เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความโลภ ความปรารถนา และเจตนาสังหาร หลัวเลี่ยก็ได้รู้แล้วว่าการที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิประจิมไท่อีนั้น ต่อให้มีเยี่ยนอวิ๋นหวู่ที่มีฉายาว่าปักษาคลั่งอยู่ข้างกายก็ดูจะไร้ประโยชน์เสียแล้ว
ผลประโยชน์นี้มีค่ามากพอที่จะทำให้มนุษย์สูญเสียความเป็คนได้
ในขณะที่หลัวเลี่ยกำลังขมวดคิ้วอยู่ ทันใดนั้นเสียงของเด็กก็ดังขึ้น
“หลีกทางหน่อย ข้าจะกราบอาจารย์!”
เ้าของเสียงก็คือหยางเจี้ยน
เด็กคนนี้เป็คนที่เทพหยวนสื่อเทียนจวินบอกว่าเขาจะเป็ศิษย์ของบรรพชนอวี้ติงเจินเหริน แต่แล้วเขาก็ไม่ทำตามและบอกว่าจะเลือกอาจารย์ด้วยตัวของเขาเอง เด็กที่มีประวัติลึกลับที่แม้แต่บรรพชนยังปฏิบัติต่อเขาแตกต่างจากคนอื่น
เมื่อมีความเกี่ยวข้องกับเทพแล้ว แน่นอนว่าย่อมต้องมีความสำคัญมากกว่าจักรพรรดิประจิมไท่อี
ดังนั้นไม่ว่าผู้คนจะคิดอย่างไร พวกเขาก็ยังคงเปิดทางและปล่อยให้เด็กคนนี้เดินเข้ามา
ในจำนวนผู้คนที่หลีกทางนั้นมีทั้งาา วีรบุรุษ และคนร้าย แต่เด็กชายที่อายุราวห้าถึงหกขวบผู้นี้กลับไม่กลัวเลยสักนิด เขาเชิดหน้าขึ้นแล้วเดินเข้ามา
ท่าทางเช่นนั้นทำให้ผู้คนอยากจะหัวเราะออกมา
“เอ้อร์หลาง เมื่อกราบอาจารย์แล้ว เ้าก็จะต้องเป็ศิษย์ของเขาไปตลอดชีวิต เ้าควรจะคิดเื่นี้ให้ดีนะ”
ในที่สุดปรมาจารย์ที่มีพลังอยู่ในระดับกายทองคำท่านหนึ่งที่เป็ศิษย์ของสำนักอวี้ติงเจินเหรินก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออกมา ผู้ที่มีอำนาจคนนี้เป็เพียงศิษย์ของลูกศิษย์อวี้ติงเจินเหรินเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือหากหยางเจี้ยนกราบอวี้ติงเจินเหรินเป็อาจารย์แล้ว หยางเจี้ยนก็จะกลายเป็อาจารย์ลุงของเขานั่นเอง
หยางเจี้ยนชอบที่ทุกคนเรียกเขาว่าเอ้อร์หลาง
“ข้าตัดสินใจแล้ว” ใบหน้าของหยางเจี้ยนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “หยางเจี้ยนเกิดมาพร้อมกับสติปัญญา ถึงจะยังเด็กแต่ก็มีความรู้มากมาย ดังนั้นผู้ที่จะมาเป็อาจารย์ของข้าได้จะต้องเป็ยอดวีรบุรุษและมีฝีมือล้ำเลิศ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ชายผู้มีอำนาจก็ถอนใจออกมาอย่างเศร้าสร้อย
หลัวเลี่ยไม่ยิ้มพร้อมพูดว่า “ข้าไม่ใช่วีรบุรุษ”
หยางเจี้ยนที่ยืนอยู่หน้าแท่นเหยียนซินเป็ระยะทางสามจั้งมองหลัวเลี่ยพร้อมเอ่ยเสียงดังว่า “แม้ว่าเ้าจะไม่ใช่วีรบุรุษแต่เ้าก็ไร้เทียมทาน ในใต้หล้านี้หากเ้าไม่ใช่วีรบุรุษแล้ว ใครจะกล้าเรียกตัวเองว่าวีรบุรุษได้อีกเล่า” จากนั้นหยางเจี้ยนก็คุกเข่าลง ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาตึงเครียดพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ศิษย์หยางเจี้ยนคาราวะอาจารย์!”
“หลัวเลี่ยผู้นี้จะคู่ควรกับการมีเ้าเป็ศิษย์ได้อย่างไร” หลัวเลี่ยดีใจมาก เขาลงมาจากแท่นเหยียนซินแล้วประคองหยางเจี้ยนให้ลุกขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้างพร้อมกับพูดอย่างอบอุ่นว่า “ข้าไม่เคยมีลูกศิษย์มาก่อน วันนี้ข้าจะรับเ้าเป็ลูกศิษย์ ต่อไปนี้เ้าก็คือศิษย์สายตรงของข้า”
ทุกคนมองดูชายหนุ่มหนึ่งคนและเด็กอีกหนึ่งคนอย่างไม่รู้สึกตลกขบขัน กลับกันพวกเขาอิจฉามาก
เด็กที่ท่านเทพให้ความสนใจ
คนที่บรรพชนปรารถนาจะได้เป็ศิษย์ แต่ตอนนี้กลับกลายมาเป็ศิษย์ของหลัวเลี่ย
หลัวเลี่ยที่เป็เพียงเยาวชนที่มีพลังวรยุทธ์อยู่ในระดับหยินหยางเท่านั้น
“ทั้งเป็ที่โปรดปรานของจักรพรรดิ์ไท่อี คนที่เทพให้ความสนใจก็นับถือเป็อาจารย์ และบรรพชนอิจฉา” ชางจื่อเฟิงพึมพำกับตัวเองเบาๆ “หลัวเลี่ย ทุกอย่างเหมือนพระเ้ากำลังเข้าข้างเ้า ข้าอิจฉาเ้าจริงๆ !”
เป็พิธีกราบอาจารย์ที่เรียบง่ายมาก
มันไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่ก็มีผู้คนมากมายเป็สักขีพยาน
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือตอนที่หลัวเลี่ยได้รับของขวัญจากจักรพรรดิประจิมไท่อีมีคนอยากจะสังหารเขาเพื่อยึดสมบัติมากมาย แต่เมื่อมีหยางเจี้ยนที่มีประวัติความเป็มาลึกลับมากราบเขาเป็อาจารย์ก็เท่ากับว่าเขาได้เกี่ยวข้องกับเทพแล้ว เื่นี้อาจทำให้คนอื่นไม่กล้าลงมือกับเขาอีก
“อาจารย์ พื้นฐานของศิษย์ทั้งด้านพละกำลัง ด้านพลังวรยุทธ์ และด้านสติปัญญาล้วนไม่เลวเลย ข้าจะอายุได้หกขวบแล้วแต่ยังไม่เคยฝึกฝนวรยุทธ์มาก่อน ไม่ทราบว่าอาจารย์จะสอนข้าอย่างไร” สีหน้าของหยางเจี้ยนเต็มได้วยความคาดหวัง
เขาแทบจะรอฝึกฝนไม่ไหวแล้ว
ด้วยอายุเท่านี้ หากเป็คนอื่นคงจะโดนบังคับให้ฝึกฝน แต่หยางเจี้ยนกลับ้าฝึกด้วยตนเองและ้ามากด้วย
หลัวเลี่ยครุ่นคิดและกล่าวว่า “ในระดับผู้ฝึกตน เ้าลองฝึกเคล็ดวิชาั์ดีหรือไม่”
ทันใดนั้นสีหน้าของหยางเจี้ยนก็ขมขื่น “ศิษย์ไม่ดีพอที่จะฝึกฝนวิชาระดับนั้น”
เคล็ดวิชาั์เป็เคล็ดวิชาที่เหนือกว่าเคล็ดวิชาอื่นๆ ในระดับผู้ฝึกตนมาก
เช่นเดียวกับเคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์ที่หลัวเลี่ยสร้างขึ้นนั้นก็อยู่เหนือกว่าเคล็ดวิชาอื่นๆ ที่ใช้ฝึกฝนในระดับหยินหยาง ระดับแก่น์ และระดับวังชะตามาก มันไม่ใช่เคล็ดวิชาธรรมดาที่คนทั่วไปจะสามารถฝึกฝนได้
หากมีใครที่ฝึกฝนได้ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเป็หลัวเลี่ยคนที่สอง
แต่บนโลกนี้มีหลัวเลี่ยเพียงคนเดียวเท่านั้น
“เช่นนั้นควรจะฝึกฝนเคล็ดวิชาอะไรดีนะ”
หลัวเลี่ยรู้สึกหมดหนทาง ตอนที่เขามีพลังอยู่ในระดับผู้ฝึกตน เขาก็ฝึกเพียงเคล็ดวิชาั์และไม่รู้จักเคล็ดวิชาอื่นๆ มากเท่าใดนัก โดยเฉพาะเคล็ดวิชาฝึกตนทั้งสิบที่รู้เพียงชื่อความพิเศษเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแต่ไม่รู้เนื้อหาข้างในเลย
เมื่อหลัวเลี่ยคิดได้เช่นนี้ จู่ๆ ความรู้สึกแปลกๆ ก็ก่อตัวขึ้นภายในใจของเขา
เหมือนมีอะไรเรียกเขาอยู่
จิตใจของหลัวเลี่ยจมดิ่งลงและในไม่ช้าเขาก็ค้นพบว่าแหล่งที่มาของความรู้สึกแปลกประหลาดนี้คือหยดเืดุจทับทิมที่อยู่กับระฆังจันทราในกระเป๋าเฉียนคุณของเขา
เขาจำได้ว่าจักรพรรดิประจิมไท่อีเคยกล่าวว่ามีปริศนาบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในหยดเืนี้ และหลัวเลี่ยก็สามารถค้นพบมันได้
ทันทีที่หัวใจของหลัวเลี่ยเคลื่อนไหว เขาก็จมดิ่งลงในห้วงจิตเข้าสู่หยดเืดุจทับทิมนั้นโดยอาศัยความรู้สึก การรับรู้ และความรู้ที่เกี่ยวกับจักรพรรดิประจิมไท่อีเป็ตัวเหนี่ยวนำ การหลุดเข้าไปนี้ช่างง่ายดายจนทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ
“อาจารย์” หยางเจี้ยนเรียกเบาๆ
เยี่ยนอวิ๋นหวู่ห้ามหยางเจี้ยนและพูดว่า “อย่ากวนเขา เขากำลังจะเข้าใจ”
ดวงตาสีมืดเงางามดั่งองุ่นของหยางเจี้ยนเบิกกว้างในทันที เขาพูดด้วยความไม่เชื่อว่า “สร้าง สร้างเคล็ดวิชาให้ข้าหรือ?”
เยี่ยนอวิ๋นหวู่พยักหน้าอย่างปฏิเสธไม่ได้
ตอนนี้ทุกคนรอบตัวกำลังตกอยู่ในความโกลาหล
“หลัวเลี่ยบ้าไปแล้ว เขายังเป็มนุษย์อยู่จริงๆ หรือเปล่า? เขาจะสร้างเคล็ดวิชาขึ้นมาตอนนี้เลยหรือ”
“เขาเพิ่งจะสร้างเคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์เมื่อไม่นานมานี้จนทำให้์ต้องส่งนิมิตมาให้ เขายังคิดจะสร้างเคล็ดวิชาอื่นขึ้นมาอีกหรือ เขาคิดว่าการสร้างเคล็ดวิชา โดยเฉพาะเคล็ดวิชาที่มีความพิเศษมันง่ายดายมากหรือ”
ทุกคนรับไม่ได้อีกแล้ว
คำว่าบ้าคลั่งคงไม่เพียงพอที่จะอธิบายการกระทำของหลัวเลี่ยในเวลานี้
ถ้าไม่ใช่เพราะมีพลังของข่งไท่โต้วคอยข่มไว้อยู่ เกรงว่าคงจะมีคนจำนวนมากเข้ามากวนหลัวเลี่ยแล้ว
หลัวเลี่ยที่จมอยู่ในห้วงความคิดไม่ได้ตระหนักถึงสถานการณ์ภายนอก เพราะเมื่อเขาได้เชื่อมต่อกับหยดเืนั้นแล้ว จิตของเขาก็รับรู้ถึงความปรารถนาของวิชายุทธ์หนึ่งในทันที และทันใดนั้นหยดเืก็แวววาวขึ้น ดูเหมือนว่าหยดเืจะเดือดและมีแสงเป็ประกายส่องออกมาเกิดเป็เงา
เงานั้นเป็คน แต่บางครั้งก็กลายเป็นกกระเรียน บางครั้งก็กลายเป็เหยี่ยว บางครั้งก็กลายเป็หิน และบางครั้งก็กลายเป็ดอกไม้ การเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งจะทำให้รูปร่างแตกต่างกันออกไป
หลังจากเสร็จสิ้นการแปลงร่างทั้งเจ็ดสิบสองครั้งแล้ว แสงและเงานั้นก็กลายเป็ตัวอักษรทีละคำแล้วซึมเข้าไปในดวงจิตของหลัวเลี่ย
สิ่งที่ตามมาคือเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง
เมื่อหลัวเลี่ยเข้าใจคำอักษรเหล่านี้ ความผันผวนของพลังภายในของเขาก็ส่งผลต่อความปั่นป่วนของอากาศโดยรอบ เขาขมวดคิ้วและเริ่มสร้างคำออกมาทีละคำ
คำเหล่านี้เชื่อมต่อกันเป็สายเหมือนัตัวหนึ่งที่บินอยู่รอบกายของหลัวเลี่ย
หลังจากที่คำสุดท้ายหลุดออกมาแล้ว เคล็ดวิชาก็เป็รูปเป็ร่างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ
ทันใดนั้นหลัวเลี่ยก็ลืมตาขึ้น เขาชี้ไปที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของหยางเจี้ยน จากนั้นคำเ่าั้ก็ไหลเข้าสู่จิตของหยางเจี้ยนตามนิ้วของเขา แล้วเสียงของหลัวเลี่ยก็ดังขึ้นพร้อมกับการกระทำนี้ว่า “นี่คือวิชาลับแปดเก้าที่อาจารย์มอบให้เ้า แม้ว่าวิชานี้จะด้อยกว่าเคล็ดวิชาั์และเคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์ แต่หากเ้าฝึกฝนอย่างหนักเป็สองเท่า เ้าจะต้องประสบความสำเร็จในไม่ช้าอย่างแน่นอน”
หยางเจี้ยนดีใจมาก เขาคุกเข่าลงเพื่อขอบคุณอาจารย์ของเขา
ทุกคนที่มองดูอยู่ใกล้จะเป็บ้าแล้ว เขาสร้างเคล็ดวิชาออกมาอีกหนึ่งวิชาเช่นนั้นหรือ นอกจากนี้ยังเป็เคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งมากจนเหนือกว่าเคล็ดวิชาระดับสูงดั้งเดิม? นี่มันดูจะไม่ใช่เื่จริงเกินไปแล้ว