บทที่ 7 ปีกแห่งอิสรภาพ
ลมหายใจของลู่เมิ่งขาดห้วงร่างกายที่วิ่งฝ่าความเป็ความตายมาตลอดครึ่งชั่วยาม ประท้วงอย่างรุนแรงจนนางทรุดฮวบลงกับพื้นหินอันเย็นเฉียบหน้าจวนที่ทำการของ ทางการ นางกอดร่างเล็กๆ ของอาเป่าที่สั่นเทิ้มราวกับลูกนกไว้ในอ้อมแขนแน่น สติสัมปชัญญะของนางพร่าเลือน ความเ็ปจากกล้ามเนื้อที่ฉีกขาดและความอ่อน ล้าสุดขีดถาโถมเข้ามาพร้อมกัน
แต่ถึงกระนั้น... ดวงตาของนางยังคงลุกโชนด้วยไฟแห่งความเด็ดเดี่ยว นางรอดมาได้... พวกเขารอดมาได้... แต่นี่คือที่ไหน? และจะไปที่ใดต่อ?
เบื้องหน้าคือกำแพงสีแดงชาดสูงใหญ่และประตูไม้บานั์ที่มีทหารยามหน้าตาถมึงทึงยืนเฝ้าอยู่สองนาย พวกเขามองมาที่สองพี่น้องด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์ ไม่ต่างอะไรจากการมองเศษสิ่งปฏิกูลบนพื้นถนน
"ไปให้พ้น! อย่ามาทำสกปรกอยู่หน้าจวนท่านเ้าเมือง!" ทหารยามคนหนึ่งตวาดไล่
ลู่เมิ่งไม่มีแรงแม้แต่จะโต้เถียง นางทำได้เพียงกอดน้องชายให้แน่นขึ้นอีก พยายามใช้ร่างกายที่บอบบางของตนเป็เกราะกำบังเขาจากสายตาดูแคลนของ โลกใบนี้
อาเป่าซบหน้าร้องไห้อยู่กับอกนาง "พี่หญิง... ข้ากลัว... พวกคนชั่วจะตามมาอีกหรือไม่ขอรับ?"
"ไม่... ไม่แล้ว" ลู่เมิ่งกระซิบปลอบน้องชาย ทั้งที่ในใจนางรู้ดีว่ามันเป็คำโกหก ตราบใดที่พวกนางยังอยู่ในเมืองนี้ เงื้อมมือของหัวหมู่จ้าวย่อมเอื้อมมาถึงได้เสมอ นางพลาดแล้ว... นางคิดว่าเมืองใหญ่คือโอกาส แต่กลับลืมไปว่ามันก็เป็ป่าคอนกรีตที่ใหญ่กว่าเดิมเท่านั้น สำหรับหนูน้อยสองตัวที่ไร้ที่พึ่ง มันคือแดนปะาดีๆ นี่เอง
ทันใดนั้น... เสียงกีบม้าและล้อเกวียนที่บดไปบนพื้นหินก็ดังใกล้เข้ามา ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าพวกนางพอดี
มันเป็รถม้าที่หรูหราที่สุดเท่าที่ลู่เมิ่งเคยเห็น ตัวรถทำจากไม้จันทน์หอมสลักเสลา อย่างงดงาม ม่านหน้าต่างทำจากผ้าไหมปักดิ้นทองระยับตา บ่งบอกถึงสถานะที่ไม่ ธรรมดาของผู้เป็เ้าของ
ม่านหน้าต่างถูกเลิกขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าด้านข้างของบุรุษผู้หนึ่ง เขาสวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มที่ตัดเย็บอย่างประณีต แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหน้า แต่ก็ััได้ถึงกลิ่นอายสูงศักดิ์ที่แผ่ออกมา
"มีเื่อันใดกัน?" เสียงทุ้มต่ำและเยือกเย็นดังออกมาจากในรถม้า
ทหารยามรีบวิ่งเข้าไปรายงานอย่างนอบน้อม "เรียนคุณชายสาม เป็เพียงขอทานสองพี่น้องมาเกะกะอยู่หน้าจวนข้าน้อยกำลังจะไล่ไปเดี๋ยวนี้ขอรับ"
"ขอทานรึ?" คุณชายสามผู้นั้นหันมามองทางนี้โดยตรง และในวินาทีที่สายตาของเขาสบกับลู่เมิ่ง... โลกของนางก็พลันหยุดนิ่ง
ดวงตาคู่นั้น... คมกริบดุจเหยี่ยว แต่กลับลุ่มลึกราวกับมหาสมุทรในคืนเดือนมืด มันเป็แววตาของคนที่มองทะลุเปลือกนอกเข้าไปถึงแก่นแท้ของทุกสรรพสิ่ง
ลู่เมิ่งเบือนหน้าหลบโดยสัญชาตญาณนางไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอของนาง ในยามนี้
แต่แล้ว...จมูกของคุณชายสามก็ขยับเล็กน้อยคิ้วกระบี่ของเขาขมวดเข้าหากันอย่าง ครุ่นคิด
"กลิ่นนี่..." เขาพึมพำกับตัวเอง "กลิ่นของดอกมะลิเจือด้วยกุ้ยฮวาจางๆ ... แต่กลับแฝงด้วยกลิ่นดิน ฝุ่น และ...ความหวาดกลัว"
เขาหันไปสั่งองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างรถม้า "อาเฉียง ไปถามดูว่าเกิดอะไรขึ้น"
องครักษ์ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาหาลู่เมิ่งด้วยท่าทีที่น่าเกรงขาม "แม่หนู คุณชายของข้าถามว่าพวกเ้ามีเื่เดือดร้อนอันใดหรือไม่?"
ลู่เมิ่งลังเลใจ นางไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้เป็ใคร การเปิดเผยเื่ราวของตนเองให้คนแปลกหน้าฟังคือความเสี่ยงอย่างมหันต์
[กำลังวิเคราะห์... ตราราชสีห์ที่ประทับอยู่ข้างรถม้าเป็ตราประจำตระกูลเว่ย หนึ่งในสี่ตระกูลแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์เทียนหลง... บุคคลในรถม้าคาดว่าคือ เว่ยจิ้งหรือคุณชายสามแห่งจวนแม่ทัพใหญ่...ความน่าจะเป็ในการให้ความช่วยเหลือ 45% ความน่าจะเป็ที่จะนำมาซึ่งปัญหาที่ซับซ้อนกว่าเดิม 68%]
ตระกูลแม่ทัพ!
ข้อมูลจากเทียนฉี่ทำให้นางตกตะลึง นี่คือชนชั้นสูงที่แท้จริง สูงส่งเกินกว่าที่นางจะเอื้อมถึง! แต่ตัวเลขความเสี่ยงที่สูงลิ่วก็ทำให้นางหวาดหวั่น
ทว่า... เมื่อนางมองใบหน้าที่เปรอะเปื้อนน้ำตาของอาเป่า นางก็ตัดสินใจได้ในทันที! นางไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว!
นางรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ยันตัวลุกขึ้นยืน โค้งคำนับให้รถม้าคันนั้นอย่างงดงามที่สุดเท่าที่จะทำได้ "เรียนคุณชาย... ข้ากับน้องชายเป็เพียงคนเดินทางที่เพิ่งเข้าเมืองมาวันนี้ แต่กลับถูกคนชั่วไล่ทำร้ายจนต้องหนีตายมาพึ่งใบบุญของทางการเ้าค่ะ"
นางไม่ได้เล่ารายละเอียดทั้งหมด เพียงแค่บอกเล่าสถานการณ์ที่จนตรอกของตนเอง
เว่ยจิ้งมองนางนิ่งๆ ผ่านม่านหน้าต่าง "คนชั่วรึ?ในเมืองหลวงภายใต้การดูแลของท่านเ้าเมืองยังมีคนกล้าเหิมเกริมถึงเพียงนี้เชียวหรือ?"
"โลกนี้กว้างใหญ่... ย่อมมีมุมมืดที่แสงอาทิตย์สาดส่องไปไม่ถึงเสมอเ้าค่ะ" ลู่เมิ่งตอบกลับอย่างสุขุม
เว่ยจิ้งเลิกคิ้วเล็กน้อย ทึ่งในคำตอบที่ฉลาดเกินวัยของเด็กสาวที่แต่งกายมอซอผู้นี้ "น่าสนใจ... ขึ้นรถมาสิ"
"ขอรับ!/เ้าค่ะ!" ทั้งองครักษ์และลู่เมิ่งอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความใ
"คุณชายสาม! จะให้คนจรจัดขึ้นมาบนรถม้าได้อย่างไรขอรับ!" อาเฉียงรีบคัดค้าน
"ข้าไม่ได้พูดกับเ้า... ข้าพูดกับแม่หนูคนนั้น" เว่ยจิ้งกล่าวเสียงเรียบ แต่แฝงด้วยอำนาจที่ทำให้ไม่มีใครกล้าขัดขืน
ลู่เมิ่งหัวใจเต้นระรัว นี่คือโอกาสหรือกับดักกันแน่? แต่นางไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว นางพยุงน้องชายขึ้นรถม้าคันหรูไปด้วยกันอย่างงุนงง
ภายในรถม้ากว้างขวางและตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่หรูหรา กลิ่นไม้จันทน์หอมอ่อนๆ ทำให้จิตใจที่ตึงเครียดของนางผ่อนคลายลงเล็กน้อย เว่ยจิ้งนั่งอยู่ตรงข้ามนางพอดี บัดนี้นางได้เห็นใบหน้าของเขาเต็มๆ ตาแล้ว...เขาเป็บุรุษหนุ่มรูปงามที่มีเค้าโครงหน้าคมคาย แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือดวงตาคู่นั้นที่ยังคงจ้องมองนางอย่างพินิจพิเคราะห์
"ข้าชื่อเว่ยจิ้ง" เขาแนะนำตัว "แล้วเ้าเล่า?"
"ข้าน้อย...ชื่ออาลู่ และนี่อาเป่า น้องชายของข้าเ้าค่ะ"
รถม้าเคลื่อนตัวออกไปอย่างนุ่มนวล ทิ้งสายตางุนงงของเหล่าทหารยามไว้เื้ั มันไม่ได้มุ่งหน้ากลับไปยังจวนแม่ทัพใหญ่ แต่กลับเลี้ยวเข้าไปในย่านที่พักอาศัยที่เงียบสงบและเป็ส่วนตัวแห่งหนึ่ง ก่อนจะหยุดลงที่หน้าเรือนขนาดเล็กที่มีกำแพงสูงล้อมรอบ
"ที่นี่คือเรือนพักเล็กๆ ของข้า" เว่ยจิ้งกล่าว "คืนนี้พวกเ้าพักที่นี่ไปก่อน อย่างน้อยก็คงปลอดภัยกว่าการนอนข้างถนน"
เมื่อเข้ามาด้านใน ลู่เมิ่งก็พบว่ามันไม่ใช่เรือนพักเล็กๆ เลย แต่มันคือบ้านเดี่ยวที่มีสวนสวยและสะอาดสะอ้าน มีบ่าวรับใช้เพียงสองคนคือป้าจางและลุงหลี่ สองสามีภรรยาสูงวัยที่ดูใจดี
ป้าจางรีบเข้ามาดูแลสองพี่น้อง จัดหาห้องพักที่สะอาดสะอ้าน เสื้อผ้าชุดใหม่ และอาหารร้อนๆ มาให้ อาเป่าเมื่อเห็นเตียงนอนที่นุ่มสบายและได้กินข้าวต้มร้อนๆ อร่อยๆ ก็ดีใจจนน้ำตาไหล เขากินไปร้องไห้ไปจนลู่เมิ่งต้องคอยปลอบ
"พี่หญิง... ที่นี่เหมือนความฝันเลยขอรับ"
ลู่เมิ่งกอดน้องชายไว้แน่น "ใช่... มันเหมือนความฝัน... ฝันที่เราต้องจ่ายค่าตอบแทน"
หลังจากอาเป่าหลับไปด้วยความอ่อนเพลียแล้ว เว่ยจิ้งก็เรียกพบนางที่ศาลากลางสวน
"เอาล่ะ... ที่นี่ไม่มีคนนอกแล้ว" เขาเริ่มกล่าว "เล่าความจริงมาให้ข้าฟังได้หรือยัง? คนที่ไล่ตามเ้าเป็ใคร? และกลิ่นหอมบนตัวเ้า... มาจากไหน?"
เขาถามเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมา
ลู่เมิ่งรู้ดีว่านางไม่สามารถโกหกบุรุษผู้เฉียบแหลมคนนี้ได้ นางจึงตัดสินใจเล่าความจริงให้ฟัง... แต่เป็ความจริงเพียงครึ่งเดียว
นางเล่าเื่ที่นางคิดค้นสบู่ไข่มุก์ขึ้นมา และเื่ที่หัวหมู่จ้าวในหมู่บ้าน พยายามจะฮุบกิจการของนางและเื่ที่มันส่งคนมาตามเพื่อชิงสูตรลับและเส้นทาง การค้าที่นางเพิ่งสร้างขึ้นกับร้านหงจวงเก๋อ นางไม่ได้เล่าเื่การทะลุมิติหรือเื่ของ เทียนฉี่แม้แต่น้อย
เว่ยจิ้งนั่งฟังอย่างสงบจิบชาไปพลางแต่แววตาของเขากลับทอประกายวูบวาบอย่างต่อ เนื่อง
"น่าสนใจ... น่าสนใจจริงๆ" เขากล่าวหลังจากนางเล่าจบ "เด็กสาวกำพร้าจากหมู่บ้านห่างไกลกลับมีความสามารถในการคิดค้นของที่ไม่เคยมี ใครเห็น ทั้งยังมีความกล้าที่จะต่อกรกับผู้มีอิทธิพล และมีสติปัญญาพอที่จะเจรจาธุรกิจ กับเถ้าแก่เนี้ยเ้าเล่ห์แห่งหงจวงเก๋อได้... อาลู่ เ้าไม่ใช่คนธรรมดา"
"ข้าเพียงแค่พยายามเอาชีวิตรอดเท่านั้นเ้าค่ะ"
"การเอาชีวิตรอดของบางคน คือการสร้างตำนานของอีกคน" เว่ยจิ้งกล่าวปรัชญา "ข้าช่วยเ้าได้... แต่ข้าไม่เคยทำอะไรโดยไม่ได้ผลตอบแทน"
"ท่าน้าอะไรหรือเ้าคะ?" ลู่เมิ่งถามอย่างตรงไปตรงมา
"ข้าไม่้าเงิน... ตระกูลเว่ยไม่เคยขาดแคลนเงินทอง" เขาวางถ้วยชาลง "แต่ข้าสนใจใน ความแปลกใหม่ ของเ้า"
เขายื่นข้อเสนอให้นาง"ข้าจะให้เ้าและน้องชายอาศัยอยู่ที่นี่จะจัดหาวัตถุดิบและให้ การคุ้มครองเ้าจากหัวหมู่จ้าวบ้านนอกนั่น แลกกับการที่เ้าต้องผลิต ไข่มุก์ และของแปลกใหม่อื่นๆ ที่เ้าจะคิดค้นขึ้นในอนาคต... ให้ข้าแต่เพียงผู้เดียว"
[วิเคราะห์ข้อเสนอ... มีความเสี่ยงในการถูกผูกขาดและควบคุม 85%... แต่เป็ทางเลือกเดียวที่จะรับประกันความปลอดภัยในปัจจุบันได้ 100%]
มันคือการหนีเสือปะจระเข้หรือไม่? คือการออกจากกรงของหัวหมู่จ้าว มาเข้ากรงทองของตระกูลเว่ยหรือไม่?
ลู่เมิ่งครุ่นคิดอย่างหนัก "ข้าตกลง... แต่ข้ามีเงื่อนไข"
"โอ้?" เว่ยจิ้งเลิกคิ้วอย่างทึ่งๆ "เ้าอยู่ในสถานะที่ต่อรองได้ด้วยรึ?"
"ทุกชีวิตย่อมมีสิทธิ์ที่จะต่อรองเพื่ออนาคตของตนเอง" นางสบตาเขาอย่างไม่เกรงกลัว "ท่านจะได้สิทธิ์ในการจัดจำหน่ายสินค้าของข้าแต่เพียงผู้เดียว... แต่กรรมสิทธิ์ในสูตรและตัวผลิตภัณฑ์ยังคงเป็ของข้าแต่ผู้เดียว และข้าต้องได้รับส่วนแบ่งจากกำไรที่ท่านทำได้ ไม่ใช่แค่การอาศัยและกินอยู่ไปวันๆ"
นางกำลังเปลี่ยนสถานะจากผู้อยู่ในอุปการะให้กลายเป็หุ้นส่วนทางธุรกิจ!
เว่ยจิ้งหัวเราะออกมาเบาๆ เป็ครั้งแรก "ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมจริงๆ! ข้าไม่เคยเจอสตรีที่น่าสนใจเช่นเ้ามาก่อน!ตกลง!ข้าให้ส่วนแบ่งเ้าสามส่วนจากกำไรทั้งหมด!"
"ห้าส่วนเ้าค่ะ" นางต่อรองอย่างไม่ยอมลดละ "ท่านออกหน้า ออกทุน และให้การคุ้มครอง ส่วนข้าออกสมองและแรงงาน ถือว่ายุติธรรมแล้ว"
หลังจากต่อรองกันอีกเล็กน้อย ในที่สุดทั้งสองก็ตกลงกันได้ที่ "สี่ส่วน"
ลู่เมิ่งโค้งคำนับให้เขาอย่างเป็ทางการ "ขอบคุณคุณชายสามที่เมตตา"
"ข้าไม่ได้เมตตา... ข้ากำลังลงทุน" เว่ยจิ้งกล่าว "จงอย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ เถ้าแก่เนี้ยน้อย"
คืนนั้น... ลู่เมิ่งนอนบนเตียงที่นุ่มสบายเป็ครั้งแรกในชีวิตใหม่ นางกอดน้องชายที่หลับใหลอย่างเป็สุขไว้ข้างกาย แต่นางกลับข่มตาให้หลับไม่ลง
นางรอดแล้ว... ปลอดภัยแล้ว... และกำลังจะก้าวไปบนเส้นทางที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม... แต่นางก็รู้ดีว่านางได้เดินเข้าสู่โลกที่ซับซ้อนและอันตรายยิ่งขึ้น โลกของชนชั้นสูง การเมือง และอำนาจมืด
เว่ยจิ้ง... คุณชายสามผู้ลึกลับผู้นี้ เขาเป็ใครกันแน่? จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคืออะไร?เขาจะเป็ปีกที่ทำให้นางโบยบินได้อย่างอิสระ..หรือจะเป็กรงทองที่สวยงามที่คอยกักขังนางไว้ตลอดไป?
คำตอบนั้น... มีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะให้ได้... และนาง... ก็พร้อมแล้วที่จะเดิมพันด้วยทุกสิ่งที่มี