉือ ก่อนตนเองจะไปที่ห้องตำราของโหวเย่ที่เรือนหน้า ซึ่งโหวเย่ได้ทานข้าวเสร็จแล้วรอเขาอยู่พอดี พอเห็นสวี่ตี้มาหา ก็รินน้ำชาให้สวี่ตี้ ก่อนจะให้เขานั่งลง
หลังจากสวี่ตี้กล่าวขอบคุณโหวเย่ ก็นั่งลงตรงข้าม หย่งหนิงโหวเย่หัวเราะแล้วกล่าว “ในที่สุดก็สอบเสร็จแล้ว ต่อไปเตรียมตัวสอบระดับฮุ่ยซื่อใช่หรือไม่?”
สวี่ตี้ตอบ “ต้องขอบคุณท่านปู่มากๆ ที่ช่วยไปสอบถามงานอดิเรกของใต้เท้าหลี่ เพราะเื่นี้ ข้าถึงได้ลดปัญหาไปได้มากขอรับ”
ใต้เท้าหลี่เป็คนออกข้อสอบระดับเซียงซื่อในครั้งนี้ เพื่อสวี่ตี้ที่เข้าร่วมสอบในครั้งนี้ โหวเย่ได้จ้างคนไปสอบถามงานอดิเรกของใต้เท้าหลี่ เขียนบทความตามความชอบของใต้เท้าหลี่ ก็จะได้รับความสนใจจากผู้คุมสอบในครั้งนี้เพิ่มขึ้น
หลังจากสวี่ตี้ดื่มชาตรงหน้าตนเอง ก็รินชาให้กับโหวเย่ ก่อนจะรินให้ตนเองอีกแก้ว โหวเย่มองหลานชายคนโตของตนเอง อายุไม่มาก แต่ชีวิตกลับมั่นคงมาก อีกทั้งในบรรดาหลานทั้งหมดเขาเป็คนที่หน้าตาคล้ายตนที่สุด ในใจก็อดที่จะพยักหน้าในใจไม่ได้
สวี่ตี้กล่าว “ท่านปู่ เื่ที่ข้ากับท่านพ่อทำที่เหอซีนั้นไม่ได้ปกปิดท่านเลย ตอนนี้ข้าอยากจะถามท่าน ในบรรดาองค์ชายหลายองค์ ท่านสนับสนุนคนไหนหรือขอรับ?”
หย่งหนิงโหวเย่หัวเราะแล้วส่ายหน้า “ตอนนี้มันยังเร็วไป หลายปีก่อนข้าเป็เพื่อนเรียนหนังสือกับฮ่องเต้ ต่อมาเพราะได้รับาเ็ถึงได้กลับเรือนมา ฮ่องเต้เป็คนอย่างไรข้าก็สามารถพิจารณาได้อยู่หลายส่วน จากที่ข้าดู องค์ชายพวกนี้คงจะถูกตัดออกไปนานแล้ว”
สวี่ตี้คิดไม่ถึงว่าปู่ของตนเองจะมีความคิดเช่นนี้ เขามีความทรงจำหลายสิบปีของเ้าของร่างเดิม จึงรู้ว่าสุดท้ายคนที่ขึ้นครองบัลลังก์นั้นเป็ใคร ซึ่งไม่ใช่คนที่เลยวัยสวมกวานมาแล้วเหล่านี้จริงๆ
เห็นท่าทางแปลกๆ ของสวี่ตี้ หย่งหนิงโหวเย่ก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “ทุกคนต่างคิดว่าจวนหย่งหนิงโหวของพวกเรานั้นตกต่ำแล้ว หลายปีมานี้ข้าเอาความสนใจไปวางไว้ที่ร้านค้าในเรือน สวนไร่ ข้าสามารถบอกเ้าได้ว่า ครอบครัวร่ำรวยมากมายในเมืองหลวง ไม่มีครอบครัวไหนสามารถหาเงินได้เทียบเท่ากับจวนเราอีกแล้ว”
สวี่ตี้ฟังถึงตรงนี้ในใจก็มีความสงสัยมาก ในเมื่อหย่งหนิงโหวเย่กล้าพูดเช่นนี้ เช่นนั้นก็หมายความว่าการค้าขายในจวนนั้นหาเงินได้มากจริงๆ ในเมื่อหย่งหนิงโหวเย่มีมิตรภาพกับฮ่องเต้ขนาดนั้น แต่เหตุใดสุดท้ายจวนหย่งหนิงโหวถึงได้ตกต่ำจนมีจุดจบแบบนั้นกัน?
เพียงครู่เดียวสวี่ตี้ก็เข้าใจเื่หนึ่งแล้ว จุดจบสุดท้ายของจวนหย่งหนิงโหว คงจะเป็เพราะหย่งหนิงโหวเย่เก่งกาจในการหาเงินพวกนี้ เมื่อมีเงินเยอะก็ไปทำให้คนสนใจ ในเมื่ออยากจะได้ตำแหน่งนั้น ก็ต้องเอาเงินทองออกมา ไม่เช่นนั้นผู้ใดจะยอมมาเป็สนับสนุน ถ้าไม่มีผลประโยชน์ที่เพียงพอ ผู้ใดจะยอมทุ่มเทแรงกายแรงใจ?
สวี่ตี้ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเงินของจวนหย่งหนิงโหวไปอยู่ในมือของใคร แต่ในตอนนี้ คาดว่าจะมีคนเพ่งเล็งจวนหย่งหนิงโหวแล้ว
หลังจากเห็นสวี่ตี้ได้ยินคำตอบของตนเองแล้วไม่ได้ตื่นเต้นเลยสักนิด กลับมีท่าทางครุ่นคิด หย่งหนิงโหวเย่จึงเอ่ยปากถามเขา “ตี้เกอ เ้ากำลังคิดเื่อะไรอย่างนั้นหรือ?”
สวี่ตี้กล่าว “ท่านปู่ ท่านดูแลร้านค้า ไร่สวนในจวนด้วยตนเอง หาเงินมาได้มากมายขนาดนี้ คนด้านนอกรู้กันเยอะหรือไม่ขอรับ?”
หย่งหนิงโหวเย่ส่ายหน้า “เื่นี้จะให้คนด้านนอกรู้ไม่ได้ มีหลายร้านที่ข้าไม่ได้ให้คนในจวนออกหน้า นี่ล้วนยืมมือคนด้านนอกจัดการ”
สวี่ตี้พยักหน้า “ท่านปู่ ท่านทำเช่นนี้ระมัดระวังเพียงพอแล้ว แต่ว่าข้ารู้สึกว่าพวกเรายังต้องระวังอีกหน่อยถึงจะถูก”
หย่งหนิงโหวเย่ฟังแล้วก็มองสวี่ตี้ด้วยความสงสัย จนสวี่ตี้ถอนหายใจออกมา “ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ าน้อยใหญ่ก็ล้วนสู้กันเพื่อเงินทองขอรับ”
โหวเย่ได้ยินคำพูดของสวี่ตี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที แล้วก็เพราะว่าอยู่ต่อหน้าหลานชายของตนเอง ทั้งสองคนมีความเกี่ยวข้องกันแน่นแฟ้น จะมีเกียรติยศก็มีไปด้วยกันจะเสียหายก็เสียไปด้วยกัน โหวเย่ถึงได้ไม่ควบคุมสีหน้าของตนเอง
เห็นโหวเย่เข้าใจความหมายของตนเองในทันที สวี่ตี้ก็รู้สึกว่าขอแค่รับมืออย่างระวัง จากความสามารถของโหวเย่ จะยังไม่สามารถพาคนในจวนออกจากเส้นทางเืได้หรือ?
หย่งหนิงโหวเย่คิดอยู่ครู่หนึ่ง สวี่ตี้ก็รินชาใส่แก้วตรงหน้าของเขา ก่อนจะเปลี่ยนน้ำร้อนใหม่ โหวเย่หยิบแก้วชาขึ้นมา “เช่นนั้นจากความคิดเห็นของเ้า พวกเราควรจะรับมืออย่างไร?”
สวี่ตี้ยิ้มมองท่านปู่ของตนเอง ในใจของสวี่ตี้เข้าใจดีมาก ตอนนี้โหวเย่สามารถรับรู้ได้ถึงความคิดของเขาแล้ว
สวี่ตี้ตอบ “ท่านปู่ ความวินาศเกิดขึ้นหลายครั้งล้วนเกิดจากภายใน พวกลุงๆ อาๆ ในจวนของพวกเรา ถึงแม้จะเป็คนที่มีความสามารถ แต่ผลประโยชน์จะล่อใจคน ถ้าหากบวกกับมีคนมาพูดยุยงล่ะขอรับ? ท่านปู่ เื่พวกนี้ไม่อาจป้องกันได้”
หย่งหนิงโหวเย่ฟังแล้วก็ถามด้วยความสนใจมาก “เช่นนั้นเ้าว่า พวกเราควรจะทำอย่างไร?”
สวี่ตี้หัวเราะแล้วเอ่ย “ท่านปู่ ท่านให้เกียรติข้าเกินไปแล้ว ข้าก็แค่เด็กอายุสิบกว่าปี จะไปมีความสามารถเช่นนี้ได้อย่างไรกันขอรับ”
โหวเย่หัวเราะ “ไม่ใช่ข้าดูถูกเ้านะ เป็เ้าที่มีความสามารถเช่นนี้จริงๆ เื่ของพวกเ้าที่เหอซีข้าก็รู้มาทั้งหมด ตี้เกอ เ้าเป็หลานชายคนโตของจวนพวกเรา ถึงแม้บิดาของเ้าจะเป็บุตรอนุ แต่ว่าั้แ่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยมองพวกเ้าเป็บุตรของอนุเลย หลายปีมานี้ข้าพยายามบ่มเพาะบิดาของเ้า เพื่อต่อไปบิดาของเ้าจะสามารถพึ่งความรู้ของตนเองจนโดดเด่นออกมาได้”
สวี่ตี้พยักหน้า “ความคิดของท่านปู่พวกเราต่างรู้ดีขอรับ”
หย่งหนิงโหวเย่พยักหน้า “บุตรอนุในตระกูล อยากจะมีชื่อเสียงขึ้นมานั้นยากแสนยาก บางครั้งเป็เพราะว่ากลัวบุตรอนุจะขวางทางบุตรภรรยาเอก บางครั้งก็คิดว่าบุตรอนุนั้นไม่ควรจะได้รับผลประโยชน์ภายในจวน จวนของพวกเราน่ะ มองไปแล้วก็มีแค่บิดาของเ้าที่เป็บุตรอนุคนเดียว เหตุใดในจวนพยายามที่จะไม่ให้มีบุตรอนุเกิดออกมา เพราะว่ากลัวว่าฐานะของลูกของภรรยาเอกกับอนุจะมาทำร้ายพี่น้องกันเองน่ะสิ”
สวี่ตี้อยากจะถาม ในเมื่อมีความคิดกันเช่นนี้ ตอนแรกสวี่เหราเกิดมาได้อย่างไร พอเห็นความเหนื่อยล้าของโหวเย่ สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ถามออกไป
หย่งหนิงโหวเย่เห็นสวี่ตี้ไม่พูดอะไรก็ถอนหายใจ “ต่อไปข้าจะนัดพบลูกชายในจวน”
สวี่ตี้โบกมือ “ท่านปู่ขอรับ ท่านเคยได้ยินประโยคนี้หรือไม่ ขวางเอาไว้ไม่สู้จัดการอย่างเหมาะสม”
หย่งหนิงโหวเย่ตอบ “แน่นอนว่าเคยได้ยินมาก่อน”
สวี่ตี้กล่าว “ในจวนของพวกเรามีกิจการตั้งมากมาย ในครอบครัวมีท่านลุงใหญ่เป็ซื่อจื่อ ปกติแล้วจำเป็ต้องออกงานเลี้ยงกับท่าน แล้วก็ลุงรอง ลุงห้าของปู่รอง แล้วก็ลุงสี่ของครอบครัวพวกเรา ลุงรองกับลุงห้ามีกิจการเป็ของตนเอง ลุงสี่ท่านหางานให้เขา หรือไม่ก็ให้เขาเรียนการจัดการงานเถิด ให้ว่างงานเช่นนี้จะเกิดเื่ได้ง่ายนะขอรับ”
หย่งหนิงโหวเย่กล่าว “เื่นี้มันแน่นอนอยู่แล้ว ต่อไปข้าจะจัดการ”
สวี่จี้ครุ่นคิด “ท่านปู่ ข้ามีความคิดหนึ่งขอรับ อยากจะพูดกับท่าน เพียงแค่พูดกับท่านเท่านั้น ท่านก็ถือว่าเป็การฟังเื่ที่หาได้ยากสักหน่อยก็ได้ขอรับ”
หย่งหนิงโหวเย่พูดด้วยความสนใจมาก “ได้ เช่นนั้นเ้าพูดให้ข้าฟังหน่อย”
สวี่ตี้เอาความคิดในใจมาคำนวณอีกรอบ เรียบเรียงประโยคก่อนจะกล่าว “ท่านปู่ จวนของพวกเราไม่ได้แบ่งครอบครัวมาตลอด ปกติแล้วทุกคนต่างใช้ชีวิตกันอยู่ในจวน ทุกเดือนทุกคนจะได้ส่วนแบ่งไป พวกเราที่ยังไม่ได้แต่งงานก็ยังพอพูดได้ พวกท่านลุงท่านอาที่แต่งงานออกไปแล้ว ทุกวันก็พึ่งเงินพวกนั้นของจวน ไม่ก็เงินสินเดิมของพวกป้าๆ น้าๆ มาใช้ดำรงชีวิต ถึงแม้เด็กๆ อย่างพวกเราต่อไปแต่งงานจะต้องใช้เงินส่วนกลางเป็คนออก แต่ว่าเป็บิดามารดาก็อยากจะให้ของที่ดีกว่านี้กับลูกของตนเอง”
หย่งหนิงโหวเย่ฟังถึงตรงนี้คิ้วก็ขมวดเข้าหากันน้อยๆ สวี่ตี้รู้อยู่แล้วว่าโหวเย่นั้นฟังคำพูดของตนเข้าใจแล้ว
หย่งหนิงโหวเย่เงียบไปอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “เ้ากำลังจะบอกว่า ให้แบ่งกิจการบางส่วนให้กับพวกเขาดูแลหรือ?”
สวี่ตี้ตอบ “ไม่ได้หรือขอรับ?”
หย่งหนิงโหวเย่กล่าว “กิจการของจวนโหวมีมานับร้อยปี อยากจะสืบทอดต่อไป สมบัติตระกูลมากมายทำได้แค่ให้ลูกชายของภรรยาเอกสืบทอดต่อไปเท่านั้น ลูกคนอื่นๆ ทำได้แค่แบ่งไปบางส่วน ยังไม่พูดถึงตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่ายังอยู่นะ ข้าเองก็อยู่ การมาแบ่งสมบัติสกุลออกไป ย่อมไม่เหมาะสม ข้าไม่เห็นด้วย ปู่รองของเ้าไม่เห็นด้วย ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ไม่เห็นด้วย”
สวี่ตี้เอ่ยต่อ “เช่นนั้นถ้าหากแค่แบ่งอำนาจการบริหารออกไปล่ะขอรับ แต่ไม่ให้กรรมสิทธิ์ทั้งหมด?”
หย่งหนิงโหวเย่ถามด้วยความสงสัย “มันคืออะไรหรือ?”
สวี่ตี้อธิบายอย่างมีความอดทน “ในจวนมีไร่นา แล้วก็ยังมีร้านค้า รายได้ทุกปีได้เท่าไหร่โดยพื้นฐานแล้วจะตายตัว พวกลุงๆ อาๆ ในจวนพวกนี้มีความสามารถระดับไหน คิดไปแล้วในใจของท่านก็รู้ดี พวกลุงๆ อาๆ เองก็มีธุรกิจของตัวเอง ส่วนท่านเบื้องหน้าก็เอาร้านพวกนี้หรือส่วนให้พวกเขาดูแล ในร้านค้ามีผู้ดูแลร้านคอยดูแล ในไร่นาก็มีหัวหน้าคนงาน พวกเขาก็ไม่ต้องไปเฝ้าร้านดูแลร้านด้วยตนเอง แค่เอาแนวทางการบริหารมาใช้ก็พอ ถึงตอนนั้น กำไรสุทธิก็จ่ายให้จวนส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็เป็ของตนเอง เช่นนี้ไม่ดีหรือขอรับ?”
เชิงอรรถ
[1] กงเป่าจีติง (宫保鸡丁 Gōng bǎo jī dīng) คือเนื้อไก่หั่นเต๋าผัดใส่ถั่วลิสง พริกแห้ง ไก่ผัดถั่วลิสงพริกแห้งจานนี้ เน้นรสเปรี้ยวนำหวาน และมีเผ็ดชาปลายลิ้นตามสไตล์อาหารเสฉวน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้