หลิวจื้อเซิ่งเกลี้ยกล่อมนาง “เ้าอย่าคิดมากเลย เด็กนั่นก็เพียงแค่อายุเจ็ดขวบ ทั้งยังไม่เคยเห็นโลกภายนอก จะร้ายกาจเพียงใดก็คงไม่เท่าไร จะเทียบกับเฉี่ยวเอ๋อร์ของเราได้อย่างไร”
“ท่านพี่ ข้าแค่รู้สึกว่านางฉลาดหลักแหลม” จากนั้นนางก็เอ่ยถึงเื่ครอบครัวลุงรอง “ท่านพี่ ตอนนี้ครอบครัวลุงรองมีความคิดไปทางเดียวกับท่านพ่อท่านแม่ นับว่าช่วยประหยัดแรงพวกเราได้บ้าง เพียงแต่ ข้าเองก็อ่านไม่ออกว่า เหตุใดป้ารองจึงต้องทะเลาะกับท่านย่าจนมองหน้ากันไม่ติดเพราะเื่สินสอดของอาสี่ด้วย”
หลิวจื้อเซิ่งยิ้มอย่างเ็าและตอบว่า “เฉี่ยวเอ๋อร์ เ้ายังเด็ก ไม่เข้าใจเื่เหล่านี้ สินสอดนั้นมีมากมีน้อย ตอนนั้นท่านพ่อใช้สินสอดเพียงแค่ไม่ถึงยี่สิบตำลึง แต่ท่านตามีเพียงท่านแม่ผู้เดียว ที่นาในชื่อของท่านตากับท่านยายนั้นได้แบ่งกว่าครึ่งหนึ่งยกให้เป็สินเ้าสาวแก่ท่านแม่ หากไม่เช่นนั้น ท่านพ่อจะยอมท่านแม่ทุกเื่หรือ”
“ดังนั้นแล้ว คงไม่ใช่ว่าอาสี่้าฮุบไว้แต่เพียงผู้เดียวหรอกหรือ” หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์เบิกตากลมโต ใบหน้ายากที่จะเชื่อ เพราะว่าในราชวงศ์โจวนั้นคนที่สืบทอดสกุลส่วนใหญ่จะเป็คนโตหรือไม่ก็คนสุดท้อง ซึ่งจะได้รับส่วนแบ่งทรัพย์สินกว่าครึ่งหนึ่งของในบ้าน
“ไม่มีอะไรที่เป็ไปไม่ได้ แต่ฮุบไว้เพียงผู้เดียวคงไม่ใช่ อย่างน้อยเขาก็ต้องเดินในเส้นทางของข้าราชการ เื่ชื่อเสียงไม่ใช่เื่เล่นๆ เพียงแต่ในมือของท่านย่ามีที่นาดีสามสิบกว่าไร่ ที่นาแห้งอีกสิบไร่ อีกทั้งทุกปีนางยังรับสอนการเย็บปักถักร้อย แต่ละปีอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีรายรับยี่สิบถึงสามสิบตำลึง และยังมีเงินที่ผู้อื่นขอให้นางช่วยปักภาพบนมุ้งหรือผ้าห่มอีก นางก็ต้องมีสักหนึ่งร้อยตำลึง ผลผลิตเก็บเกี่ยวอาจจะไม่ได้มากที่สุด แต่เ้าคิดดู ยังมีที่เราไม่รู้เห็นอีก ในมือของท่านย่าจึงมีเงินอยู่ไม่น้อย”
ยิ่งหลิวจื้อเซิ่งแจกแจงเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกว่าในมือของหลิวฉีซื่อนั้นกำเงินไว้ไม่น้อย อีกอย่างเขาได้ยินท่านพ่อท่านแม่เอ่ยหลายครั้งหลายครา คำพูดจากปากของป้ารองนั้นไม่เป็ความจริงสักอย่าง ที่นางทะเลาะกับท่านย่าใหญ่โต นอกจากเื่เงินแล้วก็คงไม่มีเื่อื่น
“เฉี่ยวเอ๋อร์ เรายังไม่รีบร้อนกลับจังหวัด” ยิ่งเขาคิดไปไกล ก็ยิ่งรู้สึกว่ายังรีบกลับบ้านตอนนี้ไม่ได้ อย่างน้อยเขาต้องรู้ทุกอย่างให้ชัดเจนเสียก่อน
หลังจากชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียแล้ว ในที่สุดหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ก็ตกลงที่จะอาศัยอยู่ที่นี่อีกระยะหนึ่ง จากนั้นนางก็ถามหลิวจื้อเซิ่งว่า “ท่านพี่ เราจะสืบถามจากใครได้บ้าง? ข้าว่าอาสี่ปีนี้ก็คงยังไม่มีการหมั้นหมาย เื่จำนวนสินสอด เกรงว่าคงมีเพียงท่านย่าที่รู้จำนวนในใจ ต่อไปแม้ว่าจะถูกลุงรองเปิดโปง แต่หากว่าท่านย่าใช้ลูกไม้ไม่สนใจ เราก็ทำอะไรนางไม่ได้อยู่ดี”
“ฮึ เฉี่ยวเอ๋อร์ เ้าต้องจำไว้ว่า ทรัพย์สมบัติของตระกูลหลิวนั้นส่วนมากควรเป็ของครอบครัวเรา” สีหน้าของหลิวจื้อเซิ่งไม่สู้ดีนัก เื่อะไรต้องเอาทรัพย์สมบัติของครอบครัวใหญ่ไปให้อาสี่สู่ขอภรรยาด้วย?
หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์อยากจะบอกว่าก็ยังไม่ได้แบ่งทรัพย์สมบัติไม่ใช่หรือ อีกอย่าง ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ก็ยังเป็ของปู่กับย่าอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม นางรู้ว่าหลิวจื้อเซิ่งเป็คนที่ใจจดจ่อมาโดยตลอด หากพูดมากไปคงเกลียดชังนาง จึงหยุดพูดและไม่ส่งเสียง
“ท่านพี่ ท่านแม่พูดถูก ช้าหรือเร็วเราก็ต้องแยกบ้าน ตอนนี้แต่ละครอบครัวก็เติบใหญ่กันหมด อาสี่ไม่แต่งงานก็จะไม่ได้แยกบ้านหรืออย่างไร อีกอย่างอาจารย์บอกว่าท่านพี่มีผลการเรียนไม่เลว ถึงแม้จะไม่พึ่งอาสี่ คิดว่าท่านพี่ก็ต้องได้ดิบได้ดีอยู่แล้ว”
หลิวเฉียวเอ๋อร์เลือกสรรคำพูดที่หลิวจื้อเซิ่งชอบฟัง
หลิวจื้อเซิ่งอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินดังนั้น จึงตอบว่า “ท่านย่าคิดว่าการสอบถงเซิงนั้นน่าภาคภูมิใจ แต่หารู้ไม่ว่า คนที่สอบถงเซิงมีนับพันนับหมื่น จำนวนมหาศาลเช่นนี้ สนามสอบที่ง่ายที่สุดก็คือถงเซิงนั่นแล”
“ลุงรองเองก็แค่หลอกลวงท่านย่าเท่านั้น ถงเซิงเป็เพียงการสอบของนักเรียนอย่างเป็พิธี ท่านพี่ ปีถัดจากนั้นท่านมีความหวังกับการลงสอบจริงหรือ?”
หลิวเฉียวเอ๋อร์ถามเสร็จก็นึกเสียใจว่าไม่น่าพูดออกไป จึงเอ่ยอีก “ถึงอย่างไรท่านพี่ก็อายุเพียงสิบสามปี ไม่รีบร้อน แต่ก็เหมือนที่ท่านตาบอกไว้ ลองลงสนามดูก่อน”
“มั่นใจได้เลย มีท่านตาอยู่ทั้งคน ถึงอย่างไรการสอบซิ่วไฉก็ยังมั่นคง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีจวนตระกูลหวงที่หนุนหลังอยู่ ว่ากันว่าคนจากไป ชาจักเย็น ท่านย่าของเราคงคิดว่าตัวนางเองมีความสามารถมากมาย คิดว่าเกียรติในสมัยก่อนยังมีมูลค่าอยู่อีกหรือ?”
หลิวจื้อเซิ่งรู้ว่า เกียรติของหลิวฉีซื่อนั้นถูกนำมาใช้ให้เป็ประโยชน์โดยตลอด แต่ก็ใช่ว่าจะเป็เช่นนั้นตลอดไป
หลายปีที่หลิวฉีซื่อออกจากจวนตระกูลหวงมา หากไม่ใช่เพราะพี่ชายกับบุตรชายคนโตของนางยังคงทำงานอยู่ในนั้น คนในตระกูลหวงจะยังจำนางได้หรือ?
ท่านตาของหลิวจื้อเซิ่งเป็ซิ่วไฉ ตอนนั้นหลิวจื้อเซิ่งได้รับการถ่ายทอดวิชา่ปฐมวัยจากท่านตาของเขา แล้วก็จับมือเขาสอนการเขียนอ่าน เทียบกับหลิวต้าฟู่ที่เป็ปู่แต่ไม่ใส่ใจเื่อะไร หลิวจื้อเซิ่งจึงมีความเทิดทูนต่อผู้เป็ตามากกว่า
“เช่นนั้นก็ได้ ถึงอย่างไรพี่จูเอ๋อร์ก็อยู่ที่นี่ ข้าก็จะได้มีเพื่อนเล่นด้วย” หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์เห็นว่าหลิวจื้อเซิ่งแน่วแน่ จึงไม่รั้นจะกลับตัวจังหวัดอีกต่อไป
แต่นางเข้าใจว่า ถ้าพี่ชายของนางได้ดี ชีวิตนี้ของนางก็จะดีอย่างแท้จริง
ขณะนั้นหลิวเต้าเซียงที่กําลังฟังอยู่หลังกำแพงก็ดีใจยิ่งนัก ์กำลังเข้าข้างนาง!
ที่แท้บ้านใหญ่ก็้าแยกบ้านหรือนี่!
คิดดูแล้วก็ใช่ ครอบครัวหลิวสี่กุ้ยอยู่ที่ตัวจังหวัดกันทั้งครอบครัว ต่อไปก็คงไม่มีทางกลับมาอาศัยที่บ้านเกิด หากว่าแยกบ้าน ครอบครัวเขาก็สามารถขายทรัพย์สมบัติทางนี้ แล้วค่อยไปตั้งตัวที่จังหวัด
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลิวเต้าเซียงอารมณ์ค่อนข้างดี ขอเพียงพวกเขาทุกคน้าแยกบ้าน
สําหรับเื่ที่สองพี่น้องหลิวจื้อเซิ่ง้าสืบถามว่าสินสอดของหลิววั่งกุ้ยคือจำนวนเท่าไรนั้น หลิวเต้าเซียงตัดสินใจว่าตนเองจะร่วมวงที่สนุกสนานนี้ด้วย
แต่หลิวจื้อเซิ่งเป็คนที่ความคิดลึกลับซับซ้อน หากไม่ระวัง เกรงว่านางจะเผยช่องโหว่ออกไป
ครอบครัวตระกูลหลิวช่างคึกคัก คนในหมู่บ้านเมื่อทานอาหารค่ำเสร็จก็มักจะแวะเวียนกันมาเยี่ยม
“นี่ น้องเต้าเซียง ่นี้ที่บ้านเ้ามีอะไรหรือ? ยามปกติไม่เห็นคนอยู่ แต่หลายวันนี้กลับดูดีขึ้นนัก?” หวงเสียวหู่วันนี้จับปลาหนีชิวได้ไม่น้อย เดิมทีเขา้าส่งมาให้ครอบครัวหลิวเต้าเซียงบ้าง ปรากฏว่าตอนที่เดินผ่านหน้าบ้างนาง ก็เห็นคนเต็มไปหมด แต่ละคนล้วนมีดวงตาเป็ประกายและมองสำรวจมา
หวงเสียวหู่ไม่กล้าเข้าบ้าน ได้แต่อ้อมไปหาหลี่ชุ่ยฮัวแล้วเรียกหลิวเต้าเซียงออกมา
หลิวเต้าเซียงคิดแล้วเอ่ย “นอกจากลุงใหญ่กับป้าใหญ่ ทุกคนก็กลับมาในเทศกาลไหว้พระจันทร์กันหมด”
“เทศกาลไหว้พระจันทร์ก็ผ่านไปหลายวันแล้วไม่ใช่หรือ?” หวงเสียวหู่ลูบท้ายทอย แล้วจึงเอ่ยถามอีก “คงไม่ใช่เพราะท่านย่าเ้าจะหาบ้านเล็กให้ลุงรองเ้าจริงๆ หรอกหรือ?”
หลิวชิวเซียงได้ยินก็รู้สึกแปลก จึงเอ่ยถามบ้าง “เหตุใดเ้าจึงบอกว่าท่านย่าจะหาบ้านเล็กให้ลุงรองเล่า?”
หวงเสียวหู่ตอบด้วยรอยยิ้ม “น้องชิวเซียง พวกเ้าไม่รู้หรือว่า ท่านย่าเ้าสอบถามกับคนไปทั่ว บอกว่ามีบ้านไหนที่ยากจน ไม่มีข้าวกินและคิดอยากขายลูกสาว”
ขายลูกสาว?
สองพี่น้องหลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าหลิวฉีซื่อคงหมายถึง นางสามารถให้สินสอดมากหน่อย ถึงอย่างไรหลิวซุนซื่อก็ให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาว อีกทั้งโตจนสิบเอ็ดขวบแล้ว
“พวกเ้าอยากกินปลาหนีชิวตุ๋นน้ำแดงหรือไม่ ไปบ้านข้าสิ ข้าจะให้ท่านย่าทำให้พวกเ้ากิน” หวงเสียวหู่กับสองพี่น้องสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ ขอเพียงจับของอร่อยได้ ก็มักจะนึกถึงสองพี่น้องก่อนเป็อันดับแรก
หลิวชิวเซียงโบกมือและพูดว่า “ไม่ล่ะ บ้านข้ามีคนมองดูอยู่มากมาย หากข้ากับน้องไม่กลับบ้านไปกินข้าว ยังไม่รู้ว่าพวกนางจะว่าอย่างไรบ้าง”
สำหรับปากของหลิวเสี่ยวหลันกับหลิวจูเอ๋อร์ หลิวชิวเซียงรู้สึกปวดศีรษะอย่างแท้จริง
อีกทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งคืออาเล็ก อีกคนคือลูกพี่ลูกน้อง ด่าไม่ได้ว่าไม่ได้อีกด้วย
“นี่ ข้าว่า น้องชิวเซียง วันๆ ครอบครัวเ้าก็มีการแสดงต่อสู้ครบครันให้เห็น พวกเ้าต้องจำไว้ว่าต้องหนีให้ไกล” หวงเสียวหู่ไม่ยอมปล่อยให้สองพี่น้องนำปลาหนีชิวกลับไปแน่นอน
เขาไม่้าเสียประโยชน์ให้แก่หลิวฉีซื่อและคนอื่น
ในความคิดของเขา สองพี่น้องหลิวเต้าเซียงเป็คนกันเอง ส่วนพวกหลิวฉีซื่อต่างก็เป็คนเลว
หลิวชิวเซียงพยักหน้า ตอนนี้คนทั้งหมู่บ้านกําลังมองครอบครัวของนางเป็จุดสนใจ แม้ว่าหลิวฉีซื่อจะปิดประตูทะเลาะกับหลิวซุนซื่อ แต่น้องรองบอกว่า ทั่วหล้านี้ไม่มีกำแพงใดที่ไม่มีลมลอดผ่าน ดังนั้นทุกคนต่างก็พอคาดเดาได้บ้าง
เมื่อมองไปที่หลิวเต้าเซียงที่โศกเศร้าเล็กน้อย จึงอดไม่ได้ที่จะขำ ชื่อเสียงอะไรเ่าั้ นางไม่เห็นอยู่ในสายตาจริงๆ ขอเพียงคนในครอบครัวมีความเป็อยู่ที่ดี ชาวบ้านที่ชอบปากมากเหล่านี้ย่อมต้องวกเข้าเื่ครอบครัวของตนเข้าสักวัน
“พี่หูจื่อ บ้านข้าไม่ได้มีการแสดงต่อสู้ครบครันเสียหน่อย ท่านย่าข้าแค่ใจร้อนไปหน่อย เอาเถิด เลิกพูดๆ”
หลิวเต้าเซียงมองไปที่ชาวบ้านที่เดินมาจากไกลๆ จึงโบกมือไม่คุยเื่นี้
หวงเสียวหู่เห็นว่าสองพี่น้องไม่อาจปลีกตัวไปได้ จึงหิ้วถังไม้ที่ใส่ปลาหนีชิวไว้แล้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ในเมื่อพวกเ้าไม่มีเวลา เช่นนั้นข้าคงต้องเรียกแค่ชุ่ยฮัว” เขาส่ายถังไม้เล็กในมือแล้วเอ่ย “แต่ก็มีเหลือให้ท่านปู่ข้าได้แกล้มเหล้าสักหน่อย”
ทั้งสามคนได้ยินก็หัวเราะกันคิกคัก หลิวเต้าเซียงเอ่ยอีกว่า “ข้าจะไปเก็บไข่ให้เ้าสักหน่อย จะได้ทำไข่ผัดพริกสักจาน เห็นทีท่านปู่คงดื่มอย่างอิ่มเอมยิ่งขึ้น”
หวงเสียวหู่รู้ว่าหลิวเต้าเซียงเลี้ยงไก่สิบตัวในบ้านของหลี่ชุ่ยฮัว ได้ยินนางบอกว่าวันหนึ่งวางไข่ได้หลายใบ เขารู้ว่าหลิวเต้าเซียงเป็คนใจกว้าง จึงไม่ปฏิเสธ
หลังจากหลิวเต้าเซียงเอาไข่ให้หวงเสียวหู่เรียบร้อย ทั้งสองก็กลับเข้าบ้าน
หลิวจูเอ๋อร์ หลิวเสี่ยวหลันและหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์กำลังะโเชือกเล่นอยู่ใต้ชายคาบ้าน เมื่อเห็นทั้งสองกลับมา หลิวเสี่ยวหลันที่กำลังจะถึงตาตนเองก็กระดกนิ้วก้อยขึ้น ยื่นนิ้วชี้ไปทางสองพี่น้องว่า “พวกเ้าไปไหนมา?”
เดิมทีนางอยากถามว่าทั้งสองไปเสเพลที่ไหนมา ต่อมาก็นึกได้ว่าท่านแม่ของตนชอบแสร้งทำดีต่อหน้าผู้อื่นไว้ก่อน จึงเปลี่ยนคำ
หลิวเต้าเซียงไม่มีทางตอบความจริง จึงเอ่ยโดยไม่กะพริบตา “อ้อ ชุ่ยฮัวเพิ่งจะมาหาพวกข้า เพียงแต่ข้ากับท่านพี่เห็นว่าสายมากแล้ว อีกเดี๋ยวต้องช่วยท่านแม่ทำอาหาร จึงรีบกลับมา”
“ใช่แล้ว อาเล็ก หิวแล้วหรือไม่? ข้าได้ยินท่านแม่บอกว่า วันนี้จะมีน้ำแกงซี่โครงด้วย และพ่อข้าก็จับปลาได้ที่ลำธาร กลางคืนจะทำปลาน้ำแดงกิน” หลิวชิวเซียงตอนนี้หัดเรียนรู้ที่จะฉลาดหลักแหลม ไม่รอให้หลิวเสี่ยวหลันได้ด่า ก็หยิบยื่นสิ่งดีๆ ให้ก่อน
หลิวเสี่ยวหลันมีความสุขกับการที่หลิวชิวเซียงเอาใจ จึงเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “จูเอ๋อร์ เ้าต้องฝึกชิวเซียงไว้หน่อย ดูสินางเป็เด็กดีมาก ไม่ใช่ว่าข้าตำหนิเ้า แต่เป็หญิงสาวอย่าได้เกียจคร้าน ต่อไปแม้เ้าจะไม่ต้องทำงานหนัก แต่งานในบ้านก็ต้องหัดเรียนรู้ที่จะดูแล”
หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ที่กําลังเตะลูกขนไก่อยู่ก็หยุดลง ยื่นมือหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อ แล้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “อาเล็กพูดมีเหตุผล ท่านแม่ข้าก็สอนข้ากับท่านพี่เช่นนี้”
“ใช่แล้ว ท่านแม่ยังชมเชยว่าพี่สะใภ้ใหญ่เป็คนรู้งาน ท่านมักบอกว่า ในบรรดาสะใภ้ทั้งหลาย นางชื่นชอบพี่สะใภ้ใหญ่ที่สุด บอกว่านางทั้งมีการศึกษา เดินออกไปไหนก็แตกต่างจากคนอื่นๆ”
หากหลิวเสี่ยวหลันไม่พูดเช่นนี้ หลิวจูเอ๋อร์คงไม่เป็อะไร แต่คราวนี้ได้หยิบเื่ภรรยาของหลิวสี่กุ้ยมาเปรียบเทียบและประชดประชันแม่ของนาง หลิวจูเอ๋อร์จึงเกิดความไม่พอใจ
เพียงแค่ส่งเสียงฮึ่ม แล้วปัดลูกขนไก่ที่หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ยื่นให้จนหล่นลงบนพื้น มืออันขาวผุดผ่องของหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์แดงเป็แถบ
หลิวเต้าเซียงเห็นอย่างนั้นก็ดึงหลิวชิวเซียงเข้าไปในห้องครัว เมื่อเห็นว่าอยู่ห่างจากทั้งสามคนนั้นพอสมควร นางจึงเอ่ยกับหลิวชิวเซียงว่า “ท่านพี่ เห็นหรือไม่?”
“เห็นสิ!” หลิวชิวเซียงรู้ทันทีว่าน้องรองคิดจะพูดอะไร จึงเอ่ยออกมาในทำนองเดียวกัน “ดูไม่ออกจริงๆ”
-----
